“เกาะเชจู” แห่งประเทศเกาหลีใต้ เป้าหมายแห่งใหม่ของเหล่าผีน้อย เพราะเดินทางเข้าได้ง่ายกว่า ซึ่งเกาะเชจูแห่งนี้ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของเกาหลีใต้ ที่ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ กับแหล่งท่องเที่ยวไฮไลต์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นซองซาน อิลชุบง, ซอพจิโกจิ, หมู่บ้านวัฒนธรรม และยังมีสัญลักษณ์ของเกาะเชจูอย่าง “ทอลฮารุบัง”
เมื่อไม่กี่วันมานี้เพิ่งมีข่าวออกมาว่า ทางการเกาหลีใต้ปฏิเสธไม่ให้คนไทย 115 คนที่เดินทางมากับเที่ยวบินเช่าเหมาลำของเจจูแอร์เข้าประเทศ ซึ่งทั้งหมดจัดอยู่ในประเภทที่ต้องเข้ารับการตรวจสอบซ้ำ และจะถูกส่งกลับตามกฎหมาย
อันที่จริงแล้ว เหตุการณ์ที่ทางการเกาหลีใต้ปฏิเสธไม่ให้คนไทยเข้าประเทศ และถูกส่งกลับ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น แต่มีมานานแล้ว ซึ่งช่วงก่อนเกิดโควิด กลุ่มที่เดินทางเข้าไปทำงานที่เกาหลีใต้แบบผิดกฎหมาย หรือที่มักจะเรียกกันว่า “ผีน้อย” มักจะเดินทางเข้าเกาหลีใต้ผ่านทางสนามบินอินชอน
แต่ภายหลังจากเกิดโควิด เกาหลีใต้มีข้อกำหนดให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าประเทศ ต้องขอรับใบอนุญาตการเดินทางทางอิเล็กทรอนิกส์ (K-ETA) ก่อนการเดินทาง ยกเว้นที่ “เกาะเชจู” ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา คนไทยสามารถเดินทางไปเที่ยวที่เกาะเจจูได้ โดยไม่ต้องใช้วีซ่า และไม่ต้องขอ K-ETA โดยสามารถอยู่ในเจจูได้ 30 วัน นั่นทำให้เหล่าผีน้อยเบนเป้าหมายในการเดินทางมาลงที่สนามบินบนเกาะเชจูแทน
แต่นอกจากการเป็นเป้าหมายใหม่ของเหล่าผีน้อย “เกาะเชจู” ก็ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวติดอันดับต้นๆ ของเกาหลีใต้ ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาตินิยมเดินทางไปท่องเที่ยวกัน
“เกาะเชจู” (Jeju Island) หรือ เชจู-โด ในภาษาเกาหลี เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติในชื่อ "เกาะภูเขาไฟเชจูและอุโมงค์ลาวา” เมื่อปี 2550 เนื่องจากเป็นตัวแทนในวิวัฒนาการสำคัญต่างๆ ในอดีตของโลก และเป็นตัวแทนของขบวนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางธรณีวิทยา หรือวิวัฒนาการทางชีววิทยา และปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่กำลังเกิดอยู่
ส่วนในด้านประวัติศาสตร์ของเกาะเชจูนั้น ในอดีตเคยเป็นสถานที่ที่ใช้เนรเทศนักโทษทางการเมือง หรือนักโทษหนักๆ ถ้ายังจำกันได้ ในเรื่องแดจังกึม ก็มีฉากที่นางเอกของเรื่องต้องโทษถูกเนรเทศมายังเกาะเชจูด้วยเหมือนกัน ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 เกาะเชจูตกอยู่ในการยึดครองของชาวมองโกล ซึ่งกินเวลานานนับร้อยปี ทำให้วิถีชีวิตของชาวเกาะเชจูได้รับอิทธิพลจากมองโกลเป็นอย่างมาก
ด้วยภูมิประเทศที่เป็นเกาะ ทำให้เกาะเชจูนั้นมีอากาศอบอุ่นแม้กระทั่งในฤดูหนาว อุณหภูมิแทบจะไม่ต่ำไปกว่าจุดเยือกแข็ง และกลายเป็นแหล่งพักผ่อนตากอากาศของชาวเกาหลีใต้ รวมไปถึงนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวเกาหลีใต้นั้นมักจะเดินทางมาเล่นกอล์ฟที่เกาะแห่งนี้
สัญลักษณ์ของเกาะเชจูนี้มี 3 อย่าง คือ หนึ่ง “ลม” เพราะว่ามันเป็นเกาะที่มีลมพัดตลอดปี สอง “ผู้หญิง” เพราะเมื่อก่อนเชจู เป็นสถานที่ที่ใช้เนรเทศพวกนักโทษทางการเมือง หรือโทษหนักๆ แล้วพวกที่เคยเป็นขุนนางก็จะเอาคนรับใช้มาด้วยจำนวนมาก หลังจากพวกขุนนางตาย พวกสาวๆ เหล่านี้ก็ไม่รู้จะไปไหนก็เลยตั้งรกรากอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ ในยุคก่อนชาวเกาะเจจูมีอาชีพประมงเป็นหลัก ผู้ชายจะออกเรือหาปลา และด้วยคลื่นลมทะเลที่แรง ผู้ชายส่วนใหญ่จึงเรือล่มตายกลางทะเลกันไปหมด เลยทำให้มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ส่วนอย่างที่สาม “หินลาวา” เพราะที่นี่มีภูเขาไฟอยู่มากมาย เลยมีหินลาวาเกลื่อนทั่วเกาะ และหินลาวาที่ว่านี้ก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเกาะเจจู และสามารถพบเห็นได้ทั่วเกาะเจจู นั่นคือ “ทอลฮารุบัง” (Dolharubang) หรือ “หินปู่” เป็นหินลาวาสลักเป็นรูปคนแก่ใจดีหลากหลายรูปแบบ ชาวเจจูมีความเชื่อว่าทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์คุ้มครองเกาะ และยังเชื่อถึงความศักดิ์สิทธิที่ว่าหากอยากร่ำรวยให้ลูบที่ท้องของทอลฮารุบัง ส่วนคู่แต่งงานนิยมมาขอลูก เชื่อว่าหากลูบที่หูจะได้ลูกผู้หญิง ลูบที่จมูกจะได้ลูกผู้ชาย
ทางด้านแหล่งท่องเที่ยวไฮไลต์บนเกาะเชจูที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวกัน เริ่มที่ “ซองซัน อิลชุบง” (Seongsan Ilchulbong) หรือ ยอดเขาแห่งตะวันรุ่ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะเจจู เกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟที่อยู่ใต้น้ำกลายเป็นยอดภูเขาไฟรูปกรวยคว่ำ เป็นหนึ่งในภูเขาไฟ 360 ลูกที่อยู่บนเกาะ อยู่ติดริมทะเล มีความงามทางธรรมชาติมากจนได้รับเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก การมาเที่ยวซองซานอิลชุลบงถ้าอยากจะชมปากปล่องภูเขาไฟแบบใกล้ๆ เราต้องออกแรงขากันหน่อย ด้วยการเดินขึ้นตามทางลาดพื้นหิน และเดินขึ้นไปตามบันไดที่มีความสูงชันพอสมควร เรียกเหงื่อให้ซึมกายนิดๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วก็จะได้พบกับความมหัศจรรย์ของปากปล่องภูเขาไฟที่มีลักษณะเหมือนมงกุฎ ตรงปากปล่องมีความกว้างประมาณ 600 ม. และสูง 90 ม. ด้านบนนี้มีทัศนียภาพที่งดงาม สามารถมองเห็นภูมิประเทศของเกาะเจจูได้ในมุมสูง และบนนี้ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามมากด้วย จึงเป็นที่มาของชื่อยอดเขาแห่งตะวันรุ่ง
“ซอพจิโกจิ” (Seopjikoji) คำว่า “โกจิ” เป็นภาษาถิ่นของชาวเจจู หมายถึง อ่าวขนาดเล็ก เมื่ออดีตเป็นเพียงแค่แหลมธรรมดาๆ มีทุ่งหญ้ากว้างติดทะเล จากชายฝั่งจะมีโขดหินที่มีรูปร่างแปลกตาให้ดูมากมาย และต่อมามีการสร้างโบสถ์คริสต์ ประภาคาร และอาคารอีกหลายหลังขึ้นเพื่อใช้เป็นฉากถ่ายทำละครหลายเรื่อง นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบซีรีย์เกาหลีมักนิยมมาเที่ยวที่นี่เพื่อมาถ่ายรูปคู่กับสถานที่ที่เคยปรากฏอยู่ในละคร ไม่ว่าจะเป็น โบสถ์ ประภาคารสีขาวที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินเขา และยังมีทุ่งดอกยูแช หรือดอกเรปซีด ที่จะผลิดอกสีเหลืองบานสะพรั่งเต็มท้องทุ่งสวยงามมากๆ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
“หมู่บ้านวัฒนธรรมเชจู” (Jeju Folk Village Museum) ซึ่งคนที่มาจะได้สัมผัสกับความเป็นอยู่ วัฒนธรรม และประเพณีของชาวเกาะเชจูเมื่อสมัยร้อยกว่าปีก่อนหน้านี้ โดยภายในนั้นจะแบ่งออกเป็นหมู่บ้านต่างๆ เช่น หมู่บ้านบนภูเขา หมู่บ้านประมง หมู่บ้านของชาวพุทธมองโกล ซึ่งทำให้เห็นได้ถึงความแตกต่างทั้งการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ความเป็นอยู่ การทำมาหากิน ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือ เคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์ย้อนยุคของเกาหลีหลายๆ เรื่อง และเรื่องที่โด่งดังที่สุดคือ แดจังกึม
นอกจากแหล่งท่องเที่ยวที่กล่าวไปแล้ว ยังมีอีกหลายจุดท่องเที่ยวของเกาะเชจูที่นักท่องเที่ยวนิยมไป เช่น อุทยานแห่งชาติภูเขาฮัลลาซาน ชายหาดวอลจองรี วัดยักชอนซา ไร่ชาโอซุลลอค เลิฟแลนด์ โขดหินจูซังจอลรีแด ถ้ำลาวามานจังกุล เป็นต้น
สำหรับการเดินทางไปท่องเที่ยวยัง “เกาะเชจู” หรือการเดินทางเข้าสู่ประเทศเกาหลีใต้ทางสนามบินอื่นๆ ในระยะนี้ทางการเกาหลีใต้มีความเข้มงวดด้านการตรวจคนเข้าเมืองมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางจากประเทศไทย ซึ่งนั่นก็เป็นผลจากการกระทำผิดกฎหมายของคนบางกลุ่ม ที่ส่งผลสะเทือนมาถึงนักท่องเที่ยวตัวจริง ที่ตั้งใจเข้าไปท่องเที่ยวในเกาหลีใต้ ก็อาจจะถูกส่งกลับประเทศแม้ว่าจะไม่ได้ทำอะไรผิดเลยก็ตาม
#########################################
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline