ชวนทำบุญไหว้พระ ณ “วัดอัปสรสวรรค์” วัดเก่าแห่งฝั่งธนฯ สุดอันซีน พระประธาน 28 องค์ แห่งเดียวในกรุงเทพฯ พร้อมสักการะพระพุทธรูปปางฉันสมอ และชมหอไตรกลางน้ำที่งดงาม
ช่วงปลายปีต่อต้นปีแบบนี้ หลายๆ คนก็เริ่มออกไปทำบุญต้อนรับปีใหม่ เพิ่มสิริมงคลให้กับชีวิต วันว่างเลยชวนมาไหว้พระที่ “วัดอัปสรสวรรค์” วัดเก่าแก่แห่งฝั่งธนบุรี วัดเล็กๆ ที่มีความสำคัญและน่าสนใจไม่น้อย
“วัดอัปสรสวรรค์” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “วัดหมู” เป็นวัดโบราณ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยใด ส่วนเหตุที่เรียกว่าวัดหมูนั้น เนื่องจากผู้สร้างวัดแห่งนี้เป็นชาวจีนชื่ออู๋ มีอาชีพเลี้ยงหมูเป็นผู้สร้างขึ้น เมื่อมีวัดแล้วหมูเหล่านั้นก็มาเดินเพ่นพ่านเต็มลานวัด ชาวบ้านจึงเรียกว่าวัดหมูกันมาตั้งแต่นั้น แม้ภายหลังไม่มีหมูมาเดินแล้วก็ยังเรียกกันว่าวัดหมูต่อมา
ภายหลังจากที่จีนอู๋สร้างวัดนี้ขึ้นแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปวัดก็ทรุดโทรมลงไปตามกาล จนมาถึงในสมัยรัชกาลที่ ๓ เจ้าจอมน้อย (สุหรานากง) เห็นว่าวัดหมูทรุดโทรมมาก จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ พระองค์จึงได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้สถาปนาวัดนี้ขึ้นใหม่ทั้งวัด
และหลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์เพิ่มอีก และในครั้งนั้นก็ได้พระราชทานชื่อวัดให้ใหม่ว่า “วัดอัปสรสวรรค์” เพื่อเป็นที่ระลึกแด่เจ้าจอมน้อย ซึ่งมีความสามารถในการแสดงละครเรื่องอิเหนา เป็นตัวสุหรานากงได้ดี จนได้รับฉายาว่า เจ้าจอมน้อยสุหรานากง และในการบูรณะครั้งนี้ ทำให้วัดอัปสรสวรรค์ กลายมาเป็นวัดที่มีความพิเศษหนึ่งเดียวในเมืองไทย
หากเข้ามาถึงตัววัดแล้ว มองเข้าไปจะเห็นทางเข้าสู่พระอุโบสถ ซึ่งพระอุโบสถหลังนี้มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก สร้างด้วยศิลปะแบบจีน ตามพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ ๓ หน้าบันไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ แต่จะประดับประดาหน้าบันด้วยลวดลายปูนปั้นแบบจีน ว่ากันว่าพระอุโบสถที่นี่สร้างคล้ายกันกับที่วัดราชโอรสารามฯ ซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๓
ภายในพระอุโบสถนั้นมีความน่าสนใจยิ่งนัก เพราะหากได้เดินเข้าไปภายในก็จะได้พบกับพระประธานที่มีถึง 28 องค์ ที่ถือว่าเป็นความอันซีนหนึ่งเดียวในกรุงเทพฯ ไม่เหมือนกับวัดอื่นๆ ที่จะมีพระประธานเพียงองค์เดียว โดยพระประธานทั้ง 28 องค์นี้ รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อครั้งที่มีการปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้นั่นเอง
เหตุที่สร้างพระพุทธรูปมากถึง 28 พระองค์ ก็เพื่อแทนพระพุทธเจ้าที่ได้เกิดขึ้นมาในชาติภาพต่างๆ รวมแล้ว 28 พระองค์ ได้แก่ พระพุทธตัณหังกร พระพุทธเมธังกร พระพุทธสรณังกร พระพุทธทีปังกร พระพุทธโกณฑัญญะ พระพุทธสุมังคละ พระพุทธสุมนะ พระพุทธเรวตะ พระพุทธโสภิตะ พระพุทธอโนมทัสสี พระพุทธปทุมะ พระพุทธนารทะ พระพุทธปทุมุตตระ พระพุทธสุเมธะ พระพุทธสุชาตะ พระพุทธปิยทัสสี พระพุทธอัตถทัสสี พระพุทธธรรมทัสสี พระพุทธสิทธัตถะ พระพุทธติสสะ พระพุทธปุสสะ พระพุทธวิปัสสี พระพุทธสิขี พระพุทธเวสสภู พระพุทธกกุสันธะ พระพุทธโกนาคมนะ พระพุทธกัสสปะ และพระพุทธโคตมะ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าที่เราได้เรียนรู้เรื่องราวของพระองค์
พระพุทธรูปทั้ง 28 พระองค์นี้ เป็นปางมารวิชัย หล่อขึ้นให้มีขนาดเท่าๆ กัน คือหน้าตักกว้าง 1 ศอก สูงถึงยอดพระรัศมี 1 ศอก 4 นิ้ว เป็นปางมารวิชัยเหมือนกันหมด ตั้งอยู่บนฐานชุกชีเดียวกันวางเรียงตั้งลดหลั่นกันลงมาเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมงดงามแปลกตา และถ้าอยากจะรู้ว่าองค์ไหนเป็นองค์ไหนก็ดูได้จากตัวอักษรจารึกพระนามอยู่ที่ฐานพระพุทธรูปแต่ละองค์ ซึ่งองค์ที่อยู่ด้านบนสุดก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรก หรือ พระพุทธตัณหังกร ส่วนองค์ที่อยู่ด้านหน้าสุดของแถวล่างก็คือ พระพุทธโคตมะ หรือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนั่นเอง
ด้วยความพิเศษที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวนี้ พระพุทธรูปประธาน 28 องค์ ในพระอุโบสถวัดอัปสรสวรรค์จึงถูกยกย่องให้เป็นอันซีนบางกอก ที่อยากชวนทุกคนให้มาเห็นด้วยตาของตัวเอง ซึ่งที่นี่ก็จะใช้บทสวดมนต์พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ เป็นบทสวดมนต์เฉพาะของวัดอัปสรสวรรค์ และจะใช้สวดทุกครั้งที่ทำวัตรเช้า-เย็น รวมถึงจะเพิ่มบทสวดนี้เป็นกรณีพิเศษในการสวดมนต์ในพิธีการต่างๆ ด้วย
ออกจากพระอุโบสถแล้วก็เดินไปด้านข้างที่เป็นพระวิหาร ซึ่งเป็นศิลปะแบบจีนเช่นเดียวกัน ภายในมีพระพุทธรูปอยู่สององค์ เป็นพระปางมารวิชัยทั้งสององค์ และในภายหลังได้มีผู้มาสร้างรูปหล่อนางสุชาดา กำลังถวายข้าวมธุปายาสแก่พระพุทธเจ้าด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจภายในวัดก็คือ “พระพุทธรูปปางฉันสมอ” ที่ประดิษฐานอยู่ภายในพระมณฑปสีขาว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานไว้ พระพุทธรูปองค์นี้กล่าวว่าได้มาจากเวียงจันทน์ ซึ่งอัญเชิญลงมายังกรุงเทพฯ พร้อมๆ กับพระบรมธาตุ พระบาง และพระแซกคำ แต่พระพุทธรูปปางฉันสมอในพระมณฑปนี้ ถูกอัญเชิญไปเก็บรักษาไว้บนกุฏิ และได้นำองค์จำลองมาประดิษฐานไว้แทนเพื่อความปลอดภัย
อีกฝั่งหนึ่งของวัด เป็นที่ตั้งของ “หอไตร” เก่าแก่ของวัดที่อยู่กลางน้ำ เหตุที่ต้องสร้างให้อยู่กลางน้ำก็เพื่อป้องกันมอด ปลวก ที่จะมากัดแทะหนังสือให้เสียหาย ตัวหอไตรนั้นมีความงดงามมาก ฝาผนังประดับกระจก ส่วนบานประตูและหน้าต่างก็เขียนด้วยลายรดน้ำ และหอไตรแห่งนี้ยังเป็นต้นแบบของหอเขียน ที่จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาดอีกด้วย
ทำบุญที่วัดกันเสร็จแล้ว อย่าลืมแวะไปทำทานกันต่อที่บริเวณศาลาท่าน้ำริมคลองด่าน แวะให้อาหารปลาในคลอง พร้อมๆ กับชมบรรยากาศสบายๆ ของวิถีชีวิตริมน้ำกันได้ด้วย
* * * * * * * * * * * * * *
“วัดอัปสรสวรรค์” ตั้งอยู่ภายในซอยวัดอัปสร ถนนรัชมงคลประสาธน์ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ พระอุโบสถและพระวิหารเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.30-16.00 น.
#########################################
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline