xs
xsm
sm
md
lg

เที่ยว “อุบล” เต็มคาราเบล “ผาชะนะได” นำทัพรับพลัง 4 แสงแห่งเมืองดอกบัวงาม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ปิ่น บุตรี


ทุ่งดอกไม้ป่าที่ผาชนะได เริงร่ารับแสงตะวันก่อนใครในสยาม
ชวนเที่ยวอุบล แบบเต็มคาราเบล ในแนวทางที่แตกต่าง สัมผัสพลัง 4 แสงแห่งเมืองดอกบัวงาม ในแคมเปญ “Stylecation ชวนเที่ยวไทย..แบบที่ใช่สไตล์ที่ชอบ” ที่จะทำให้ใครหลาย ๆ คนหลงรักเมืองนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก

เป็นที่รู้กันดีว่า “อุบลราชธานี” เป็นจังหวัดที่เห็นแสงตะวันก่อนใครในสยามประเทศ ณ “ผาชะนะได” ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงไทย-ลาว

ด้วยเหตุนี้ “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)” จึงหยิบยกแนวคิดเรื่องจุดเห็นแสงแรกของวันที่ผาชะนะได มาต่อยอดเป็นกิจกรรมหลงรักแผ่นดินอีสาน เที่ยวสัมผัสประสบการณ์ 4 แสงแห่งจังหวัดอุบลราชธานี ในแคมเปญ “Stylecation ชวนเที่ยวไทย..แบบที่ใช่สไตล์ที่ชอบ

ผาชะนะได (แสงเช้า)


ผาชะนะได จุดชมแสงอาทิตย์แห่งแรกของเมืองไทย
เปิดประเดิมแสงแรกแห่งเมืองดอกบัวงามกันที่ “ผาชะนะได” จุดรับตะวันก่อนใครในสยาม หรือ จุดชมแสงอาทิตย์แห่งแรกของเมืองไทย เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาใช้เป็นสถานที่อ้างอิงถึงตำแหน่งที่เห็นแสงอาทิตย์ขึ้นเป็นจุดแรกของเมืองไทย

ผาชะนะได (ต.นาโพธิ์กลาง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี) ตั้งอยู่ ณ เส้นแวง (ลองจิจูด) ที่ 105 องศา 37 ลิปดา 17 ฟิลิปดา ในบริเวณผืนป่าดงนาทาม อุทยานแห่งชาติผาแต้ม

ผาชะนะไดมีความสูง 450 เมตร จากระดับน้ำทะเล มีลักษณะเป็นลานหินกว้าง มีชะง่อนหินยื่นเป็นติ่งออกมาเป็นดังสัญลักษณ์ของที่นี่

ทุก ๆ เช้ามืด จะมีคนมาเฝ้ารอชมแสงตะวันก่อนใครในสยาม ซึ่งพระอาทิตย์จะขึ้นมาจากทางฝั่ง สปป.ลาว นอกจากนี้ในวันที่อากาศเป็นใจจะเห็นทะเลหมอกขาวโพลนลอยละล่องอ้อยอิ่งท่ามกลางแสงตะวันแรกของเมืองไทยที่สาดส่อง ดูสวยงามน่าประทับใจไม่น้อย

เสาเฉลียงคู่
บริเวณผาชะนะได (ทางฝั่งขวาของชะง่อนหิน) ในช่วงหน้าหนาวยังมีดอกไม้ป่าบนลานหิน จำพวก “ดุสิตา” (สีม่วงเข้ม), “สร้อยสุวรรณา” (สีเหลืองเข้ม), “มณีเทวา” หรือกระดุมเงิน (สีขาวนวล) และ “หยาดน้ำค้าง” (สีแดง) พืชกินแมลงออกดอกเบ่งบานบนแปลงเล็ก ๆ แต่งแต้มประดับพื้นที่

ไม่เพียงเท่านั้นบริเวณผาชะนะไดยังมี ผากำปั่น น้ำตกห้วยพอก และเนินสนสองใบ เป็นจุดชวนชมน่าสนใจ ส่วนในเส้นทางขึ้น-ลง จะมีประติมากรรมธรรมชาติ “เสาเฉลียงคู่” และ “หินเต่าชมจันทร์” ให้แวะถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลิน

เส้นทางชมภาพเขียนสีโบราณที่ผาแต้ม
สำหรับผู้มาเยือนผาชะนะได หากมีเวลาขอแนะนำให้เที่ยว อช.ผาแต้มกันต่อ เพราะอุทยานฯแห่งนี้มีสิ่งน่าสนใจให้ชมกันเพียบ นำโดย “ผาแต้ม” ที่เป็นภาพเขียนสีโบราณอายุราว 3,000-4,000 ปี ก่อนประวัติศาสตร์

นอกจากนี้ก็ยังมีเสาเฉลียง ลานหินแตก น้ำตกต่าง ๆ เช่น น้ำตกแสงจันทร์หรือน้ำตกลงรู น้ำตกสร้อยสวรรค์ และแปลงดอกไม้บานบนลานหินบริเวณน้ำตกสร้างสวรรค์ที่มีความสวยงามในอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย

เขื่อนสิรินธร (แสงกลางวัน)


โซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริด ใหญ่ที่สุดในโลก ที่เขื่อนสิรินธร (ภาพ : ซินหัว)
จากแสงแรกยามเช้าเรามาสัมผัสกับพลังแสงอาทิตย์ในช่วงกลางวันกันที่ “เขื่อนสิรินธร” (ต.นิคมลำโดมน้อย อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี) เขื่อนดินเอนกประสงค์ที่มีวิวทิวทัศน์สวยงาม ซึ่งนอกจากจะให้ประโยชน์ด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้า การชลประทาน และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนแล้ว ที่นี่ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นของอุบล

ไม่เพียงเท่านั้น วันนี้เขื่อนสิรินธรยังมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจาก โครงการ “โซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริด” ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีแผงโซลาร์เซลล์ลอยน้ำมากถึง 145,000 แผง บนผืนน้ำอันกว้างใหญ่พื้นที่กว่า 450 ไร่ สามารถผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยจะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก ส่วนเมื่อไม่มีแสงแดดหรือในเวลากลางคืน ก็สามารถนำพลังน้ำจากเขื่อนสิรินธรมาผลิตไฟฟ้าได้อีกทางหนึ่ง

Nature Walkway ทางเดินบนเรือนยอดไม้
นอกจากนี้ที่เขื่อนสิรินธรยังมี “Nature Walkway” เป็นทางเดินบนเรือนยอดไม้ ที่ออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับรูปทรงของพระอาทิตย์เปล่งรัศมี (คล้ายภาพวาดของเด็ก)

Nature Walkway มีความยาว 415 เมตร มีช่วงไฮไลท์บริเวณทางเดินวงกลมที่มีการแตกแฉกรัศมียื่นออกมา ที่บริเวณปลายสุดของทางเดินในบางช่วงทำเป็นพื้นกระจกใสมองเห็นพื้นล่างชัดเจน ชวนให้ตื่นเต้นหวาดเสียวกันเล็กน้อย

Nature Walkway ช่วงพื้นกระจกใส
บน Nature Walkway นอกจากจะมองเห็นวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบในเขื่อนสิรินธรแล้ว บนนี้ยังสามารถมองเห็นที่ตั้งของแผงโซล่าเซลล์ลอยน้ำไฮบริดใหญ่ที่สุดในโลก ที่เป็นหนึ่งในแหล่งรับพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ที่มีความโดดเด่นในระดับโลกเลยทีเดียว

วัดภูพร้าว (แสงราตรี)


“วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว” หรือ “วัดภูพร้าว” เป็นวัดที่มีความแปลกแตกต่างจากวัดทั่วไปตรงที่ในยามค่ำคืนที่นี่จะเกิดปรากฏแสงมหัศจรรย์อันน่าตื่นตาตื่นใจ (จากการสร้างสรรค์ของมนุษย์) จนได้ชื่อว่าเป็น “วัดเรืองแสง” แห่งแรกในเมืองไทย

มหัศจรรย์แสงเรืองรองยามราตรีที่วัดภูพร้าว
วัดภูพร้าว ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง บนนี้สามารถชมวิวได้หลายทิศทาง โดยเฉพาะยามเย็นจะมองเห็นพระอาทิตย์ตกเหนือเขื่อนสิรินธรได้อย่างสวยงาม

โบสถ์วัดภูพร้าวได้รับอิทธิพลของงานสถาปัตยกรรมมาจากโบสถ์ “วัดเชียงทอง” แห่งเมืองมรดกโลก หลวงพระบาง สปป.ลาว โดยนำมาประยุกต์สร้างสรรค์ในสไตล์ของตัวเอง

โบสถ์หลังนี้มีผนังเปิดโล่ง 3 ด้าน (ผนังทึบเฉพาะด้านหลัง) มีงานประติมากรรมปูนปั้นพญานาคเลื้อยประดับรอบโบสถ์อย่างสวยงาม ภายในประดิษฐานพระประธานคือองค์พระพุทธชินราชจำลอง แบบเป็นองค์พระโดด ๆ ไม่มีรัศมี พระเกตุมาลา และซุ้มเรือนแก้ว ด้านหลังองค์พระประดับงานไม้แกะสลักรูปต้นโพธิ์ที่ช่วยหนุนส่งให้องค์พระประธานดูงดงามเปรี่ยมศรัทธามากยิ่งขึ้น

ต้นไม้เรืองแสงที่ผนังหลังโบสถ์
นอกจากโบสถ์หลังงามแล้ววัดภูพร้าวยังมีไฮไลท์สำคัญคือในยามค่ำคืนบริเวณรอบ ๆ โบสถ์ ที่จำลองมาจากสภาพแวดล้อมของวัดป่าหิมพานต์หรือเขาไกรลาศ จะเกิดปรากฏการณ์ “เรืองแสง” จากไอเดียการสร้างสรรค์ของ ช่าง “คุณากร ปริญญาปุณโณ” ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากต้นไม้แห่งชีวิต ในภาพยนตร์เรื่องอวตาร

ด้วยเหตุนี้ช่างคุณากรจึงได้สร้างสรรค์ต้นไม้เรืองแสงขึ้นที่ผนังหลังโบสถ์ (ด้านนอก) รวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆ รอบโบสถ์ จากโมเสกผสมสารเรืองแสง หรือ “สารฟอสเฟอร์” ที่ในยามค่ำคืนจะเปล่งประกายเรืองแสงขึ้นไปทั่วบริเวณ

สำหรับวัดภูพร้าวแห่งนี้ถือเป็น 1 ใน 4 หมุดหมายสำคัญของทริปสัมผัสพลังแสงแห่งเมืองดอกบัวงามกับการสัมผัสแสงยามราตรี ที่ดูสวยงามแปลกตาจนกลายเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์และสัญลักษณ์ทางการท่องเที่ยวสำคัญของเมืองดอกบัวงาม

โบสถ์ได้รับอิทธิพลมาจากวัดเชียงทอง หลวงพระบาง
วัดพระธาตุหนองบัว (แสงแห่งธรรม)

ปิดท้ายกันด้วยการรับพลังจากแสงสุดท้าย (แสงที่ 4 ) แห่งเมืองดอกบัวงามนั่นก็คือ “แสงแห่งธรรม” ซึ่งทาง ททท. ได้ชู “วัดพระธาตุหนองบัว” เป็นสถานที่รับพลังแสงแห่งธรรมเสริมสิริมงคลของโครงการนี้

วัดพระธาตุหนองบัว (ถ.ธรรมวิถี ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 ปัจจุบันมี 3 สิ่งสำคัญให้เที่ยวชมและสักการะขอพรกันตามศรัทธา ได้แก่

พระธาตุหนองบัว เจดีย์พุทธคยาจำลอง สัญลักษณ์วัดพระธาตุหนองบัว
-“พระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์” หรือ “พระธาตุหนองบัว” ที่จำลองแบบมาจากเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (เจดีย์พุทธคยาเป็นพระธาตุประจำตัวคนเกิดปีมะเส็ง (งูเล็ก) ตามคติความเรื่องการไหว้สาพระธาตุของล้านนาโบราณ)

พระธาตุหนองบัวปัจจุบันมีลักษณะพิเศษ คือเป็นสถาปัตยกรรมเจดีย์ (พุทธคยา) ครอบเจดีย์ (พุทธคยา) อีกที โดยองค์พระธาตุเจดีย์องค์เดิม เป็นเจดีย์พุทธคยา (สีทอง) กว้าง 5 เมตร สูงราว 17 เมตร สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการครบรอบ 25 ศตวรรษของพุทธศาสนา

ต่อมาในปี 2512 ได้มีการสร้างพระธาตุองค์ใหญ่ (องค์ปัจจุบัน) เป็นเจดีย์พุทธคยาสีขาวตัดเส้นประดับลวดลายสีทองครอบพระธาตุองค์เดิม มีฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 17 เมตร สูง 56 เมตร ซึ่งปัจจุบันถือเป็นไฮไลท์และสัญลักษณ์ของวัดแห่งนี้

ภายในอุโบสถศาลา
-“อุโบสถศาลา” (ตั้งอยู่หลังองค์พระธาตุหนองบัว) เป็นโบสถ์ที่สร้างอย่างงดงามอลังการด้วยศิลปะประยุกต์ไทยผสมอินเดีย มีหลังคาโค้งรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ พร้อมมีระเบียงพาไลโดยรอบ โบสถ์หลังนี้ได้รับอิทธิพลการสร้างมาจากปรินิพพานวิหารเมืองกุสินารา รัฐอุตรประเทศ ประเทศอินเดีย

ภายในโบสถ์ดูอลังการงานสร้าง มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวพุทธประวัติที่เขียนอย่างสวยงามประณีต และพระพุทธรูปหลายองค์ให้สักการะบูชา โดยมีพระประธานเป็นพระพุทธรูปไสยาส ปางพระพุทธรูปเจ้าเสด็จปรินิพพานประดิษฐานอยู่ด้านบนสูงสุด

ส่วนด้านหน้าโบสถ์มีองค์ประพุทธรูปประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ซึ่งทางวัดได้นำหน่อมาจาก “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” แห่งพุทธคยาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มาปลูกไว้ที่นี่ตั้งแต่ปี 2498ที่สร้างวัด

คู่พญานาคสีรุ้ง หน้าพระธาตุหนองบัว
-“พญานาคสีรุ้ง” ที่อยู่บริเวณด้านหน้า (ฝั่งขวา) ขององค์พระธาตุหนองบัว เป็นพญานาคสีรุ้งคู่ 2 ตน คือ “ท่านปู่กริชกรกต นาคราช” (ขวา) และ “ท่านย่ากลีบมณีเกตุนาคิณี” (ซ้าย) ที่สร้างได้อย่างงดงามวิจิตร ในลักษณะท่าทางกำลังเลื้อย (เหมือนมีชีวิต) เพื่อพิทักษ์ปกป้องพระพุทธศาสนาที่มีสัญลักษณ์แทนด้วยองค์พระธาตุหนองบัว ซึ่งวันนี้พญานาคสีรุ้งคู่นี้ ถือเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กกราบไหว้พญานาคสำคัญของภาคอีสาน

นอกจาก 3 สิ่งสำคัญแล้ว วันนี้วัดพระธาตุหนองบัวยังมีการ “ห่มผ้าพระธาตุ” เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมน่าสนใจที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่วัดพระธาตุหนองบัวจะมีการห่มผ้าพระธาตุในวันพระใหญ่ มาฆบูชา วิสาขบูชา และอาสาฬหบูชา

กิจกรรมห่มผ้าพระธาตุหนองบัว
ส่วนถ้านักท่องเที่ยวที่มาเป็นกรุ๊ปทัวร์คณะใดต้องการห่มผ้าพระธาตุหนองบัว นอกเหนือจากวันดังกล่าวก็สามารถแจ้งความประสงค์ล่วงหน้ากับทางวัดพระธาตุหนองบัว เพื่อที่กรรมการวัดจะได้จัดเตรียมผ้าไตรจีวร และเครื่องใช้ในพิธีไว้ให้

อย่างไรก็ดีสำหรับแสงธรรมแห่งเมืองดอกบัวงามนั้น ผู้สนใจสามารถไปไหว้พระ สัมผัสแสงแห่งธรรมได้จากวัดต่าง ๆ ทั่วไปในจังหวัดอุบล เพราะแสงแห่งธรรมที่แท้จริงนั้นไม่ใช่มาจากแสงสีที่ส่องสว่างจากภายนอก หากแต่กำเนิดเกิดก่อขึ้นมาจากภายในจิตใจของเรานั่นเอง

วัดพระธาตุหนองบัว
*********************************************

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลที่พัก ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอุบลราชธานี ได้ที่ ททท. สำนักงานอุบลราชธานี โทร. 0-4524-3770, 0-4525- 0714 และสอบถามกิจกรรมห่มผ้าพระธาตุวัดพระธาตุหนองบัวได้ที่ โทร. 09-9245-4551




กำลังโหลดความคิดเห็น