xs
xsm
sm
md
lg

9 ที่เที่ยว “สุรินทร์” พาเที่ยวจังหวัดแรกของไทยที่เปลี่ยนให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นางอัปสราหินทรายอันอ่อนช้อยด้านหน้าปราสาทศีขรภูมิ
หลังจากที่ต้องใช้ชีวิตในภาวะโรคระบาดโควิด-19 มาราวๆ สองปีกว่า ทุกวันนี้เราก็ต้องปรับเปลี่ยนชีวิตไปตามสถานการณ์ จากอะไรที่เป็น New Normal ก็กลายเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใส่แมส ล้างมือบ่อยๆ หรือแม้แต่การ Work from Home

มติจากคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้เห็นชอบให้ปรับโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 65 เป็นต้นไป แต่ที่ “สุรินทร์”ได้ประกาศออกมาแล้วว่าพร้อมเปลี่ยนให้โควิด-19 เป็นโรคระบาดประจำถิ่น เป็นจังหวัดแรกของประเทศไทย โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 65 เป็นต้นไป

*อัพเดตล่าสุด (30 มี.ค. 65) ผวจ.สุรินทร์ แถลงเลื่อนการเป็นจังหวัดนำร่อง ‘โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น’ ในวันที่ 1 เม.ย.นี้ ออกไปก่อน

นอกจากจะเป็นจังหวัดนำร่องที่จะเปลี่ยนให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นแล้ว ที่ “สุรินทร์” ก็ยังเป็นจังหวัดที่น่าเที่ยวไม่น้อย

ชวนมาชม 9 ที่เที่ยว “สุรินทร์”เที่ยวสนุก สุดเพลิน ที่เมืองช้าง

ศาลหลักเมืองสุรินทร์
ศาลหลักเมือง
แต่เดิม “ศาลหลักเมือง” เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนหลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องธรรมดา ภายในมีก้อนหินที่สันนิษฐานว่าเป็นเสมาหินโบราณที่แตกหัก หรือเศษของจารึกหินทรายในสมัยขอม

แต่ปัจจุบัน ศาลหลักเมืองสุรินทร์เป็นศาลรูปปราสาทรูปปรางค์ สถาปัตยกรรมขอมประยุกต์ สร้างในปี 2511 ส่วนเสาหลักเมืองเป็นไม้ชัยพฤกษ์ แกะเป็นลวดลายพระพรหมสี่หน้า โดยในปี 2515 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงเจิมเสาหลักเมืองสุรินทร์ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน หลังจากนั้นจึงอัญเชิญเสาหลักเมืองกลับมาที่สุรินทร์ และมีการเฉลิมฉลองสมโภชในปี 2516

หลวงพ่อพระชีว์ พระคู่บ้านคู่เมือง

พระอุโบสถวัดบูรพาราม
วัดบูรพาราม
วัดนี้ถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองสุรินทร์ มีอายุราว 200 ปี สร้างโดยพระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง (ปุม) เป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อพระชีว์” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองสุรินทร์ หลวงพ่อพระชีว์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประดิษฐานอยู่ในวิหารจัตุรมุขด้านหลังพระอุโบสถ คาดว่าสร้างขึ้นพร้อมกับวัด ในราว 200 ปีมาแล้ว โดยคนสุรินทร์ต่างกราบไหว้และนับถือท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองสุรินทร์ตลอดมา


ส่วนบริเวณด้านข้างพระอุโบสถนั้น เป็นที่ตั้งของ “พิพิธภัณฑ์กัมมัฎฐาน-อัฐิธาตุ” ที่ประดิษฐานรูปเหมือนของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล พระเกจิอาจารย์ผู้ล่วงลับ หลวงปู่ดุลย์นั้นเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเก่งเรื่องปฏิบัติภาวนา มีลูกศิษย์ลูกหาเคารพศรัทธามากมาย อีกทั้งหลวงปู่ดุลย์ยังเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดบูรพารามแห่งนี้อีกด้วย

เจดีย์หลวงปู่ดุลย์ที่เขาพนมสวาย

พระพุทธสุรินทรมงคลบนเขาพนมสวาย
วนอุทยานพนมสวาย
“เขาพนมสวาย” เป็นพื้นที่ที่เคยเป็นภูเขาไฟ (ปัจจุบันดับสนิทแล้ว) มีลักษณะเป็นภูเขาเตี้ยๆ มี 3 ยอด คือ เขาชาย (เขาพนมเปราะ) เขาหญิง (เขาพนมสรัย) และเขาคอก (เขาพนมกรอล) ตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบันชาวสุรินทร์ถือว่าเขาพนมสวายเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่แสวงบุญ โดยทุกวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 จะมีประเพณีเดินขึ้นเขาพนมสวายจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี

จากบริเวณจุดจอดรถก่อนที่จะไปเขาทั้ง 3 ยอด แวะมาที่เจดีย์หลวงปู่ดุลย์เพื่อมากราบสักการะรูปเหมือนและอัฐิของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล เกจิแห่งเมืองสุรินทร์เพื่อเป็นสิริมงคลกันก่อน ก่อนจะไปที่ “เขาคอก” ที่อยู่ใกล้ๆ กัน บนยอดเขาคอกเป็นคือศาลาอัฐมุขที่ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง และใกล้ๆ กันนั้นมีศาลาเจ้าแม่กวนอิมให้สักการะกันด้วย

จากนั้นเดินเท้าไปที่ "เขาชาย" ซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน “พระใหญ่” หรือ “พระพุทธสุรินทรมงคล” พระพุทธรูปปางประทานพร หน้าตักกว้าง 15 ม. ความสูง 21.50 ม. อีกทั้งบันไดทางขึ้นสู่องค์พระยังมีระฆังแขวนเรียงรายตลอดเส้นทาง ซึ่งหากนับรวมระฆังทั้งหมดมีจำนวนถึง 1,080 ใบ ด้านบนเขายังสามารถมองเห็นร่องรอยของปากปล่องภูเขาไฟในอดีตได้อีกด้วย

ส่วนบริเวณ "เขาหญิง" นั้น เป็นที่ตั้งของวัดพนมศิลาราม ทางวัดได้จัดสร้างพระพุทธรูปองค์ขนาดกลางประดิษฐานบนยอดเขา และยังมีสระน้ำโบราณ 2 สระที่เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของเต่าศักดิ์สิทธิ์

ช้างน้อยที่บ้านตากลางแสดงความสามารถด้วยการวาดภาพ

ประเพณีบวชนาคช้างอันยิ่งใหญ่แห่ง จ.สุรินทร์
หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง
ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านเลี้ยงช้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยชาวบ้านที่นี่เป็นชาวกวย หรือชาวกูย ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในอดีตของสุรินทร์ที่มีขนบธรรมเนียมและประเพณีวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับช้าง เนื่องจากชาวกวยเป็นคนเลี้ยงช้างที่มีความรู้ความชำนาญในการจับช้างป่ามาเลี้ยงตั้งแต่ในอดีต โดยนำมาเลี้ยงไว้ใช้งาน และเลี้ยงเป็นเสมือนสมาชิกในครอบครัว

นักท่องเที่ยวสามารถไปเยือน “ศูนย์คชศึกษา” ภายในหมู่บ้านตากลาง เพื่อชมการแสดงโชว์ช้างที่มีให้ชมทุกวัน วันละ 2 รอบ (10.00 และ 14.00 น.) ไม่ว่าจะเป็นการโชว์ช้างวาดรูป ช้างเตะฟุตบอล ฯลฯ ที่ทำได้น่ารักน่าชมยิ่งนัก หรือจะเข้าไปเยี่ยมชมบรรยากาศความผูกพันของคนกับช้างภายในหมู่บ้านตากลาง รวมไปถึงสามารถเข้าไปชม “สุสานช้าง” ที่มีเพียงแห่งเดียวในโลก ณ สำนักสงฆ์วัดป่าอาเจียง ได้อีกด้วย

ปราสาทบ้านพลวง
ปราสาทบ้านพลวง
เป็นปราสาทหินที่แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีลวดลายแกะสลักที่วิจิตรงดงามและสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในไทย ตัวปราสาทเป็นปรางค์ก่อด้วยหินทรายและอิฐ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลง มีคูน้ำล้อมรอบ เป็นศาสนสถานประจำชุมชน เชื่อว่าสร้างถวายแด่พระอินทร์เพราะที่ทับหลังของปราสาทนั้นสลักเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณทั้งสามด้าน

ปราสาทภูมิโปน
ปราสาทภูมิโปน
ได้ชื่อว่าเป็นปราสาทศิลปะขอมที่มีความเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย โดยก่อสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ประกอบด้วยอาคาร 4 หลัง ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุดคือปราสาทอิฐหลังใหญ่ซึ่งมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสก่อด้วยอิฐไม่สอปูน และยังคงเหลือลายสลักหินให้ชมเพียงเล็กน้อยเป็นรูปใบไม้ม้วนแบบศิลปะคุปตะรุ่นหลังของอินเดียบริเวณหน้าบันเหนือทับหลัง ส่วนอาคารอิฐอีก 3 หลังหลงเหลือเพียงส่วนฐานและกรอบประตูเท่านั้น

ปราสาทศีขรภูมิ
ปราสาทศีขรภูมิ
สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ประจำชุมชนในลัทธิความเชื่อศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย นับถือพระศิวะหรือพระอิศวรเป็นเทพเจ้าสูงสุด โดยเป็นปราสาทอิฐ 5 หลัง ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน มีปราสาทประธานอยู่ตรงกลาง และปราสาทบริวารอยู่โดยรอบทั้ง 4 มุม ที่นี่นอกจากจะมีทับหลังแกะสลักอันงดงามเป็นภาพศิวนาฏราชแล้ว บริเวณขอบประตูด้านหน้าปรางค์ประธานยังมีภาพสลักนางอัปสราหินทรายที่สวยและสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย

ปราสาทตาเมือนธม
กลุ่มปราสาทตาเมือน
เป็นโบราณสถานศิลปะขอมที่อยู่ริมชายแดนไทย-กัมพูชา ประกอบไปด้วยปราสาท 3 หลังที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือนหรือปราสาทบายกรีม เชื่อว่าในอดีตที่นี่เคยเป็นชุมชนโบราณเพราะเป็นเส้นทางผ่านช่องเขาสำคัญระหว่างเมืองพระนครไปยังพิมายปุระ

“ปราสาทตาเมือนธม” เป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม สร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกายซึ่งนับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด เป็นโบราณสถานสมัยบาปวน อายุราวพุทธศตวรรษที่ 17 ปราสาทแห่งนี้ประกอบด้วยอาคารหลายหลัง ได้แก่ ปราสาทประธาน ซึ่งมีหลักฐานสำคัญคือศิวลึงค์ซึ่งเป็นโขดหินธรรมชาติ หรือ “สวยมภูลึงค์” และมีท่อโสมสูตรหรือท่อน้ำมนต์จากการสักการะศิวลึงค์ ต่อจากปราสาทประธานไปยังระเบียงคด นอกจากนั้นยังมีบรรณาลัยหรือหอเก็บคัมภีร์ 2 หลัง มีปราสาทวิหารอีก 2 องค์สร้างด้วยหินทราย ซึ่งปราสาทหลังหนึ่งพบว่ามีการจารึกภาษาขอมบนหินข้างเสาประตู มีระเบียงคด และสระน้ำกรุด้วยศิลาแลงอยู่ภายนอกอาคารอีกด้วย

ปราสาทตาเมือนโต๊ด

ปราสาทตาเมือน (บายกรีม)
ห่างกันไป 340 ม. เป็นที่ตั้งของ “ปราสาทตาเมือนโต๊ด” ปราสาทขนาดเล็กที่เชื่อว่าเป็นอโรคยาศาล หรือสถานที่รักษาพยาบาลของชุมชน เป็นอโรคยาศาล 1 ใน 102 แห่งที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อช่วยอาณาประชาราษฎร์ ตัวปราสาทก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงล้อมรอบ และมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่บริเวณใกล้ๆ อีกหนึ่งสระ

ส่วน “ปราสาทตาเมือน (บายกรีม)” เป็นปราสาทหลังเล็กที่สุด อยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธมไป 750 ม. ตัวปราสาทก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว เชื่อว่าเป็นธรรมศาลาหรือที่พักสำหรับคนเดินทาง เรียกได้ว่ากลุ่มปราสาทตาเมือนนี้มีความสมบูรณ์ในด้านของการอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้คนที่ใช้เส้นทางผ่านช่องเขา แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้ในอดีตคงจะมีชุมชนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ หรือเป็นทางผ่านที่สำคัญในภูมิภาคแห่งนี้ในราวพุทธศตวรรษที่ 18

ปราสาทตาควาย
ปราสาทตาควาย
“ปราสาทตาควาย” หรือปราสาทตากระเบย (กระบือ) ที่อยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนไปราว 20 กม. อยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาเช่นกัน ตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ฐานสร้างด้วยศิลาแลง ส่วนตัวปราสาทก่อขึ้นไปโดยใช้หินทราย มีทางเข้า 4 ทาง เชื่อว่าสร้างขึ้นเป็นศาสนสถานเพื่อบูชาพระศิวะ โดยภายในมีก้อนหินที่สันนิษฐานว่าเป็นศิวลึงค์ธรรมชาติคล้ายๆ กับที่ปราสาทตาเมือนธม ส่วนหลังคาก่อเป็นทรงพุ่มยอดปรางค์ซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป 5 ชั้น ปราสาทตาควายยังเป็นปราสาทหลังเดียวโดดๆ ไม่มีอาคารประกอบอื่นๆ และไม่มีลวดลายแกะสลักใดๆ ทำให้เชื่อว่าเป็นปราสาทที่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ดี

#########################################

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline




กำลังโหลดความคิดเห็น