พูดถึงวันออกพรรษาแล้ว สิ่งหนึ่งที่กลายเป็นสิ่งคู่บุญกับวันออกพรรษาไปแล้วก็คือ “บั้งไฟพญานาค” ปรากฏการพิศวงกลางลำน้ำโขง ที่วันนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งว่า เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ หรือเกิดจากการกระทำของพญานาคกันแน่!!!
พูดถึงวันออกพรรษาแล้ว สิ่งหนึ่งที่กลายเป็นสิ่งคู่บุญกับวันออกพรรษาไปแล้วก็คือ “บั้งไฟพญานาค” ปรากฏการพิศวงกลางลำน้ำโขง ที่วันนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งว่า เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ หรือเกิดจากการกระทำของพญานาคกันแน่!!!วันออกพรรษา 15 ค่ำ เดือน 11 ปีนี้ตรงกับวันที่ 21 ต.ค. 64 ซึ่งรัฐบาลจัดให้เป็นวันหยุดพิเศษของภาคกลาง
ในบ้านเรา ปกติหากไม่ใช่ในสถานการณ์โควิด-19 ออกพรรษานอกจากจะเป็นวันประกาศอิสระภาพของพวก “งดเหล้าเข้าพรรษา” แล้ว ยังเป็นช่วงแห่งการจัดงานบุญหลากหลายเพื่อถวายเป็นพุทธบูชากันอย่างคึกคัก
ในบ้านเรายามปกติ (ไม่ใช่ในสถานการณ์โควิด-19) ออกพรรษานอกจากจะเป็นวันประกาศอิสระภาพของพวก “งดเหล้าเข้าพรรษา” แล้ว ยังเป็นช่วงแห่งการจัดงานบุญหลากหลายเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ไม่ว่าจะเป็น “งานตักบาตรเทโวโรหณะ” ที่จัดขึ้นทั่วไป ซึ่งในหลายจังหวัดจะมีข้าวต้มลูกโยนเป็นของกินคู่บุญ, ประเพณีปอยเหลินสิบเอ็ดทางภาคเหนือของชาวไทยใหญ่ที่มีขบวนแห่ “จองพารา” (ปราสาทพระ) อันสวยงาม, ประเพณีชักพระ-ทอดผ้าป่าทางน้ำของภาคใต้, งานไหลเรือไฟนครพนม, ประเพณีแห่ปราสาทผึ้งสกลนคร เป็นต้น
บั้งไฟพญานาค ปริศนาแห่งลำน้ำโขง
“บั้งไฟพญานาค” หรือที่สมัยก่อนคนอีสานส่วนหนึ่งเรียกขานว่า “บั้งไฟผี” เป็นปรากฏการณ์ลูกไฟประหลาดพวยพุ่งขึ้นมาจากลำน้ำโขงในคืนวันออกพรรษา
บั้งไฟพญานาค มีลักษณะเป็นลูกไฟประหลาดคล้ายไข่ไก่สีแดงอมชมพู พวยพุ่งขึ้นมาจากลำน้ำโขง สูงขึ้นไปในอากาศประมาณ 50-150 เมตร แล้วดับหายไปแบบไร้เสียง ไร้ควัน ไร้กลิ่น
จุดที่ลูกไฟประหลาดพุ่งขึ้นนั้นไม่แน่นอน บางครั้งขึ้นกลางแม่น้ำโขง บางครั้งขึ้นใกล้ฝั่ง หากขึ้นกลางแม่น้ำลูกไฟจะเอนเข้าหาฝั่ง แต่หากขึ้นริมฝั่ง ลูกไฟจะพุ่งออกไปกลางแม่น้ำ
สำหรับจุดชมบั้งไฟพญานาคหลักๆ ใน จ.หนองคายและบึงกาฬ มีประมาณกว่า 20 จุดด้วยกัน ที่โดดเด่นและดังมากก็เห็นจะเป็นลำน้ำโขงใน อ.โพนพิสัย และ อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย ซึ่งถือเป็นจุดไฮไลท์สำคัญในการชมบั้งไฟพญานาคของนักท่องเที่ยว
นอกจากนี้ก็ยังมีคนเคยเห็นบั้งไฟพญานาคขึ้นในลำน้ำโขง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานีอยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน
สำหรับการเกิดบั้งไฟพญานาคยุค New Normal ในคืนวันออกพรรษาปีนี้ (2564) ทางเพจ “MGR Online อีสานบ้านเฮา” ได้สรุปยอดจำนวนลูกไฟที่ขึ้นใน อ.โพนพิสัย และ อ.รัตนวาปี จังหวัดหนองคาย ซึ่งนับรวมกันได้มากถึง 471 ลูก
บั้งไฟพญานาค เกิดขึ้นจากอะไร?
แม้บั้งไฟพญานาค จะปรากฏในลำน้ำโขงของคืนวันออกพรรษาเป็นประจำทุกปี แต่ก็ยังคงปรากฏการณ์ปริศนาแห่งลำน้ำโขงที่วันนี้ยังคงไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัดแจ้งว่าเกิดขึ้นจากอะไร ?
โดยสมมติฐานของการเกิดบั้งไฟพญานาคนั้น หลัก ๆ ก็มี 3 แนวทางความเชื่อ
แนวทางแรก เกิดจากการกระทำของพญานาค : เป็นความเชื่อดั้งเดิมแต่ก่อนเก่าว่า บั้งไฟพญานาค เกิดจากการกระทำของพญานาคเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา อันเนื่องมาจากความเชื่อพื้นฐานของคนโบราณในดินแดนอุษาคเนที่ย์ส่วนหนึ่งเชื่อและนับถือพญานาค และต่างคุ้นเคยกับพญานาคเป็นอย่างดี ผ่านรูปร่าง รอย สัญลักษณ์ต่าง ๆ (บางคนก็อ้างว่าเคยเห็นพญานาคตัวเป็น ๆ แต่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ชัดเจน นอกจากคำบอกเล่า)
เรื่องราวของพญานาคในเมืองไทย (และในอุษาคเนย์) ได้ปรากฏผ่านเรื่องเล่า ตำนาน นิทาน รูปปั้น ภาพวาด ภาพเขียน รูปสลัก โดยเฉพาะตามศาสนสถาน ปราสาทหิน วัดวาอารามต่าง ๆ ซึ่งแต่ละท้องที่ต่างก็มีตำนานเกี่ยวกับพญานาคที่ทั้งเหมือนและต่างกันออกไป
สำหรับในพื้นที่ริมแม่น้ำโขงของภาคอีสานบ้านเฮานั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ที่อยู่ริมโขง (ไทย-ลาว) มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าใต้ลำน้ำโขงนี้มีเมืองบาดาลอยู่ ในนั้นมีพญานาคอาศัยอยู่หลายตัว เพราะมีคนเคยเห็นงูใหญ่หรือร่องรอยประหลาดที่เชื่อกันว่าเป็นร่องรอยของพญานาคอยู่เป็นประจำ
พวกเขาเชื่อว่าในอดีตดินแดนแถบนี้ถูกสร้างและปกครองโดยพญานาค
พอถึงวันออกพรรษา พญานาคเหล่านั้นซึ่งต่างก็เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจะพากันออกมาจุดบั้งไฟถวายพระพุทธเจ้าเป็นประจำทุกปีในบริเวณแนวแม่น้ำโขงถิ่นที่อยู่ของพญานาค
เรื่องนี้สอดรับกับเรื่องพญานาคในทางพุทธศาสนา ที่กล่าวว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใส เลิกนิสัยดุร้าย จะหันมาออกบวช แต่ก็ติดที่เป็นสัตว์ไม่สามารถบวชได้ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา ( 3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงินและบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้เมื่อรู้ถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้จัดทำ “บั้งไฟพญานาค” จุดเฉลิมฉลอง จนกลายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้
แนวทางที่สอง เชื่อว่าบั้งไฟพญานาคเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ : เกิดจากก๊าซร้อน ที่มีส่วนผสมของก๊าซมีเทน และก๊าซไนโตรเจน ซึ่งเกิดจากการหมักตัวของซากพืช ซากสัตว์ มูลสัตว์ และแบคทีเรีย
เมื่อก๊าซเหล่านี้ที่ฝังตัวอยู่ใต้แม่น้ำโขงโดนแรงกดดันจากน้ำและอากาศที่เหมาะสมมันจะลอยพุ่งขึ้นมาเหนือน้ำ และเมื่อก๊าซนั้นกระทบกับออกซิเจน ก็จะเกิดการสันดาปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นลูกไฟ หรือบั้งไฟพญานาคอย่างที่เห็นกัน
แนวทางนี้เป็นทฤษฎีที่มีผู้เห็นด้วยมากที่สุดในยุคปัจจุบัน และก็มีผู้ที่พยายามพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์กันเพื่อหาคำตอบของลูกไฟปริศนานี้กันอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งในอนาคตเราคงได้ข้อมูลใหม่ ๆเกี่ยวกับเจ้าลูกไฟประหลาดที่พวยพุ่งมาจากลำน้ำโขงในคืนวันออกพรรษาเพิ่มมากขึ้น
สำหรับคนที่เป็นผู้บุกเบิกการพิสูจน์ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคในทางวิทยาศาสตร์คนโด่งดังในระดับตำนานก็คือ “นพ.มนัส กนกศิลป์” ซึ่งท่านได้เคยตั้งข้อสังเกตที่ชวนคิดเอาไว้ว่า ในอนาคตบางทีปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคอาจเหลือเพียงตำนาน เพราะธรรมชาติและระบบนิเวศของลำน้ำโขงถูกทำลายไปมาก
แนวทางที่สาม เชื่อว่าบั้งไฟพญานาคเกิดจากน้ำมือมนุษย์ : เกิดจากการยิงปืน จุดพลุ หรือยิงวัสดุพิเศษขึ้นบนฟ้าในคืนวันออกพรรษา โดยจุดยิงหลัก ๆ มาจากแถวหมู่บ้านริมโขงแห่ง สปป.ลาว
ทฤษฎีนี้มักจะเกิดเป็นกระแส ๆ มาๆ ไป ๆ เป็นพัก ๆ ในช่วงของวันออกพรรษาของบางปี ซึ่งเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ทีวีช่องหนึ่งที่ถูกปิดไปก็ได้เคยทำสกู๊ปว่าบั้งไฟพญานาคเกิดจากการยิงปืนขึ้นฟ้าของทหารลาว
เรื่องนี้ไม่เพียงถูกต่อต้านจากคนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังถูกคนรู้ทันจับผิดให้แหกด้วยการหาข้อโต้แย้งมาหักล้าง ซึ่งในสกู๊ปนั้นไม่สามารถชี้แจงได้ชัดเจน
ส่วนเมื่อไม่กี่ปีมานี้ก็มีอาจารย์ผู้รอบรู้ท่านหนึ่ง ซึ่งมักจะแสดงตัวเป็นผู้รอบรู้ทุกเรื่อง (แต่ไม่รู้ว่าหลายครั้งที่ตัวเองแชร์มาเป็นเฟคนิวส์) ก็ได้พยายามพิสูจน์ว่าบั้งไฟพญานาคเกิดจากน้ำมือคน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์สิ่งที่มีคนโต้แย้งได้
ขณะที่ในปีนี้ (2564) ล่าสุดก็ได้มีเพจหนึ่งออกมาให้ข่าวว่า บั้งไฟพญานาคเกิดจากการยิงปืนของคนในฝั่ง สปป.ลาว เหมือนเคย พร้อมทั้งระบุชื่อหมู่บ้าน และไปยื่นหนังสือให้สถานทูตลาวตรวจสอบข้อเท็จจริง จนกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในสังคมโซเซียล ซึ่งก็คงต้องติดตามดูกันต่อไปว่าเป็นของจริง หรือปาหี่ปั่นกระแสเพจตัวเอง
คำยืนยันจากชาวบ้าน
หลังเกิดกรณีมีเพจหนึ่งระบุว่าบั้งไฟพญานาคเกิดจากการยิงปืนของคนในฝั่งลาว เมื่อวันที่ 25 ต.ค.64 ที่ผ่านมา ชาวบ้านที่บ้านท่าม่วง ต.รัตนวาปี อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย จุดที่มีปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นนับร้อยลูกอย่างต่อเนื่องทุกปี ได้ออกมาให้ข้อมูลถึงบั้งไฟพญานาคในมิติที่พวกเขาพบเจอจากประสบการณ์ตรงในชีวิต ดังนี้
นางลำดวน เสนานิกร อายุ 50 ปี ชาวบ้านท่าม่วง เล่าว่า ตนเคยเห็นลูกไฟที่พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขงมาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้อายุ 50 ปีแล้วก็ยังเห็นทุกปี แม้ว่าจำนวนจะลดน้อยลงไปบ้าง ชาวริมน้ำโขงเชื่อว่าเป็นบั้งไฟพญานาคที่เกิดจากพญานาคในแม่น้ำโขง เมื่อก่อนไม่ค่อยมีคนมาดู มีเพียงชาวบ้านที่ออกมาดูกันในวันออกพรรษา หลังจากนั้นก็มีคนมาดูมากขึ้น
แต่เมื่อมีคนต้องการพิสูจน์และบอกว่าเป็นฝีมือการยิงปืนขึ้นฟ้า ก็อยากให้พิสูจน์จนได้ผลที่แน่ชัด จะได้ไม่มีการกล่าวหาว่าชาวบ้านโกหกหลอกลวง และให้กลายเป็นตำนานกล่าวขานกันไปเลย ทั้งนี้ฝั่งตรงข้ามกับบ้านท่าม่วง ในฝั่งลาวจะเป็นบ้านห้วยสายพาย แขวงบอลิคำไซ ถัดไปเป็นบ้านหนองเขียด และหลังจากเลยคุ้งน้ำไปแล้วจะไม่มีหมู่บ้าน เป็นโขดหินริมน้ำโขง
ด้านนางกุหลาบ อินทะรักษา อายุ 65 ปี และนางพุด ทองแดง อายุ 58 ปี ชาวบ้านท่าม่วง ก็บอกว่า เห็นข่าวการพิสูจน์บั้งไฟพญานาคแล้ว ลูกไฟที่พบนั้นไม่ใช่บั้งไฟพญานาคที่ชาวบ้านเคยเห็น บั้งไฟพญานาคของจริงจะมีลอยขึ้นมาจากแม่น้ำโขง ไม่แค่นั้น ตามหนองน้ำหรือแม้กระทั่งปลักควายก็มีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้น รู้สึกเสียใจที่ได้ยินว่าเป็นการยิงปืน เชื่อว่าคนที่พูดเช่นนั้นไม่เข้าใจและไม่เคยสัมผัสกับบั้งไฟพญานาคเหมือนเช่นชาวบ้านริมน้ำโขงได้สัมผัสและพบเห็นมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า เหมือนเป็นการลบหลู่ด้วยเช่นกัน
ขณะที่นางพรม อุทัยบาน อายุ 68 ปี เคยมีสามีเป็นชาวลาวและไปใช้ชีวิตที่บ้านห้วยสายพาย แขวงบอลิคำไซ ยืนยันว่า ในคืนออกพรรษาทุกปี ชาวลาวเองก็ดูบั้งไฟพญานาคและเชื่อว่าเป็นบั้งไฟพญานาคที่เกิดมาจากใต้แม่น้ำโขงเช่นกัน แต่การดูจะไม่คึกคักเหมือนฝั่งไทย บั้งไฟพญานาคจะไม่ขึ้นสูงมากนัก แต่ปืนหรือพลุที่ยิงขึ้นฟ้าจะมีความสูงกว่าต้นไม้
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าบั้งไฟพญานาคจะเกิดจากอะไร แต่ที่ผ่านมาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ก็ได้สร้างกระแสการท่องเที่ยวจังหวัดหนองคายและบึงกาฬ ในช่วงวันออกพรรษาได้เป็นอย่างดี ในช่วงปกติ (ที่ยังไม่มีสถานการณ์โควิด-19) สามารถสร้างเงินสะพัดได้นับร้อยล้านบาท
นอกจากนี้ผู้ที่มาชมบั้งไฟพญานาคหลาย ๆ คนยังได้อานิสงส์จากพญานาคอีกต่างหาก เพราะสามารถนำจำนวนลูกไฟพญานาคที่ขึ้นหรือที่ตัวเองพบเห็น ไปตีเป็นเลขเด็ดแทงหวยถูกกันหลายต่อหลายคนแล้ว
#########################################
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline