ระดับความน่าตื่นตาตื่นใจของ “ถ้ำพุงช้าง” เรียงร้อยราวกับฉากของภาพยนตร์ผจญภัยสุดเร้นลับที่ค่อยๆทวีความน่าตื่นเต้นเพิ่มขึ้นทีละนิดจนกระทั่งถึงไคลแมกซ์ในช่วงท้าย ซึ่งปิดฉากได้อย่างตระการตาน่าประทับใจสมกับเป็นหนึ่งในปฐมบทแห่งอันซีนไทยแลนด์
ย้อนไปในปี พ.ศ.2546 โครงการ “อันซีนไทยแลนด์” (Unseen Thailand) โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สร้างชื่อเสียงให้แหล่งท่องเที่ยวของไทยจำนวนมากกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง โดยหนึ่งในจุดหมายปลายทางยุคบุกเบิกของโครงการนี้ คือ “ถ้ำพุงช้าง” โถงถ้ำงามลึกลับแห่งเมืองพังงา
สถาปัตยกรรมแห่งธรณีวิทยาที่รังสรรค์จากกาลเวลาแห่งนี้ ซ่อนตัวอยู่ใต้ “เขาช้าง” ภูเขาหินปูนสูงตระหง่านในเมืองพังงา ที่มีลักษณะคล้ายช้างนอนหมอบ คนท้องถิ่นเชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ และภูเขายังได้รับการนำไปไปเป็นส่วนหนึ่งของตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัด
การค้นพบ ถ้ำพุงช้าง
ถ้ำแห่งนี้ดำรงอยู่มาหลายชั่วอายุคนก่อนจะถูกค้นพบช่วงกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมานี้เอง โดยในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2543 “นายเอกพัฒน์ ขำณรงค์” ชาวบ้านในพังงา เล่าว่ามีสิ่งดลใจมาเข้าฝันให้ตนไปเที่ยวถ้ำพุงช้าง จึงชักชวนพรรคพวกเข้าไปสำรวจ ก่อนจะพบกับความตระการตาอันงดงามภายในถ้ำความยาวกว่า 1,200 เมตร ที่ธรรมชาติรังสรรค์ไว้อย่างวิจิตรชนิดที่มิอาจมีฝีมือมนุษย์คนใดสร้างได้
หลังจากนั้นไม่นาน ถ้ำพุงช้างก็ได้รับการเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง จนกระทั่งได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์ตั้งแต่โครงการแรก
เรื่องเล่าจากตำนานความเชื่อ
นอกจากการค้นพบครั้งสำคัญ ก็มีเรื่องเล่าเป็นตำนานท้องถิ่นของคนเก่าคนแก่ที่จินตนาการให้เกิดเรื่องราวเชื่อมโยงกัน ว่ากาลครั้งหนึ่ง “ตา-ยมดึง” ชายพเนจรมาขออาศัยอยู่กับ “ตาโจงโดง” ซึ่งมีลูกสาวสวย ตา-ยมดึง นับเป็นคนขยันขันแข็ง ตาโจงโดง เขาจึงยกลูกสาวให้เป็นภรรยา
ตา-ยมดึงกับลูกสาวตาโจงโดงแต่งงานกัน มาสร้างเนื้อสร้างตัวทำสวนทำไร่ได้ผลผลิตงอกงาม แต่โชคร้ายเมื่อใกล้วันเก็บเกี่ยว มีโขลงช้างป่าลงมากินพืชผลที่ปลูกไว้ ซ้ำยังเหยียบย่ำทำลายจนสิ้น ตา-ยมดึง แค้นใจมากจึงคว้าหอกออกไปตามล่าช้างป่าโขลงนั้น แต่ระหว่างทางไปเจอช้างของ “ตางุ้ม” ซึ่งเข้าใจผิดคิดว่าเป็นช้างป่าต้นเหตุ ตา-ยมดึง จึงฆ่าช้างเชือกนั้นตาย และด้วยแรงแค้นยังทะลวงแทงที่ท้อง ลากเอาเครื่องในช้างออกมาทำอาหารกิน และยังตัดงาช้างออกมาด้วย เมื่อช้างบ้านบริสุทธิ์ตายไป จึงกลายเป็น “เขาช้าง” ส่วนแผลจากการถูกทะลวงท้อง ก็กลายเป็น “ถ้ำพุงช้าง”
ลักษณะทางธรณีวิทยา
ถ้ำพุงช้าง เป็นถ้ำขนาดใหญ่ มีความยาวประมาณ 1,200 เมตร ปากถ้ำนั้นมีขนาดกว้าง สลับผสมไปกับส่วนทางเดิน หรือทางล่องเรือที่แคบลงเป็นช่วงสั้นๆ แต่ขณะที่บางช่วงก็เป็นโถงขนาดกว้างใหญ่ เพดานสูง ปลอดโปร่งไม่อึดอัด และมีอากาศถ่ายเทตลอดเวลา
น้ำที่มีในถ้ำไหลมาจากบนเขาช้าง แทรกซึมลงมาตามรอยแตกของภูเขาหินปูน จึงละลายเอาแคลเซียมในหินปูนออกมาก่อให้เกิดรูปร่างเป็นหินงอกหินย้อยแปลกตา น้ำบนดินที่ไหลผ่านเป็นลำธารจากภูเขาช้างใช้เวลากัดเซาะเนิ่นนานนับล้านปีจนเป็นอุโมงค์ และกลายเป็นน้ำใต้ดิน โดยจุดลึกที่สุดประมาณ 2 เมตร เป็นช่วงสั้นๆที่ต้องนั่งแพผ่านไป แต่ช่วงท้ายนั้นเดินลุยน้ำไปได้สบายๆ
ภายในถ้ำประกอบด้วยหินงอกหินย้อยจำนวนมาก มีรูปลักษณะหลากหลาย ทั้งเป็นโขดหินขนาดใหญ่ หินย้อยสวยงามดั่งประติมากรรมอันประณีตลงมาจากเพดานถ้ำ บางช่วงมีประกายของหินระยิบระยับ โดยเฉพาะหากเดินทางมาในช่วงหน้าแล้งจะเห็นได้ชัด ในถ้ำยังเป็นแหล่งอาศัยของ “ค้างคาวคุณกิตติ” ค้างคาวสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
การเดินทางเข้าไปในถ้ำ
การท่องเที่ยวถ้ำพุงช้าง เริ่มต้นที่ปากถ้ำใต้ชะง่อนผา กราบสักการะขอพร “ศาลพ่อตาเขาช้าง” ตามความเชื่อ ก่อนจะนั่งเรือยางขนาดกะทัดรัด ที่นั่งได้ 2-3 คน ล่องผ่านเข้าไปในโถงถ้ำอันมืดมิด (แต่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องการท่องเที่ยว มีไฟฉายติดหัวให้กับนักท่องเที่ยวทุกคน)
การนั่งเรือยางเข้าไปได้ระยะหนึ่ง ก็ผ่านไปสู่ช่วงที่ถ้ำเริ่มคับแคบลง ต้องแวะสลับไปนั่งแพไม้ไผ่ล่องต่อไปอีกช่วง ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเดินเท้าเข้าไปโดยไม่ต้องกังวลเพราะระดับน้ำช่วงนี้ ลึกประมาณตาตุ่มถึงครึ่งหน้าแข้งเท่านั้น ซึ่งช่วงเดินเท้าถือเป็นจุดที่สามารถมองเห็นความงดงามของถ้ำได้อย่างใกล้ชิดมากที่สุด
แต่สำหรับการเข้าชมถ้ำ เปิดให้ชมในระยะทางประมาณ 750 เมตรเท่านั้น เนื่องจากการเดินไปช่วงระยะท้ายสุด หากจะไปทะลุอีกฝั่งค่อนข้างลำบาก ด้วยลักษณะที่เป็นโพรงคับแคบ ต้องมุดลอดตัวเข้าไป ซึ่งอาจมีอันตราย กรณีฝนตกจนปริมาณน้ำในถ้ำสูง ดังนั้น การเที่ยวชมถ้ำพุงช้าง จึงเป็นลักษณะของการไป-กลับทางเดิม โดยใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมง ยกเว้นเสียแต่ว่า เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวสายถ่ายภาพ ที่คงต้องมนตร์หลงใหลในความงามและใช้เวลานานกว่านั้น
ไฮไลต์แห่งความอันซีนไทยแลนด์
สำหรับความตระการตาของถ้ำลับแห่งพังงานั้น มีจุดให้แวะชมเป็นจำนวนมาก อาทิ หินรูปจระเข้ บ่อน้ำมนต์รูปหัวช้าง หินรูปไดโนเสาร์ หินรูปเต่ายักษ์ เป็นต้น ส่วนหินงอกหินย้อยระหว่างเส้นทางก็งดงามอลังการ มีรูปร่างแปลกตา ชวนให้จินตนาการไปถึงหนังไซไฟวิทยาศาสตร์ แนวสัตว์ประหลาดนอกโลกก็ยังได้
ส่วนไฮไลต์ห้ามพลาด ต้องยกให้กับ “หินรูปช้างเผือกสีขาวนวล” ที่อยู่บนเพดานถ้ำช่วงท้าย ซึ่งเป็นหินที่มีลักษณะคล้ายหัวช้าง มีดวงตา ใบหู ขาหน้า และมีงวงยื่นออกมาด้วย พิเศษกว่านั้น คือ มีหินสีแดงปกคลุมรอบๆเฉพาะตัวช้าง ทำให้จินตนาการได้ว่าเปรียบเสมือนช้างที่มีเศวตฉัตรปกคลุมอยู่
ข้อควรปฏิบัติในการชมถ้ำพุงช้าง
การถ่ายรูปในถ้ำพุงช้าง ควรต้องขออนุญาตก่อน และห้ามใช้แฟลช เพราะแสงแฟลชมีผลกระทบต่อหินงอก หินย้อยในถ้ำ อาจทำให้หินหยุดการเจริญเติบโตได้ วิธีที่ถูกต้อง จึงต้องมีอุปกรณ์ขาตั้งกล้องในการถ่ายภาพ นอกจากนี้ต้องไม่สัมผัสหินงอก หินย้อย เพราะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของหิน
การเข้าถ้ำต้องมีเส้นทางที่เดินลุยน้ำประมาณครึ่งหน้าแข้ง จึงควรแต่งกายให้เหมาะสม
สำหรับไฟฉาย ชาวบ้านเตรียมไว้ให้ แต่สามารถติดตัวไปเพิ่มเติมได้
ทั้งนี้การเที่ยวชมถ้ำ ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางไปด้วย ไม่ควรไปคนเดียว และสำหรับคนที่กลัวที่แคบ ที่มืด ก็อาจไม่เหมาะกับการเที่ยวถ้ำ
ข้อมูลการท่องเที่ยว
ตั้งอยู่ในพื้นที่ “วัดประพาสประจิมเขต" หลังศาลากลางจังหวัด ถ.เพชรเกษม อ.เมือง จ.พังงา
เปิดให้เที่ยวทุกวัน ตั้งแต่ 08.30-16.00 น.
ค่าเข้าชมคนไทย 200 บาท เด็ก 100 บาท ชาวต่างชาติ 500 บาท
สอบถาม โทร. 08-6683-6844 หรือ 08-5784-4839
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline