xs
xsm
sm
md
lg

“มาเตรา" (Matera) เมืองมรดกโลก ที่ปรากฏในหนังเจมส์ บอนด์ “No Time to Die”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เครดิตภาพ: Giulia Gasperini
เมืองมรดกโลกทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ซึ่งปรากฏหลักฐานของการมีคนอยู่อาศัยนับย้อนกลับไปได้มากกว่า 9,000 ปี แม้ในยุคหนึ่งเมืองเคยได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ความอัปยศของอิตาลี’ แต่ทว่าในวันนี้เมืองกลับมาโด่งดังเป็นที่จับตาในฐานะเมืองท่องเที่ยวสุดร้อนแรง แม้แต่ “เจมส์ บอนด์” ยังต้องมาเยือน!

เครดิตภาพ: alleksana
ทิวทัศน์ชวนให้ตื่นตะลึงของเมือง “มาเตรา” (Matera) ปรากฏให้เห็นอยู่แทบจะทั่วเมือง โดยเฉพาะโบสถ์ที่ตระหง่านเด่นอยู่กลางเมือง รายล้อมไปด้วยอาคารบ้านเรือนเก่าและทางเดินที่สร้างลดหลั่นกันไปตามเนินเขาเป็นสีสันโทนขาวของอิฐและหินที่ผ่านร้อนหนาวของกาลเวลามาหลายศตวรรษ

เครดิตภาพ: Giulia Gasperini
มาเตรา เป็นเมืองทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี อยู่ในแคว้นบาซีลีคาตา (Basilicata) ภูมิศาสตร์อันโดดเด่นตั้งอยู่บนหุบเขาที่ถูกกัดเซาะโดยแม่น้ำกราวิน่า โดยมีพื้นที่เก่าแก่หลายศตวรรษอย่างบริเวณที่เรียกว่า Sassi หรือ ซาสซี่ ซึ่งเป็นบ้านเรือนในโถงถ้ำที่แกะสลักไว้ในหุบเขา สลับซับซ้อน และมีหลักฐานปรากฏว่า มีผู้อาศัยมานับหมื่นปีก่อนคริสตกาล

ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองจึงมีความผสมผสานไว้หลากหลาย เพราะเคยถูกครอบครองโดยชนชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชาวกรีก โรมัน ลองโกบาร์ด ไบแซนไทน์ ซาราเซ็นส์ สวาเบียน แองเจวินส์ อารากอนนิส และบูร์บอง

เครดิตภาพ: alleksana
แม้เป็นศูนย์กลางของแคว้นบาซิลีคาตา แต่เมืองแห่งนี้ก็เคยมียุคตกต่ำที่สุดเช่นกัน จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “ความอัปยศของอิตาลี” เลยทีเดียว นั่นคือ ในช่วงทศวรรษ 1950 เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนในเขต Sassi เต็มไปด้วยความยากจน ระบบสุขาภิบาลที่ไม่ถูกสุขอนามัยโดยปราศจากสิ่งอำนวยความสะดวกหรือระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัย ว่ากันว่ารัฐบาลอิตาลีรู้สึกละอายใจจนต้องบังคับให้ชาวบ้านย้ายไปอยู่อาศัยในแหล่งที่ทันสมัยกว่าในบริเวณใกล้เคียง

แล้วเมืองเก่าแก่ก็ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้อีกนับสิบปี จนกระทั่งในช่วงปี 1970 การฟื้นฟูจึงเริ่มต้นขึ้น อีกครั้ง และคราวนี้ก็ทำให้เมืองเก่าค่อยๆกลับมาเฉิดฉายทีละนิด รวมถึงการได้รับสถานะเป็นเมืองมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ.1993

เครดิตภาพ: Giulia Gasperini
หลังจากการเป็นมรดกโลกไปแล้ว เมื่อก้าวเข้าสู่ศตวรรษใหม่ มาเตรา ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น เริ่มจากในปี ค.ศ. 2004 เมล กิ๊บสัน เลือกใช้เมืองแห่งนี้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Passion of the Christ (แต่ใช้แทนโลเคชั่นของเมืองเยรูซาเล็ม)

เครดิตภาพ: hyperbros
จนกระทั่ง 3-4 ปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงของมาเตรา ก็มาแรงแบบฉุดไม่อยู่ เพราะได้รับเลือกให้เป็น Best Cities 2018 หรือเมืองน่าไปเที่ยวที่สุดจากสื่อท่องเที่ยวระดับโลกอย่าง Lonely Planet ตามด้วยปีถัดมา ได้รับสถานะให้เป็นหนึ่งในเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมแห่งยุโรปในปี 2019 (European Capital of Culture)

เครดิตภาพ: Marius Spita
ล่าสุด ใครเป็นแฟนหนัง “เจมส์ บอนด์” ก็จะเห็นว่าในภาคล่าสุด No Time to Die (2021) สายลับเบอร์หนึ่งของโลก ก็เลือกไปใช้เวลาพักผ่อนสุดสวีทกับแฟนสาวที่เมืองมาเตรา ก่อนที่จะกลายเป็นฉากไล่ล่าสุดมัน ที่ผสมไปกับความน่าตื่นตาตื่นใจของเมืองโบราณ

เครดิตภาพ: Alessio Roversi
ในวันนี้ มาเตรา กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ขึ้นชื่อไปแล้ว การไปเยือนเมืองแห่งนี้ต้องไม่พลาดไปเขต Sassi ทั้งสองแห่ง ได้แก่ Sasso Caveoso กับ Sasso Barisano ที่สร้างขึ้นบนถ้ำธรรมชาติ มีโบสถ์ อาราม วัง และบ้านเรือนที่ทำด้วยหินปูนสีซีดตั้งตระหง่านอยู่ริมหุบเขาอย่างน่าทึ่ง ส่วนตัวเมืองก็มีทั้งโบสถ์เก่า โรงแรม พิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก ร้านอาหารหรู บาร์ แหล่งเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ และชุมชนศิลปะที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา 

กลมกล่อมกันเป็นความงามเชิงสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ที่ไม่ว่าจะเป็นกลางวัน หรือกลางคืนก็สร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือนสมกับเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก

เครดิตภาพ: Luca Micheli

#########################################

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel  MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline


กำลังโหลดความคิดเห็น