xs
xsm
sm
md
lg

"ฉนวนกาซา" ดินแดนปาเลสไตน์ในไฟสงคราม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ฉนวนกาซา” กลับมาเป็นจุดที่คนทั่วโลกหันมาจับตามองอีกครั้ง ภายหลังจากมีการโจมตีกันระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

มีข่าวที่พูดถึงฉนวนกาซาเป็นจำนวนมาก และหากว่าสงสัยว่าฉนวนกาซาคืออะไร ลองมาทำความรู้จักกัน


“ฉนวนกาซา” เป็นพื้นที่เล็กๆ ขนาดราว 360 ตารางกิโลเมตร มีอาณาเขตด้านหนึ่งติดกับอียิปต์ อีกด้านติดกับอิสราเอล และมีด้านที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนสาเหตุที่เรียกว่าฉนวนกาซา เนื่องจากดินแดนส่วนนี้ถูกกำหนดขึ้นจากข้อตกลงระหว่างอิสราเอลกับอียิปต์หลังสงครามอาหรับ-อิสราเอลครั้งแรกใน ค.ศ. 1948 จนทำให้ดินแดนในส่วนนี้กลายเป็นเขตกันชนระหว่างสองรัฐ

หลังจากสงครามในครั้งนั้น ฉนวนกาซาถูกปกครองโดยอียิปต์ แต่หลังจากอิสราเอลชนะสงคราม 6 วัน ใน ค.ศ.1967 ฉนวนกาซาจึงกลายเป็นดินแดนที่อิสราเอลเข้ายึดครอง แต่ต่อมาในปี ค.ศ.1993 อิสราเอลและปาเลสไตน์ได้ทำสนธิสัญญาออสโลร่วมกัน มีการอนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์มีอำนาจในการปกครองตัวเอง (อย่างจำกัด) ในพื้นที่ฉนวนกาซา โดนในปี ค.ศ.2005 อิสราเอลได้ถอนทหารและนิคมชาวยิวที่ผิดกฎหมายออกจากฉนวนกาซาทั้งหมด และในปีต่อมา กลุ่มฮามาสของปาเลสไตน์ชนะการเลือกตั้ง ฉนวนกาซาจึงอยู่ในเขตอิทธิพลของกลุ่มฮามาสมาจนถึงปัจจุบัน


ประชากรในเขตฉนวนกาซา เป็นชาวปาเลสไตน์ที่ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพลี้ภัยหลังจากสงครามอาหรับ-อิสราเอลครั้งแรก ฉนวนกาซามีพื้นที่เล็กมาก แต่ก็มีจำนวนประชากรหนาแน่นมากที่สุดในโลกอีกดินแดนหนึ่ง โดยมีจำนวนประชากรอาศัยอยู่ไม่ต่ำกว่า 1.8 ล้านคน และกว่าร้อยละ 75 เป็นเด็กและผู้หญิง

ดินแดนเล็กๆ ของฉนวนกาซา ถูกควบคุมการเข้าออกจากอิสราเอล โดยการใช้มาตรการต่างๆ หลายอย่าง อาทิ การ จำกัดการนำเข้าอาหารการกิน ยารักษาโรค วัสดุก่อสร้าง และสิ่งอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ด่านพรมแดนต่างๆ ทั้งที่จะข้ามไปอียิปต์และอิสราเอลก็ถูกปิด ทำให้ดินแดนที่มีประชากรอยู่หนาแน่นอย่างฉนวนกาซามีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากมากขึ้นไปอีก


การต่อสู้ระหว่างอิสราเอลและพื้นที่ฉนวนกาซาได้เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และในปีนี้ ก็ถือว่าเป็นอีกทั้งที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตของทั้งสองฝ่าย คงต้องเฝ้ารอกันต่อไปว่าการขัดแย้งระหว่างกันนี้จะจบลงได้อย่างไร

ภาพ: สำนักข่าวซินหัว






กำลังโหลดความคิดเห็น