จากที่มีข่าวเที่ยวบินเช่าเหมาลำในเที่ยวบินปฐมฤกษ์ “กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) - เบตง” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับพี่น้องชาวเบตงและพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มีแผนการเดินทางจะได้มีทางเลือกที่สะดวกเพิ่มขึ้น แม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีเที่ยวบินประจำ แต่ก็หวังว่าอีกไม่นานจะมีเที่ยวบินปกติให้บริการสู่การท่องเที่ยวเมืองงามชายแดน และหากใครที่เตรียมแพลนเที่ยวสู่เบตง ครั้งนี้จึงได้รวบรวม 13 ไฮไลต์แหล่งท่องเที่ยวของเบตง มาให้ทุกคนได้รู้จักกัน
“เบตง” เป็นเมืองในแอ่งกระทะล้อมรอบด้วยขุนเขาน้อยใหญ่ ที่อยู่ห่างจากด่านชายแดนเบตง-มาเลเซียเพียง 7 กิโลเมตรเท่านั้น เบตงเป็นพื้นที่พิเศษ รถในเมืองนี้สามารถใช้ทะเบียนเบตงได้เลย โดยไม่ต้องใช้ทะเบียนจังหวัดยะลา
ชื่อเบตงเป็นภาษามลายูหมายถึง “ไม้ไผ่” ในอดีตเมืองนี้มีไม้ไผ่มาก แต่ปัจจุบันในตัวเมืองมองหาต้นไผ่ไม่เห็นแล้ว มีแต่ไผ่ยักษ์จำลองซึ่งทางเทศบาลเมืองเบตงได้จัดสร้างไว้ที่สวนสาธารณะของเทศบาล
สนามบินเบตง
เริ่มที่ “สนามบินเบตง” หรือ “ท่าอากาศยานนานาชาติเบตง” ตั้งอยู่ที่ ตำบลยะรม อำเภอเบตง ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเบตงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นท่าอากาศยานแห่งใหม่ ลำดับที่ 29 สังกัดกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม และนับเป็นท่าอากาศยานแห่งที่ 39 ของประเทศไทย
สำหรับการออกแบบของสนามบินแห่งนี้ ได้นำเอกลักษณ์ท้องถิ่นของเมืองเบตงมาใช้ในการตกแต่งภายในอาคารที่พักผู้โดยสาร โดยเน้นความสวยงาม โปร่ง โล่งสบาย ทันสมัย จึงเลือกใช้เส้นโค้งของภูเขามาเป็นเส้นสายหลักของตัวอาคาร ผสมผสานกับรูปทรงสมัยใหม่ และเลือกใช้ “ไม้ไผ่"(ไผ่ตง) มาประกอบการตกแต่งทั้งภายในและภายนอกอาคาร ซึ่งถือเป็นสนามบินหนึ่งเดียวในเมืองไทยที่มีการนำไม้ไผ่มาเป็นแนวคิดหลักในการตกแต่งสนามบิน
หอนาฬิกาเบตง
อีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองเบตงนั่นก็คือ “หอนาฬิกาเบตง” ที่เป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่อยู่เคียงคู่กับเมืองเบตงมาช้านาน หอนาฬิกาแห่งนี้ สร้างเป็นสัญลักษณ์จุดศูนย์กลางของเมือง ณ บริเวณจุดตัดของถนนสุขยางค์กับถนนรัตนกิจ ด้วยหินอ่อนขาวนวลดูสง่าน่ามอง
อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์
จากบริเวณ 4 แยกหอนาฬิกา หากเดินขึ้นไปตามความชันเล็กน้อยของถนนก็จะพบกับ “อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์” อุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของเมืองไทย ที่ขุดทอดโค้งให้รถวิ่งไป-มา
ตู้ไปรษณีย์ยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
นอกจากนี้เบตงยังโด่งดังมากในเรื่องของ “ตู้ไปรษณีย์ยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก” โดยตู้แรกต้นฉบับสุดคลาสสิคนั้น ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มุมถนนสุขยางค์ บริเวณ 4 แยกหอนาฬิกา มีอายุกว่า 80 ปี สูง 3.2 เมตร เหตุที่ทางเมืองนี้ทำตู้ไปรษณีย์สีแดงยักย์ประดับเมืองไว้ เพราะในอดีตการเดินทางติดต่อสื่อสารจากเบตงไปยังเมืองอื่นๆเป็นไปด้วยความยากลำบาก การส่งจดหมายสื่อสารถึงกันนับเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ทำให้นายสงวน จิระจินดา นายกเทศมนตรีตำบลเบตงในขณะนั้น ที่มีความผูกพันกับตู้ไปรษณีย์ไม่น้อยเนื่องจากเคยเป็นนายไปรษณีย์มาก่อน ได้จัดสร้างตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางการสื่อสารที่ท้ายที่สุดแล้วกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเบตงไปโดยปริยาย
สตรีทอาร์ทเบตง
อีกหนึ่งจุดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวในตัวเมืองเบตง ต้องยกให้ “สตรีทอาร์ทเบตง” ที่ปัจจุบันนี้มีมากกว่า 30 ผลงาน ให้เดินถ่ายรูปกันไปทั่วตัวเมืองเบตง ซึ่งแต่ละภาพนั้นจะสะท้อนถึงวิถีชีวิต ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชาวเบตง ที่ผสมผสานและอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข สถานที่ท่องเที่ยว และจุดสำคัญของเมืองเบตง รวมไปถึงอาหารและสัตว์ประจำถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์
วัดพุทธาธิวาส
สำหรับวัดคู่บ้านคู่เมืองเบตง ก็คือ “วัดพุทธาธิวาส” เดิมชื่อ “วัดเบตง” ภายในวัดมี “พระมหาธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ” ที่หมายถึงการประกาศธรรมของพระพุทธเจ้า ตั้งเด่นเป็นสง่าด้วยศิลปะศรีวิชัยอันสวยงามสมส่วน ภายในเจดีย์ชั้นบนสุดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า และมีพระพุทธธรรมประกาศเป็นพระประทาน มีรอยพระพุทธบาทขนาดใหญ่อยู่ที่ชั้นล่าง
สกายวอล์ค ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง
แหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเบตง นั่นคือ “สกายวอล์คทะเลหมอกอัยเยอร์เวง” (Skywalk ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง) ตั้งอยู่บริเวณจุดชมวิวทะเลหมอกอัยเยอร์เวง (ข้างจุดชมวิวเดิม) บนระดับความสูง 2,038 ฟุต จากระดับน้ำทะเล โดยมีไฮไลท์สำคัญ คือ ระเบียงทางเดินที่ยื่นออกไปจากฐานมีความยาวรวม 63 เมตร ส่วนปลายเป็นระเบียงชมวิวพื้นกระจกใสที่สามารถมองทะลุลงไปได้ถึงพื้นเบื้องล่าง ซึ่งสร้างเสน่ห์สีสัน และความตื่นเต้นให้กับนักท่องเที่ยว
จุดชมวิวแห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของการชมพระอาทิตย์ขึ้นรับแสงแรกของวัน ควบคู่ไปกับการชมทะเลหมอกอันงดงาม ซึ่งสามารถเห็นทะเลหมอกได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ก็ยังมีวิวทิวทัศน์ของผืนป่าฮาลา-บาลา ทะเลสาบเขื่อนบางลาง รวมถึงสามารถมองไปไกลได้ถึงประเทศมาเลเซียเลยทีเดียว
ยอดเขาฆูนุงซีลีปัต
เบตงยังมีจุดชมทะเลหมอกสวยๆ อีกแห่ง นั่นคือ “ยอดเขาฆูนุงซีลีปัต” หรือที่ชาวบ้านเรียก “ฆูนุงซาลี” ที่นี่ก็สามารถชมวิวทะเลหมอกได้ 360 องศาเช่นเดียวกัน โดยสามารถมาชมทะเลหมอกได้ทั้งปี แต่ช่วงที่จะสวยที่สุดก็อยู่ราวๆ เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน เนื่องจากท้องฟ้าจะเปิดเต็มที่ มองเห็นท้องฟ้าสีฟ้า ตัดกับทะเลหมอกสีขาวหนานุ่มเป็นปุยนุ่น
บ่อน้ำร้อนเบตง
หากใครมองสถานที่ผ่อนคลายแนะนำให้มาที่ “บ่อน้ำร้อนเบตง” ตั้งอยู่ในหมู่บ้านจะเราะปะไร ต.ตาเนาะแมเราะ เป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติขนาดใหญ่ มีขนาดพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ โดยจะมีน้ำร้อนผุดขึ้นมาจากใต้ดิน ประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ มากมาย นักท่องเที่ยวจะนิยมนำไข่ไก่ และไข่นกกระทาไปต้มในบ่อน้ำร้อน อุณหภูมิของน้ำอยู่ที่ประมาณ 80 องศาเซลเซียส สามารถต้มไข่ไก่ได้จนสุกภายใน 10 นาที พร้อมทั้งอาบหรือแช่เท้าเล่น
บ่อน้ำร้อนบ้านนากอ
ส่วนบ่อน้ำร้อนอีกแห่งอยู่ที่ “บ่อน้ำร้อนบ้านนากอ” ที่นี่จัดทำเป็นบ่อแช่เท้า แช่ตัว ด้วยอุณหภูมิความร้อนที่พอเหมาะ แต่ถ้าหากว่าอากาศร้อนแล้วอยากได้ความเย็นฉ่ำ ข้างๆ กันก็มีธารน้ำตกเล็กๆ ให้ไปนั่งแช่เท้ากันได้ เรียกว่ามาที่เดียวได้ทั้งร้อนและเย็น
สวนไม้ดอกเมืองหนาวเบตง
ใครที่ชื่นชอบความงดงามดอกไม้นานาชนิด แวะมาที่ “สวนไม้ดอกเมืองหนาวเบตง” หรือ “สวนหมื่นบุปผา” สวนดอกไม้งามที่มีการจัดสวนตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนต้น ก้อนหิน สระน้ำ และองค์ประกอบอื่นๆอย่างสวยงาม ภายในสวนหมื่นบุปผามีหลากหลายมุมให้เดินชื่นชมในความงาม รวมไปถึงถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลิน
หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 10
อีกที่ที่น่าสนใจคือ “หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 10" ในอดีตที่นี่เคยเป็นฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา และชาวชุมชนเองก็เคยเป็นอดีต “สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา” (พ.ศ. 2473-2534) ผู้ร่วมต่อสู้กอบกู้เอกราชของประเทศมาลายา (ปัจจุบันคือประเทศมาเลเซีย) จากการรุกรานของจักรวรรดิอังกฤษ
อุโมงค์ปิยะมิตร
มาปิดท้ายที่ “อุโมงค์ปิยะมิตร” รอยอดีตแห่งการสู้รบของคอมมิวนิสต์มลายา ตั้งอยู่บนเนินเขาบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-มาเลเซีย สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นฐานปฏิบัติการ เป็นที่หลบภัยทางอากาศ และที่สะสมเสบียงอาหาร ปัจจุบันได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวที่สนใจเข้ามาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในอดีต
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline