“อุบลราชธานี” เป็นจังหวัดในแถบอีสานใต้ เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีแม่น้ำโขงไหลเลาะเลียบชายแดน และเป็นจังหวัดสุดท้ายของไทยที่สายน้ำโขงไหลไปสิ้นสุดที่ บ้านเวินบึก อ.โขงเจียม ก่อนจะไหลต่อไปยัง สปป.ลาว
แต่นอกจากน้ำโขงแล้ว ที่อุบลราชธานีก็ยังมี “น้ำเขื่อน” จากเขื่อนใหญ่ของจังหวัดอย่างที่ “เขื่อนสิรินธร” ที่มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของคนจำนวนมาก
ทริปนี้เลยจะขอชวนมาเที่ยวลัดเลาะริมน้ำ ทั้งน้ำเขื่อนและน้ำโขงกันที่ “อุบลราชธานี”
เริ่มต้นการท่องเที่ยวกันที่แหล่งท่องเที่ยวน้องใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา “Nature Walkway” ซึ่งตั้งอยู่ที่ “เขื่อนสิรินธร” (อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี)
สำหรับเขื่อนสิรินธรนั้น เป็นเขื่อนอเนกประสงค์ที่มีความสำคัญยิ่งแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเขื่อนประเภทหินถมแกนดินเหนียวสร้างปิดกั้นแม่น้ำลำโดมน้อยอันเป็นสาขาของแม่น้ำมูล นอกจากจะให้ประโยชน์ด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้า การชลประทาน และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนแล้ว ยังเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่างมาก
โดย “Nature Walkway” เป็นแหล่งท่องเที่ยวน้องใหม่ล่าสุดของเขื่อนสิรินธรที่เพิ่งเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ไม่นาน แต่ก็มีผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก จากทัศนียภาพที่งดงาม สามารถเดินชมวิวสวยๆ บนเส้นทางเดินชมธรรมชาติในมุมสูง ความยาวกว่า 415 เมตร ซึ่งขณะนี้เปิดให้ชมในเฟสแรก ความยาวกว่า 200 เมตร
เส้นทางเดินชมธรรมชาติในมุมสูง มีทางเดินสูงเหนือยอดไม้ สามารถชมวิวเขื่อนสิรินธรได้กว้างไกลสุดสายตา และที่เป็นไฮไลต์คือ ที่บริเวณปลายสุดของสะพานแต่ละจุด จะเป็นพื้นกระจกที่สามารถมองเห็นด้านล่างได้อย่างชัดเจน
และเมื่อมองออกไปทางด้านซ้าย ก็จะเห็น “โซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริด” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นแผงโซลาร์เซลล์บนผืนน้้าอันกว้างใหญ่พื้นที่กว่า 450 ไร่ ซึ่งมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนใครอยู่ที่ระบบสามารถผลิตไฟฟ้าได้ทั้งจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก และเมื่อไม่มีแสงแดดหรือในเวลากลางคืน ก็สามารถนำพลังน้ำจากเขื่อนสิรินธรมาผลิตไฟฟ้าได้
ทั้งสองจุดนี้ นับว่าเป็นแลนด์มาร์คท่องเที่ยวสำคัญของเขื่อนสิรินธรที่ไม่ควรพลาด
นอกจากนี้ บริเวณท้ายเขื่อนสิรินธรยังมี “ลำโดมน้อย” ที่ถูกพัฒนาให้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง โดยการจัดกิจกรรม “ล่องแพลำโดมน้อย” ที่มีให้บริการอยู่หลายแห่ง เป็นแพขนาดใหญ่ที่ล่องไปตามลำน้ำโดมน้อย ชมความเขียวขจีของป่าไม้ทั้งสองข้างลำน้ำและน้ำไหลที่ใสสะอาด สามารถสั่งอาหารมานั่งกินบนแพ หรือให้แวะจอดเล่นน้ำเย็นๆ ได้ด้วย
ไม่ไกลจากบริเวณนี้ยังมีอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวสุดอัศจรรย์ “วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว” เมื่องานพุทธศิลป์รูปต้นไม้ที่ผนังด้านหลังโบสถ์จะค่อยๆ เปล่งประกาย เกิดเป็นรูปต้นไม้เรืองแสงอันโดดเด่นท่ามกลางความมืด จนผู้คนขนานนามวัดแห่งนี้ว่า “วัดเรืองแสง”
วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง โดยจำลองสภาพแวดล้อมของวัดป่าหิมพานต์หรือเขาไกรลาศ บริเวณบนยอดเขาจะมองเห็นพระอุโบสถสีปัดทอง จุดเด่นของวัดคือ การได้มาชมภาพเรืองแสงเป็นสีเขียวของของต้นกัลปพฤกษ์ที่เป็นจิตรกรรมอยู่บนผนังด้านหลังของอุโบสถ ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการมาชมและถ่ายภาพต้นกัลปพฤกษ์ คือตั้งแต่เวลา 18.00 -20.00 น. จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะได้มองเห็นต้นไม้เรืองแสง
จากน้ำเขื่อน มาสู่น้ำโขงกันที่ “โขงเจียม” อำเภอสุดท้ายของไทยที่สายน้ำโขงไหลผ่าน หากมีโอกาสได้มาพักที่นี่ แนะนำให้ตื่นแต่เช้า มารอชมพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมวิวสวยๆ ของลำน้ำโขงกันที่ “วัดถ้ำคูหาสวรรค์”
ภายในวัดมีจุดชมวิวแม่น้ำโขง และจุดชมวิวแม่น้ำสองสี (จุดที่แม่น้ำโขงและแม่น้ำมูลไหลมารวมกัน) ที่ต้องเดินขึ้นไปด้านบน ทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบๆ ได้ในมุมสูง โดยจะมองเห็นทั้งบ้านเรือนในตัวเมืองโขงเจียม ทิวทัศน์ฝั่ง สปป.ลาว และแม่น้ำโขงที่แบ่งเขตแดนระหว่างสองประเทศ
หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้ากันแล้ว ก็แวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดกันต่อ ซึ่งวัดถ้ำคูหาสวรรค์แห่งนี้สร้างขึ้นโดย หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมจำพรรษา บริเวณที่ตั้งของวัดอยู่บนที่ราบสูงริมฝั่งแม่น้ำโขง
ภายในวัดมีพระอุโบสถสีขาวหลังงาม พระธรรมเจดีย์ศรีไตรภูมิ เจดีย์ยอดสีทองอร่าม ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิ ใกล้ๆ กันมีฆ้องอาเซียนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเมื่อเดินลงไปด้านล่างจะเป็นถ้ำคูหาสวรรค์ ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปหลายองค์ และยังเป็นที่ตั้งโลงแก้วบรรจุสรีระสังขารไม่เน่าเปื่อยของหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี
ทำบุญกันตั้งแต่เช้าตรู่ เสร็จแล้วก็ได้เวลาแวะหาอาหารเช้ารองท้องกันที่ตลาดเช้าในตัวเมืองโขงเจียม ที่นี่เป็นตลาดสด และมีอาหารวางขายหลากหลาย ทั้งอาหารท้องถิ่น และอาหารเช้ากินง่ายๆ อย่างไก่ย่าง ข้าวเหนียว กาแฟ ปาท่องโก๋
อิ่มท้องแล้วก็มาชมวิวกันต่อที่ “จุดชมวิวแม่น้ำสองสี” ภายใน “วัดโขงเจียม” ที่ถือว่าเป็นจุดชมวิวแม่น้ำสองสีที่ดีที่สุด
สาเหตุที่มีชื่อว่าแม่น้ำสองสี นั่นก็เนื่องจากในช่วงที่น้ำเยอะ แม่น้ำโขงจะมีสีแดงหรือสีปูน ขณะที่แม่น้ำมูลมีเขื่อนปากมูลกั้นขวาง ปล่อยน้ำเป็นเวลาทำให้น้ำมีความใสมากกว่า เมื่อมาถึงจุดที่แม่น้ำมูลไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง ทำให้มองเห็นแม่น้ำเป็นสองสีได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนจะสามารถมองเห็นแม่น้ำสองสีได้ชัดเจนมากที่สุด
แม่น้ำโขงที่ไหลลัดเลาะชายแดนไทย-ลาว บริเวณโขงเจียมแห่งนี้ ยังทำให้เกิดแหล่งท่องเที่ยวสวยๆ อีกแห่ง ที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ นั่นคือ “เก้าพันโบก” เกาะแก่งหินกลางแม่น้ำโขง มีลักษณะเป็นแอ่งหรือหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ที่จะต้องนั่งเรือล่องลำน้ำโขงไปชม
“เก้าพันโบก” มีลานหินและโบกขนาดใหญ่น้อยกว้างขวางสุดสายตา เป็นประติมากรรมจากธรรมชาติที่สร้างสรรค์ความงามอันน่าทึ่ง รูปร่างของโบกแต่ละจุดนั้นมีความแตกต่างกันไป บางจุดก็มีรูปร่างชัดเจน แต่บางจุดก็ต้องอาศัยจินตนาการของแต่ละคนว่าจะมองเห็นเป็นรูปอะไร
จุดที่เป็นไฮไลต์ของเก้าพันโบก เช่น สามแอ่งมรกต โบกขุมทรัพย์ โบกรอยเท้านายพราน โบกฮักแพง แล้วก็ยังมี โบกบ่าวสาวอาบน้ำ หินรูปหมี หินดูดาว หินสะพานไทยลาว เป็นต้น
สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาชมเก้าพันโบก คือตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน – เดือนเมษายน (ทั้งนี้ แล้วแต่สถานการณ์น้ำในแม่น้ำโขงในแต่ละปี) เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่น้ำลดจนสามารถมองเห็นโบกได้อย่างชัดเจน และแนะนำให้มาชมในช่วงเวลา 06.00-09.00 น. และ 15.00-18.00 น. ในยามเช้า อากาศดี แดดไม่แรงมากนัก สามารถชมวิถีชีวิตชาวบ้านสองฝั่งโขงในยามเช้าได้ ส่วนช่วงบ่าย แดดเริ่มน้อยลง โดยเฉพาะช่วงเย็นแสงจะสวย เหมาะกับการถ่ายภาพ
#########################################
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline