หลังเกิดดราม่าข้ามชาติ เขมรเคลม “มวยไทย” และอีกหลายสิ่งหลายอย่างในบ้านเรา ชาวเน็ตไทยส่วนหนึ่ง จึงนำภาพสลักที่กำแพงปราสาทหินในเขมร มาประชดว่า เขมรเป็นต้นธารอารยธรรมทุกอย่างในโลก หรือ ใด ๆ ในโลกล้วนมาจากเขมร
จากกรณีประเทศเพื่อนบ้าน “กัมพูชา” เจ้าภาพมหกรรมกีฬาซีเกมส์ 2023 ตัดสินใจใช้ชื่อ “กุน ขแมร์” ในการแข่งขัน แทนที่ “มวยไทย” ซึ่งแม้สหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ (IFMA) จะประกาศแบนทุกชาติที่ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขัน แต่ก็ยืนยันไม่มีการเปลี่ยนแปลง พร้อมประกาศไม่ส่งนักกีฬาแข่งขัน “มวยไทย” ในซีเกมส์ 2025 ที่ประเทศไทย เป็นเจ้าภาพเช่นกัน
ส่วนในโลกออนไลน์ แฟนกีฬาชาวกัมพูชา ได้มีการนำภาพตัดต่อการต่อสู้ที่อ้างว่าเป็นการต่อสู้ “โบกาตอร์” (BOKATOR) ศิลปะการต่อสู้โบราณของชาติตน ก่อนโดนแหกว่าภาพดังกล่าวดั้งเดิมเป็นการต่อสู้ของ “มวยไทย” และนักแสดงก็คนครูมวยคนไทย ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้เกิด ดราม่า “มวยไทย-กุน ขแมร์” กันอย่างแพร่สะพัดบนโลกโซเชียลจนวันนี้ได้กลายเป็นวิวาทะระดับประเทศไปแล้ว
ขณะที่ล่าสุดได้ชาวเน็ตเขมรบางคนพยายามแก้ไขข้อมูลของ “มวยไทย” ในวิกิพีเดีย ว่าพัฒนามาจาก “กุน ขแมร์” ที่เป็นต้นแบบจากอาณาจักรเขมรโบราณ ก่อนโดนผู้ดูแลระบบลบออกในที่สุด
สำหรับเรื่องราวการเคลม ไม่ใช่มีแค่เรื่อง “กุน ขแมร์” ที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นต้นตำรับมวยไทยเท่านั้น แต่ที่ผ่านมาชาวเน็ตเขมรส่วนหนึ่ง ได้มีพฤติกรรมชอบ “เคลม” ของดีหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไทยให้ไปเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นศิลปวัฒนธรรม ประเพณี การละเล่น การแต่งกาย กีฬา หรือแม้แต่กระทั่ง “ลิซ่า-บัวขาว” ก็ยังกล้าเคลมว่าเป็นคนเขมร จนชาวเน็ตไทยจำนวนมาก ตั้งฉายาให้กับนักเคลมชาวกัมพูชาว่า “เคลมโบเดีย”
ด้วยเหตุนี้ชาวเน็ตไทยส่วนหนึ่ง จึงนำภาพสลักที่กำแพงปราสาทหินในเขมร โดยเฉพาะภาพสลักหินที่ อังกอร์ “นครวัด-นครธม (ปราสาทบายน)” แหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง มาประชดนักเคลมชาวเขมร ว่า เขมรเป็นต้นธารอารยธรรมทุกอย่างในโลก หรือ ใด ๆ ในโลกล้วนมาจากเขมร ไม่วาจะเป็น มวยไทย ซูโม่ วงแบล็กพิงก์ กัปตันอเมริกา ปิงปอง เบสบอล ไคจู ฯลฯ เรียกว่าไหน ๆ จะเคลมแล้วก็ประชดด้วยการเคลมให้สุด ๆ ไปเลย
ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กบัญชีรายชื่อ Padipon Apinyankulได้พูดถึงปรากฏการณ์เคลมจากภาพสลักที่กำแพงหิน โดยเฉพาะที่ อังกอร์ นครวัด-นครธม (ปราสาทบายน)ไว้ได้อย่างน่าสนใจ ในบทความ “ทำไมเขมร ถึงอยากได้วัฒนธรรมเป็นของตนเอง ด้วยการ “เคลม” ของชาติไทย” (ซึ่งมีคนสนใจเข้ามาดู พร้อมแชร์ และแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก) โดยส่วนหนึ่งของบทความที่พูดถึงเรื่องราวดังกล่าว กล่าวไว้ดังนี้
...อาณาจักรขอมนี้ คือกลุ่มชนโบราณหนึ่ง เจริญรุ่งเรืองที่สุดในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2
พอถึงสมัยพระเจ้าสูรยวรมันที่ 2 พระองค์ทรงได้สร้าง “ปราสาทนครวัด” ขึ้นมา เพื่อเป็นเมืองหลวงหรือเมืองพระนคร (เรียกว่า อังกอร์)
การสร้างปราสาทนครวัด ได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดู เกี่ยวกับความเชื่อเทพเจ้า
ปราสาทนครวัด สร้างเพื่อบูชาพระวิษณุ .. ดังนั้นภาพศิลปะหินแกะสลักที่เห็น สมัยนั้นแกะเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ซึ่งควรบูชาเทพเจ้า จึงปรากฏทั้งนางรำ นางสนม และนักรบ แรงงาน ฯลฯ
แต่จะใช้รูปแกะสลักนั้น มาตีความว่า > เป็นเจ้าของท่าทางแบบนั้น เป็นเจ้าของอาหารแบบนี้ เป็นเจ้าของลักษณะแบบนั้น
🚩 มันเป็นการตีความเกินกว่าความเป็นจริง ..
วิถีชีวิตลักษณะส่วนใหญ่สมัยนั้น มันเป็นวิถีชีวิตลักษณะ “ร่วม" ที่ผ่านมาทางศาสนาฮินดู (ความหมายของคำว่า วิถีชีวิตร่วม .. หมายถึงยังไม่กลายเป็น วัฒนธรรม)...
ด้านเพจ “โบราณนานมา” ก็ได้โพสต์อธิบายถึงเรื่องนี้ไว้ในช่วงท้ายของบทความ...อิทธิพลทางวัฒนธรรมไทยที่มีต่อกัมพูชา จนทำให้ถูกสะกดจิตหมู่ว่า “ไทยลอกกัมพูชา”...ได้อย่างน่าสนใจว่า
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการสูญหายไปของ “วัฒนธรรมเขมร” แบบดั้งเดิม ที่ผ่านมากัมพูชาถือ “วัฒนธรรมอินเดีย” เป็นวัฒนธรรมครูเหมือน “ไทย” และ “ลาว” แต่กัมพูชาก็ไม่ยอมรับวัฒนธรรมความเชื่อแบบเวียดนามที่มาจากจีน ดังนั้น กัมพูชาจะคุ้นเคยทางวัฒนธรรมกับ “ไทย” และ “ลาว” มากกว่า เพราะภูมิศาสตร์ของประเทศกัมพูชาล้อมไปด้วย “เผ่าไท” (กลุ่มตระกูลไท-กะได) กัมพูชาตอนนี้จึงอาจจะอยู่ในสภาวะ “การหลอมรวมหรือกลืนกลายทางวัฒนธรรม”
ซึ่งปรากฏการณ์นี้ก็กำลังเกิดขึ้นเรื่อย ๆ เช่น คนกัมพูชาเริ่มรู้ภาษาไทยมากขึ้น ภาษาเขมรเริ่มมีเสียงวรรณยุกต์ ศัพท์ไทยบางคำก็เริ่มจะแทรกซึมเข้าไปในภาษาเขมรมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงการแต่งกายเริ่มคล้ายไทย รสนิยมการกินการใช้ อาหาร ฯลฯ เริ่มเหมือนไทย
ทาง “ประเทศไทย” นั้นรู้จักว่าอะไรเป็น “ศิลปะของสยาม” อะไรเป็น “ศิลปะของขอม ศิลปะของของเขมร” แต่ในเมื่อกัมพูชาไม่รู้จึงเลยแยกแยะไม่ได้ เมื่อแยกแยะไม่ได้จึงรับ “วัฒนธรรมไทย (สยาม)” เข้าไปเต็ม ๆ
นอกจากนี้ทางเพจ โบราณนานมา ได้ตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องนี้ที่มีการปั่นกันจนเป็นประเด็นดราม่าข้ามชาติว่า
...ปรากฏการณ์ระหว่าง ๒ ประเทศนี้ ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดเป็นประจำ และแทบจะทุกครั้ง ที่ประเทศกัมพูชามักจะกล่าวหาว่าไทยนั้นลอกกัมพูชามา
เรื่องนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ที่จะเห็นได้มากและชัดเจนคือช่วงเลือกตั้งของประเทศกัมพูชา เมื่อถึงคราวเลือกตั้ง ก็จะมีการปลุกกระแสชาตินิยมในหมู่คนกัมพูชาให้เกลียดชังประเทศไทย กล่าวหาว่าไทยไปขโมยวัฒนธรรม พวกสยามเป็นพวกขี้ขโมย โขนเป็นของพวกเรา มวยไทยลอกเขมรมา ฯลฯ เป็นที่น่าเศร้าเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ก็จะมีคนคล้อยตามและอินเป็นส่วนใหญ่...
เช่นเดียวกับเพจ “เปาบุ้นจุ้น” ที่ตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้ว่า
#สร้างเรื่องทุกๆ10ปี
ช่วงนี้อย่าแปลกใจ ที่มีภาพคนเขมรเคลมทุกอย่างที่เป็นของเขา
ผู้ที่ทำคือคนของ...นั่นแหละ
คือ มีเจตนาให้คนเขมรหันมาสนใจเรื่องพวกนี้โดยใช้ไทยเป็นที่สังเวยเป็นหลัก
เขาต้องการให้คนเขมรเกิดอาการชาตินิยม เพื่อเบี่ยงเบน สิ่งเลวร้ายในตัวผู้นำเขา และหวังผลการเลือกตั้งช่วงกลางปีที่จะถึงนี้ เพราะเป็นการเลือกตั้งสนามใหญ่ ที่จะตัดสินว่า... จะได้เป็น...อีกสมัย จนครบ 40 ปีหรือไม่
ซึ่ง... ใช้วิธีการนี้ได้ผลมาแล้วหลายครั้งในอดีต เช่น สร้างเรื่อง คุณกบ สุวนันท์ ไปบอกว่า นครวัดเป็นของไทย หรือ รื้อฟื้นเรื่อง ประสาทพระวิหาร ให้เป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง และล่าสุด ก็เรื่อง มวยกุน ขแมร์ ในซีเกมส์ และกำแพงนครวัดนี่แหละ
สรุป เขาต้องการจะทำทุกอย่าง เพื่อเรื่องของคะแนนเสียงเท่านั้นเอง...
สำหรับเรื่องนี้คนไทยหลายคนที่ติดตามข้อมูลข่าวสาร แม้จะรู้สึกหงุดหงิด ไม่พอใจ ที่ชาวเน็ตเขมรส่วนหนึ่งได้เคลมของดีของไทยไปมากมาย แต่ก็ต้องตั้งสติให้ดี ตอบโตด้วยข้อเท็จจริง อย่าหลงเป็นเหยื่อผู้ไม่หวังดี ที่จะหวังยุยงให้เกิดความแตกแยกระหว่างภูมิภาค เพราะถึงอย่างไร ไทย-กัมพูชา ก็เป็นประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่ยังมีเรื่องให้ต้องร่วมมือร่วมใจกันอีกมากมาย
ดังนั้นการเป็นมิตร ผูกสัมพันธ์กันจึงดีที่สุด