xs
xsm
sm
md
lg

เผยความลับ “เมอร์ไลออน” สัญลักษณ์คู่สิงคโปร์ ครบรอบวันเกิด 50 ยังแจ๋ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ปิ่น บุตรี


เมอร์ไลออน สัญลักษณ์คู่ประเทศสิงคโปร์ (ภาพจาก Kin Pastor)
พาไปรู้จักกับ “เมอร์ไลออน” สัญลักษณ์คู่ประเทศสิงคโปร์ ที่มีอายุครบรอบ 50 ปี ในปีนี้ พร้อมเผยความลับที่มาของรูปปั้นต้นแบบเมอร์ไลออนที่วันนี้แม้แต่คนสิงคโปร์จำนวนมากก็ยังไม่รู้

หากพูดประเทศสิงคโปร์ เชื่อว่าหลายคนจะคิดถึงภาพของ “เมอร์ไลออน” (Merlion) ลอยมาเป็นอันดับต้น ๆ เนื่องจากนี่คือหนึ่งในสัญลักษณ์ดังของประเทศสิงคโปร์ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี ซึ่งวันนี้มีอายุครบรอบ 50 ปีพอดี ดังนั้นเราจึงขอพาไปย้อนรอบรู้จักกับต้นกำเนิด ที่มา และความลับบางอย่างของเจ้าสัตว์ลูกครึ่งสิงโต-ปลาสัญลักษณ์ดังแห่งเมืองลอดช่องกัน

เมอร์ไลออน หัวเป็นสิงโต ลำตัวเป็นปลา (ภาพจาก : Joshua Ang)
เมอร์ไลออน เป็นสัตว์ลูกครึ่งอิงประวัติศาสตร์ที่มีหัวเป็นสิงโต มีลำตัวเป็นปลา โดยส่วนหัวสิงโตเป็นตัวแทนของชื่อดั้งเดิมของสิงคโปร์ คือ “สิงหปุระ” หรือ เมืองสิงโต ส่วนลำตัวปลา เป็นสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายของสิงคโปร์ในฐานะหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งเรียกกันในสมัยนั้นว่า Temasek (เทมาเส็ก) ซึ่งมีรากศัพท์เดียวกันกับคำว่า ทาสิก (แปลว่า “ทะเลสาบ” ในภาษามาเลย์)

จุดกำเนิดของเมอร์ไลออน แม้ไม่ได้มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แต่มีตำนานเล่าขานกันว่า “เจ้าชายแสง นิลา อุตามา” แห่งเมืองพาเล็มบัง (ประเทศอินโดนีเซีย) ผู้ค้นพบท่าเรือสินค้าเก่าแก่ของเมืองเทมาเส็ก ได้เห็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายสิงโตตอนที่มาถึงเกาะแห่งนี้

วันนี้เมอร์ไลออนมีอายุครบ 50 ปีแล้ว
เจ้าชายแสงจึงตั้งชื่อเมืองแห่งนี้ขึ้นใหม่ว่า “สิงหปุระ” หรือสิงคโปร์ในปัจจุบัน ซึ่งมีรากศัพท์จากภาษาสันสกฤตคำว่า “สิงห์” และ “ปุระ” ซึ่งแปลว่า เมืองสิงห์ และได้ขนานนามอีกชื่อว่า “เมอร์ไลออน” ที่เกิดจากคำว่า “Mer” ที่แปลว่า ทะเล และ Lion ที่แปลว่า สิงโต

ต่อมาในปี 2507 สัตว์ในตำนานที่มีหัวเป็นสิงโต และมีลำตัวเป็นปลา ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นโลโก้ให้กับการท่องเที่ยวสิงคโปร์ โดยการออกแบบได้แรงบันดาลใจมาจากความเป็นหมู่บ้านชาวประมง (Fishing Village) รวมกับสิงหปุระ (Lion City) เพื่อเป็นการรำลึกถึงช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่เกาะแห่งนี้ได้ถูกค้นพบ

รูปเมอร์ไลออนโลโก้ดั้งเดิมของการท่องเที่ยวสิงคโปร์ (ภาพจาก : การท่องเที่ยวสิงคโปร์)
โลโก้เมอร์ไลออน ได้จดทะเบียนการค้าเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2509 และได้ถูกนำมาใช้เป็นเวลายาวนาน 33 ปี ตั้งแต่นั้น จนถึง พ.ศ. 2540

สำหรับรูปปั้นเมอร์ไลออนนั้นที่เป็นแลนด์มาร์กและจุดถ่ายรูปสำคัญของผู้ไปเยือนสิงคโปร์นั้น ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในปี พ.ศ. 2515 จากช่างฝีมือชาวสิงคโปร์ชื่อว่า “ลิม นัง เส็ง” โดยใช้แบบร่างโดยศิลปินชื่อ “ควาน ไส เคียง” เป็นต้นแบบ

ช่างลิมกำลังแกะสลักรูปปั้นสิงโตทะเลขนาดเล็ก ซึ่งเป็นประติมากรรมต้นแบบเมอร์ไลอ้อนในปัจจุบัน (ภาพจาก : Lim Nang Seng Collection, courtesy of National Archives of Singapore)
ส่วนหัวสิงโต และส่วนลำตัวที่เป็นปลาก็มาจากตำนานที่ถูกเล่าส่งต่อมาจากอดีต โดยรูปปั้นสร้างให้หันหน้าออกไปยังท้องทะเลตามหลักฮวงจุ้ย ซึ่งนายช่างลิมที่เป็นประติมากรนั้น ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ปั้นเมอร์ไลออน หลังจากที่เขาได้รับรางวัลมากมายจากการประกวดแข่งขันที่จัดขึ้นโดยการท่องเที่ยวสิงคโปร์

สำหรับเรื่องนี้แม้แต่คนสิงคโปร์หลายคนเองก็อาจจะไม่ทราบว่า ช่างลิม ไม่ได้ปั้นเมอร์ไลออนนี้ด้วยตัวคนเดียว แต่ได้รับความช่วยเหลือจากลูก ๆ ทั้ง 8 คนของเขา โดยลูก ๆ ที่โตหน่อย ก็จะปีนขึ้นไปบนนั่งร้าน และช่วยแกะส่วนตาของเมอร์ไลอ้อน ส่วนน้องเล็ก ๆ ก็แกะสลักเกล็ดปลา และครีบในส่วนหางของเมอร์ไลออน ลูก ๆ ทุกคนมีความยินดีและภูมิใจที่ได้ช่วยพ่อของพวกเขาทำงานนี้ และไปช่วยงานที่สถานที่ก่อสร้างเกือบทุกวันทั้งก่อนไปโรงเรียนและหลังเลิกเรียน

เมอร์ไลออนต้องหันหน้าออกสู่ทะเลตามหลักฮวงจุ้ย (ภาพจาก : การท่องเที่ยวสิงคโปร์)
หลังจากนั้นในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2515 อดีตนายกรัฐมนตรี ลี กวน ยู เป็นประธานในพิธีติดตั้งและเผยโฉมเมอร์ไลออนอย่างเป็นทางการ ที่ปากแม่น้ำสิงคโปร์ โดยเมอร์ไลอ้อนหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตามหลังฮวงจุ้ย เชื่อว่าจะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เมือง ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้รูปปั้นเมอร์ไลออน ณ เมอร์ไลออน ปาร์ค กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตของประเทศสิงคโปร์ที่รู้จักกันไปทั่วโลก

อย่างไรก็ดีในปีพ.ศ. 2540 ได้มีการสร้างสะพานเอสพลานาด เพื่ออำนวยความสะดวกทางด้านการจราจรจากตัวเมืองไปยังย่านมารีน่า ซึ่งส่งผลให้ทัศนียภาพของเมอร์ไลออนถูกบดบัง จึงเป็นสาเหตุให้มีการย้ายที่ตั้งของเมอร์ไลอ้อนไปอยู่ตำแหน่งใหม่

เมอร์ไลออน หนึ่งในจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว
ในปี 2545 จึงได้มีการคัดเลือกสถานที่ถึง 8 แห่งที่จะเป็นที่ตั้งแห่งใหม่ของเมอร์ไลอ้อน ก่อนที่จะมีการตัดสินใจให้ย้ายรูปปั้นเมอร์ไลอ้อน ไปตั้งอยู่ที่เมอร์ไลอ้อน ปาร์ค แห่งใหม่ หน้าศูนย์การค้า One Fullerton ซึ่งห่างจากจุดเดิมไป 120 เมตร

สำหรับหนึ่งในเหตุผลที่สำคัญมากก็คือ เมอร์ไลอ้อนจะต้องตั้งอยู่ใกล้กับปากแม่น้ำสิงคโปร์เท่านั้น เนื่องจากบริเวณนี้ เป็นสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ เพราะเป็นบริเวณที่ เจ้าชายแสง นิลา อุตามา ได้เห็นสัตว์ที่ท่านคิดว่าเป็นสิงโตเป็นครั้งแรกนั่นเอง

เมอร์ไลอ้อน ตั้งโดดเด่นที่เมอร์ไลอ้อน ปาร์ค แห่งใหม่
ขณะที่เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 รูปปั้นเมอร์ไลออนได้มีอีกหนึ่งบทบันทึกสำคัญ คือถูก “ฟ้าผ่า” จากพายุฝนฟ้าคะนองในช่วงตอนบ่ายแก่ ๆ ทำให้ชิ้นส่วนบริเวณแผงคอตกลงมา จนเกิดเป็นรูขึ้นที่รูปคลื่นที่ส่วนฐานของรูปปั้น โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว รูปปั้นเมอร์ไลอ้อนถูกปิดไปประมาณ 1 เดือนเพื่อบูรณะซ่อมแซมและติดตั้งระบบป้องกันฟ้าผ่าให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ในปี 2561 การท่องเที่ยวสิงคโปร์ได้เปิดตัวการ์ตูนเมอร์ไลอ้อน โดยตั้งชื่อว่า “น้องเมอร์ลี” เพื่อดึงดูดเด็ก ๆ และเยาวชน ซึ่งได้รับความสำเร็จอย่างสูง ความน่ารักของน้องเมอร์ลีก็สามารถครองใจผู้ชมได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่นั้นมาเมอร์ไลออน และน้องเมอร์ลี ก็ทำหน้าที่เล่าขานตำนานที่ผ่านมาในอดีต และพร้อมที่จะสร้างเรื่องราวบทใหม่มากมายเกี่ยวกับเมอร์ไลออน และน้องเมอร์ลี ต่อไป

เมอร์ไลออนตัวใหญ่บนเกาะเซนโตซ่า
นาย คีธ ตัน ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวสิงคโปร์กล่าวว่า “เมอร์ไลออน เป็นสัญลักษณ์คู่บ้านคู่เมืองสิงคโปร์ที่รู้จักกันไปทั่วโลกมาอย่างยาวนาน ซึ่งนับเป็นหนึ่งในตัวแทนการท่องเที่ยว ที่ช่วยให้สิงคโปร์เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวามากขึ้น และเป็นบ้านเกิดที่ชาวสิงคโปร์ทุกคนภาคภูมิใจ หลังจากช่วงเวลาที่ยากลำบากของธุรกิจการท่องเที่ยวสองปีที่ผ่านมา ถึงเวลาที่เราจะร่วมเฉลิมฉลองวันเกิดครบ 50 ปีให้กับเมอร์ไลออน โดยขอเชิญชวนทั้งคนสิงคโปร์และนักท่องเที่ยวให้มาฉลองวันเกิดร่วมกัน”

11 นิทรรศการศิลปะ ในงาน “Nothing is Forever: Rethinking Sculpture in Singapore” (ภาพจาก : dellpryorgalleries.com)
สำหรับวันนี้เมอร์ไลออนมีอายุครบรอบ 50 ปี และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองอายุครึ่งศตวรรษ เบื้องต้นทางการท่องเที่ยวสิงคโปร์ ได้มีการจัดไฟตกแต่งประดับรูปปั้นเมอร์ไลออน ที่ เมอร์ไลอ้อน ปาร์ค ใกล้ศูนย์การค้า One Fullerton ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายนไปจนถึงวันที่ 29 กันยายน 2565 เวลา 18.00 -24.00 น. ทุกวัน

ส่วนผู้ที่ชื่นชอบศิลปะ ก็สามารถเข้าชมนิทรรศการศิลปะ เกี่ยวกับเมอร์ไลอ้อนได้ที่หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ ในงาน “Nothing is Forever: Rethinking Sculpture in Singapore” และสำหรับผู้ที่สนใจด้านการทำขนมก็สามารถลงทะเบียนเรียนการทำคุกกี้รูปน้องเมอร์ลีกับ RedMan Baking Studio ได้อีกด้วย
สำหรับรายละเอียดเพิ่ม สามารถเข้าไปดูที่ https://www.nationalgallery.sg/content/art-all-around-you-discover-sculpture-anew-through-landmark-survey
11 นิทรรศการศิลปะ ในงาน “Nothing is Forever: Rethinking Sculpture in Singapore” (ภาพจาก : dellpryorgalleries.com)

ไฟตกแต่งรูปปั้นเมอร์ไลออนฉลองอายุครบ 50 ปี

ไฟตกแต่งรูปปั้นเมอร์ไลออนฉลองอายุครบ 50 ปี



กำลังโหลดความคิดเห็น