“สิงห์บุรี” จังหวัดเล็กๆ ใกล้กรุงเทพฯ ที่แอบแฝงไปด้วยเสน่ห์มากมาย ทั้งเป็นเมืองเก่าแก่ในย่านภาคกลาง มีร่องรอยการอยู่อาศัยมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และเป็นที่รู้จักกันดีในช่วงกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยเฉพาะในคราวศึกบางระจัน ดังคำขวัญ “ถิ่นวีรชนคนกล้า คู่หล้าพระนอน นามกระฉ่อนช่อนแม่ลา เทศกาลกินปลาประจำปี”
วันนี้จึงขอพาทุกคนไปตะลอนเที่ยวหลากสไตล์กันที่ “สิงห์บุรี” มีที่เที่ยวที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เราสามารถมาเที่ยวแบบวันเดย์ทริป หรือแบบค้างคืนก็เพลิดเพลินใจไปอีกแบบ
เมื่อเราไปเยือนจังหวัดไหนก็อยากรู้เรื่องราวประวัติความเป็นมาของจังหวัดนั้น เพื่อเพิ่มอรรถรสในการท่องเที่ยว และถ้าเรามาเยือนที่สิงห์บุรีแล้ว ก็ไม่พลาดมากันที่ “มิวเซียมสิงห์บุรี” เป็นอาคารจัดแสดงนิทรรศการถาวรเรื่อง “ทรัพย์เมืองสิงห์” ภายในอาคารศาลากลางหลังเก่า (ร.ศ. 130) เพื่อบอกเล่าเรื่องราวเมืองสิงห์บุรีผ่านประวัติศาสตร์สังคมผู้คนภูมิ ปัญญา วัฒนธรรม และเมืองตั้งแต่ยุคเริ่มต้นก่อร่างสร้างจนถึงปัจจุบัน โดยมีทั้งหมด 8 ห้องกิจกรรมที่จะสามารถ ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมและศึกษาเกี่ยวกับจังหวัดสิงห์บุรีได้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้บริเวณด้านหน้าทางเข้ามิวเซียมสิงห์บุรี ยังมีจุดถ่ายรูปสุดชิค กับ Street Art ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย (ความยาวกว่า 3.4 กิโลเมตร) บริเวณแนวเขื่อนกั้นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีภาพวาดให้เดินถ่ายรูปกันแบบจุกๆ
ส่วนใครที่เป็นสายคาเฟ่ หาที่นั่งพักพักซิลท่ามกลางธรรมชาติอันเขียวขจี แนะนำให้มาที่ “ลอยชาย อายวิว คาเฟ่” คาเฟ่ที่นี่มีบรรยากาศร่มรื่น มีต้นก้ามปูใหญ่มีบ้านทรงไทยหลังเล็กอยู่กลางสนาม บรรยากาศเหมือนสวนหลังบ้าน ทำให้ทุกครั้งที่มานั่งที่คาเฟ่แห่งนี้จะให้ความรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ ถือว่าเป็นหนึ่งแห่งที่เหมาะแก่การนั่งจิบกาแฟในรูปแบบสโลว์ไลฟ์
หรือใครชอบเข้าวัดทำบุญชวนมาที่ “วัดม่วง” ตั้งอยู่ในเขต อ.อินทร์บุรี ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประมาณปี พ.ศ. 2365 ในอดีตวัด เคยเป็นที่ประทับพักเสวยพระกระยาหารของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือ
ความน่าสนใจของวัดนี้อยู่ที่วิหารหลังเก่า โดยมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่ภายใน มีพระพุทธลักษณะงดงาม ผนังโดยรอบเต็มไปด้วยกาพจิตรกรรมฝาผนัง มือช่างพื้นบ้าน สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ ลักษณะจิตรกรรมเป็นการเขียนด้วยสีฝุ่น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวพุทธประวัติ ตลอดจนการแสดงกิจวัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมโบราณในระดับต่างๆ ไว้เป็นอย่างดี จัดเป็นวัดที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังงดงามที่สุดของจังหวัดสิงห์บุรี
สำหรับใครที่เป็นนักช้อปมองหาของฝากขึ้นชื่อของสิงห์บุรี ให้แวะมาที่ “ร้านขนมเปี๊ยะแม่ศรีเมือง” อำเภออินทร์บุรี ตำนานขนมเปี๊ยะอินทร์บุรี ต้นตำรับจากเมืองจีน เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพและความอร่อยมากกว่า 90 ปี ดั้งเดิมบิดาทำขนมอยู่ที่อำเภอเหยี่ยวเพ้ง จังหวัดซัวเถา ใช้ชื่อร้านว่า “เหล่าหยงเฮียง” ต่อมาได้มาอยู่เมืองไทย สมรสกับ นางเมือง จนเป็นที่มาของ “ขนมเปี๊ยะแม่ศรีเมือง” ที่ได้รับการยกย่องและยอมรับถึง คุณภาพ ความอร่อย ขนมเปี๊ยะสดใหม่ทุกวันจากโรงงาน
นอกจากนี้ยังมี “บ้านข้าวหอม ฟาร์มสเตย์” อำเภอเมือง สถานที่ท่องเที่ยวแบบฟาร์มสเตย์ บรรยากาศแบบท้องทุ่งนา สวนผัก และยังสามารถให้อาหารสัตว์ อาทิ ควายเผือก เป็ด ไก่ ห่าน สามารถปั่นจักรยาน ขับเอทีวี ได้รอบๆ ฟาร์ม อีกทั้งอาหารที่ทางฟาร์มนำมาเสิร์ฟ เป็นวัตถุดิบมาจากในฟาร์มและจากชุมชน ทำให้อาหารที่นี่ปลอดภัย สด ใหม่ สะอาด และอร่อย ยิ่งไปกว่านั้นที่พักของที่นี่จะเป็นบ้านพักแบบเรือนไทย อยู่ใกล้ๆ ริมนา ทำให้เหมาะกับการพักผ่อนเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเปิดรับนักท่องเที่ยวเฉพาะช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้น
ที่สิงห์บุรียังมีสถานที่อื่นๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่นที่ “พิพิธภัณฑ์เตาเผาแม่น้ำน้อย” ตั้งอยู่ที่อำเภอบางระจัน อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีอันทรงคุณค่า บริเวณนี้เป็นแหล่งขุดค้นพบเตาเผาขนาดใหญ่และวัตถุโบราณ ซึ่งเป็นร่องรอยความเจริญทางอารยธรรมในสมัยอยุธยา
เตาเผาแม่น้ำน้อยนับว่ามีขนาดใหญ่มากที่สุด มีความยาวถึง 14 เมตร เคยใช้เป็นที่ผลิต ภาชนะดินเผา อาทิ ไห อ่าง ช่อฟ้า กระเบื้องปูพื้น เป็นต้น มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ คือ เป็นแหล่งผลิต “ท่อประปาดินเผา ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์” มีหลักฐานการค้นพบที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นการวางระบบประปาครั้งแรกในสมัยอยุธยา และ “ไหสี่หู” ภาชนะดินเผาที่มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ มี 4 หู รอบปากไห สันนิษฐานว่าใช้ร้อยเชือกปิดปากไห เพื่อบรรจุสินค้าส่งขายไปในดินแดนต่างๆ ทั่วโลก
อีกหนึ่งไฮไลต์เมื่อมาเยือนสิงห์บุรีก็คือ “ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน” อำเภอค่ายบางระจัน ตั้งอยู่ภายในวัดโพธิ์เก้าต้น โดยตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศไทยย้อนยุคสมัยบ้านระจัน (แม่ค้า : นุ่งโจงกระเบน ห่มสไบ/ตะเบงมาน พ่อค้า : แต่งกายเป็นนักรบ สะพายดาบ) เพื่อรำลึกนึกถึงวีรกรรมของบรรพชน รวบรวมและถ่ายทอดวิถีชีวิต วัฒนธรรมแบบโบราณสมัยบ้านระจัน มาลิ้มรสกับอาหารนานาชนิด อาทิ ผัดไทยโบราณ ขนมไทยโบราณหาทานยาก ชมการแสดง และสาธิตการตีดาบของลุงตึง ช่างตีดาบโบราณแห่งบ้านระจัน เป็นต้น
มาปิดท้ายที่ “กลุ่มผลิตภัณฑ์จากผ้าบางน้ำเชี่ยวกับผ้าหมักโคลนเจ้าพระยา” อำเภอพรหมบุรี กลุ่มผลิตภัณฑ์ฯที่ได้ค้นพบวิธีการหมักผ้าไทยด้วยโคลนจากแม่น้ำเจ้าพระยา จากการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสจากอุทกภัยน้ำท่วมเมื่อปี 2538 ซึ่งโคลนที่นำมาหมักทำให้เนื้อผ้ามีสัมผัสนุ่มลื่นจนเป็นเอกลักษณ์และสร้างรายได้ให้กับชุมชน ถือเป็นผ้าที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสิงห์บุรี
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline