xs
xsm
sm
md
lg

8 เรื่องน่ารู้ กับการ "ปีนภูเขาไฟฟูจิ"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาเดียวของปีสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปที่จะสามารถปีนขึ้นไปยังยอดภูเขาไฟฟูจิ เพื่อไปชมปากปล่องภูเขาไฟได้อย่างใกล้ชิด

แน่นอนว่าในขณะนี้โรคโควิด-19 ที่กำลังระบาดหนักทั้งในไทยและญี่ปุ่น ทำให้เราไม่สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวกันได้อย่างปกติ ในวันนี้เราจึงขอนำเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับการปีนภูเขาไฟฟูจิมาฝากกัน เผื่อว่าใครที่สนใจอยากจะไปปีนเขาจะได้เตรียมตัวกันไว้ล่วงหน้า

ภูเขาไฟฟูจิในบรรยากาศยามที่มีหิมะปกคลุม
1. รู้จักภูเขาไฟฟูจิ

“ภูเขาไฟฟูจิ” เปรียบดังสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น ภูเขาลูกนี้ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างจังหวัดชิซุโอะกะ และจังหวัดยามานาชิ ทางตะวันตกของกรุงโตเกียว โดยเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น มีความสูงราว 3,776 เมตร เป็นหนึ่งในทัศนียภาพที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวมรดกโลกทางวัฒนธรรม

ชมพระอาทิตย์ขึ้นบนภูเขาไฟฟูจิ
ความเชื่อดั้งเดิมของคนญี่ปุ่นเชื่อว่าภูเขาไฟฟูจิทั้งลูกคือเทพเจ้า ผู้คนจึงนิยมเดินทางไปแสวงบุญที่ภูเขาไฟตั้งแต่โบราณ และในปัจจุบันสำหรับคนญี่ปุ่นที่ถือว่าตนเป็นลูกหลานพระอาทิตย์ หากมีโอกาสแล้วพวกเขาจะมาเดินขึ้นยอดภูเขาไฟฟูจิซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาหรือที่เรียกว่า “โกไรโคะ” (Goraiko) ให้ได้สักครั้งในชีวิต

ด้วยรูปทรงสมมาตรที่มองดูแล้วสงบงามลึกซึ้ง ให้ความรู้สึกมั่นคงไม่หวั่นไหว แต่แท้จริงแล้วภายในภูเขาไฟฟูจิยังคงคุกกรุ่นและอาจมีวันใดที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง (มีโอกาสปะทุในระดับต่ำ) ไม่ว่าอย่างไรภูเขาไฟฟูจิก็ยังคงสวยงามในทุกๆ ฤดู และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่อยากจะไปเยือนสักครั้ง

บริเวณชั้น 5 ของภูเขาไฟฟูจิในเส้นทางโยชิดะ

เส้นทางในช่วงแรกที่ยังคงเต็มไปด้วยต้นสน
2. ฤดูกาลปีนฟูจิ

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าเราสามารถปีนขึ้นไปจนถึงปากปล่องภูเขาไฟฟูจิได้เลย เพราะปกติแล้วจะเห็นภาพวิวสวยๆ ของการชมฟูจิจากระยะไกลๆ ซึ่งการจะปีนไปยังยอดภูเขาไฟฟูจินั้นทำได้เฉพาะในฤดูร้อนเท่านั้นคือช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เมื่อหิมะบนยอดภูเขาไฟฟูจิที่ปกคลุมมาตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงเริ่มละลายเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ และละลายจนเกือบหมดเมื่อถึงฤดูร้อน จนภูเขาไฟฟูจิที่เคยมีหมวกสีขาวปกคลุมยอดอยู่เสมอกลายเป็นภูเขาโล้นๆ แปลกตากว่าที่เคย

และช่วงเวลานี้เองเป็น “ฤดูกาลปีนภูเขาไฟฟูจิ” ที่คนชื่นชอบธรรมชาติและรักการปีนเขาทั้งในประเทศญี่ปุ่นและจากทั่วโลกจะมุ่งหน้ามาเดินเท้าขึ้นสู่ยอดปากปล่องภูเขาไฟกันเป็นจำนวนมาก

หมอกปกคลุมระหว่างทาง
3. เส้นทางปีน

ในการเดินเท้าสู่ยอดภูเขาไฟฟูจินั้น เราไม่ต้องเดินจากตีนเขา แต่สามารถเดินจากช่วงกลางของภูเขาซึ่งนับเป็นชั้นที่ 5 และการเดินเท้าสู่ชั้นที่ 10 ซึ่งเป็นยอดภูเขาไฟฟูจินั้น สามารถเลือกเดินได้ 4 เส้นทางด้วยกัน ได้แก่ เส้นทางโยชิดะ (Yoshida Trail) ระยะทางประมาณ 6.8 กม. เส้นทางฟูจิโนะมิยะ (Fujinomiya Trail) ระยะทางประมาณ 4.3 กม. เส้นทางโกเท็มบะ (Gotemba Trail) ระยะทางประมาณ 10.5 กม. และเส้นทางสุบาชิริ (Subashiri Trail) ระยะทางประมาณ 6.9 กม.

และในแต่ละเส้นทางจะมีสีประจำเส้นทางที่แตกต่างกันเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งเอาไว้ใช้สังเกตในขณะเดินขึ้น-ลง เพราะหากเราเดินลงเพลินผิดเส้นทาง ก็จะไปโผล่ผิดที่ผิดเมืองเลยทีเดียว

เริ่มมีหินก้อนใหญ่ๆ ให้ป่ายปีน
เส้นทางยอดนิยมที่มีคนปีนมากที่สุดนับแสนคนต่อปีคือ “เส้นทางโยชิดะ” ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดยามานาชิ อยู่ใกล้กับทะเลสาบคาวากุจิโกะซึ่งเป็นจุดชมภูเขาไฟฟูจิที่สวยงามมาก ทั้งยังสามารถนั่งรถบัสจากโตเกียวมาถึงภูเขาไฟฟูจิชั้นที่ 5 ได้เลย หรือจะนั่งรถบัสจากสถานีรถไฟคาวากุจิโกะมาก็ได้เช่นกัน

และเนื่องจากคนนิยมเดินทางเส้นนี้ ระหว่างทางจึงมีที่พัก (Moutain Hut) ซึ่งเป็นทั้งร้านค้า และจุดเข้าห้องน้ำเปิดให้บริการเป็นจำนวนมากกว่าเส้นทางอื่นๆ

กระท่อมพักในราวชั้นที่ 7
4. สภาพเส้นทาง-สภาพอากาศ ระหว่างการเดินทาง

สภาพเส้นทางในการเดินขึ้นสู่ยอดเขานั้นจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามระดับความสูง โดยจากชั้นที่ 5-6 นั้นจะมีต้นไม้ใหญ่โดยเฉพาะต้นสนขึ้นหนาแน่น เส้นทางเดินมีโซ่กั้นไว้อย่างดีไม่ต้องกลัวหลงทาง เป็นทางลาดชันซิกแซกซ้ายขวาไปเรื่อยๆ เป็นทางดินผสมกรวดหินภูเขาไฟที่ร่วนลื่นไม่น้อย

ขณะที่ชั้น 7-8 สภาพเส้นทางเริ่มเปลี่ยนมีเพียงไม้พุ่มเตี้ยๆ และก้อนหินน้อยใหญ่ให้ต้องปีนป่าย ใช้ทั้งมือทั้งเท้าช่วยเกาะพยุงตัวเองขึ้นไป จากนั้นระหว่างชั้น 8-9 นี้จะมีระยะทางค่อนข้างไกล โดยจะแบ่งออกเป็นชั้นย่อยๆ อีกหลายชั้นตั้งแต่ 8.1-8.5 กว่าจะถึงชั้น 9 โดยตั้งแต่ชั้น 8 ไปจนถึงยอดเขาซึ่งเป็นชั้นที่ 10 นั้น สภาพเส้นทางจะเป็นหินกรวดภูเขาไฟเล็กๆ ที่ลื่นไม่น้อย

ส่วนสภาพอากาศบนภูเขานั้นก็ค่อนข้างแปรปรวนมากทีเดียว โดยบางคนอาจโชคดีพบเจอกับสภาพอากาศแจ่มใส อาจเจอเมฆหมอกบ้างเป็นธรรมดา แต่บางคนก็ต้องเจอกับพายุฝนฟ้าแปรปรวนและลมกรรโชกที่อาจเป็นอันตรายทำให้ต้องหยุดพักการเดินทางไว้ชั่วครู่ แต่ที่แน่ๆ ก็คืออากาศด้านบนนั้นเย็นและลมพัดแรงทีเดียว โดยเฉพาะบนยอดเขาในช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนั้นอาจลดต่ำถึง 0 องศา จึงควรเตรียมเครื่องแต่งกายที่กันฝน กันลม และให้ความอบอุ่นไปให้พร้อม

นักปีนเขานั่งพักระหว่างเส้นทาง
5. เตรียมตัวก่อนปีน

การปีนภูเขาไฟฟูจินั้นไม่ยากและไม่ง่าย เพราะเส้นทางเดินนั้นชัดเจนเดินไม่ลำบากจนเกินไปนัก แต่ก็ไม่ง่ายเพราะในระดับความสูงที่เกิน 2,500 เมตร อาจทำให้บางคนเกิดอาการ “แพ้ความสูง” หรือ Altitude Sickness โดยในที่สูงๆ ออกซิเจนจะเบาบาง ทำให้บางคนเกิดอาการหายใจไม่อิ่ม ปวดหัว เหนื่อยหอบ หน้ามืดวิงเวียน ซึ่งก็อาจแก้ได้ด้วยการกินยาไว้ล่วงหน้าก่อนเดินทาง หรือถ้าไปแล้วเกิดอาการขึ้นมาทางแก้ที่ดีที่สุดก็คือไม่ควรไปต่อ การออกกำลังกายให้พร้อมก่อนปีนและการปรับสภาพร่างกายก่อนเดินขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ และควรซื้อออกซิเจนกระป๋องติดตัวไว้ขณะปีน

ดังนั้นก่อนไปควรเตรียมร่างกายให้แข็งแรง เช่น ฝึกเดินขึ้นลงบันได โดยในการเดินขึ้นก็ว่าเหนื่อยแล้ว แต่ต้องเก็บแรงไว้ในตอนเดินลงที่จะต้องใช้เข่าหนักมาก ดังนั้นจึงควรบริหารต้นขาและน่องเตรียมแรงไว้เยอะๆ

และดังที่กล่าวไปแล้วว่าแม้จะเป็นฤดูร้อน แต่ด้วยความสูงทำให้อากาศบนเขาหนาวเย็นและแปรปรวน อากาศตอนเช้าบนยอดเขาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นอาจลดต่ำได้ถึง 0 องศา อาจเจอหมอกและฝนได้ตลอดเวลา ส่วนลมนั้นพัดแรงแทบตลอดวัน ดังนั้นเครื่องแต่งกายที่ควรเตรียมไปจึงอาจต้องมีหลายเลเยอร์ ขอแนะนำให้ใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวที่ระบายอากาศได้ดีเป็นชั้นแรก เพราะขณะกำลังเดินแม้อากาศจะเย็นแต่ความร้อนจากร่างกายก็จะทำให้เราเหงื่อออกมาก และเสื้อแขนยาวยังช่วยกันแดดเผาได้ด้วย

เริ่มเดินกันต่อในช่วงเช้ามืด
จากนั้นเมื่อปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ อากาศเริ่มเย็นลงอีกก็ค่อยหยิบเสื้อฟลีซนุ่มๆ ไว้สวมทับเพิ่มความอบอุ่นอีกชั้น และในช่วงเช้ามืดซึ่งเป็นช่วงที่หนาวที่สุดก็ต้องเตรียมเสื้อแจ็คเก็ตที่กันลมและกันน้ำไว้ใส่เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย และที่สำคัญก็คือเสื้อและกางเกงกันฝนแบบแยกชิ้น เพราะถ้าเจอฝนจนตัวเปียกแฉะคงไม่สนุกแน่ ส่วนเสื้อผ้าที่เตรียมใส่เป้ก็ควรใส่ถุงพลาสติกไว้อีกชั้นกันเปียก หรือเตรียมผ้ากันน้ำไว้คลุมเป้เลยก็ดี

ไฟฉายคาดหัวเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ตอนเดินขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ส่วนรองเท้าก็ต้องเตรียมให้ดีเนื่องจากสภาพพื้นดินที่นี่เป็นหินภูเขาไฟที่เป็นก้อนร่วนๆ บางช่วงต้องปีนก้อนหินขรุขระนานๆ รองเท้าที่เหมาะสมจึงควรเป็นรองเท้าปีนเขาหุ้มข้อที่มีพื้นแข็ง จะช่วยปกป้องเท้าของเราให้เดินได้อย่างสบายมากกว่ารองเท้ากีฬาธรรมดา

และอุปกรณ์ผู้ช่วยดีๆ อย่างไม้เท้าปีนเขา ออกซิเจนกระป๋อง อาหารเพิ่มพลังหรือ energy bar เหล่านี้เตรียมกันไปได้ตามความต้องการเลย ส่วนอาหารและน้ำดื่มมีขายตามจุดพักด้านบนระหว่างทาง แต่แน่นอนว่าราคาก็ขึ้นตามความสูงไปด้วย เราเตรียมไปพอประมาณสำหรับดื่มกินระหว่างทาง และที่สำคัญเหรียญ 100 เยนเตรียมไปเยอะๆ ไว้เข้าห้องน้ำครั้งละ 100 - 200 เยน

สภาพที่นอนในกระท่อมบนภูเขา
6. กระท่อมพักบนภูเขา

ในการเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาฟูจินั้น มีจุดมุ่งหมายคือเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นด้านบน ดังนั้นคนญี่ปุ่นที่เดินขึ้นเขาเป็นประจำหรือนักเดินขาแรงจะนิยมเดินขึ้นจากภูเขาไฟฟูจิชั้น 5 ในช่วงบ่ายๆ แล้วเดินรวดเดียวโดยไม่พักเพื่อไปให้ถึงยอดเขาตอนเช้ามืด เมื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จแล้วก็เดินลง พวกนี้จะใช้เวลาเดินขึ้นราว 6 ชั่วโมง และเดินลง 4 ชั่วโมง

แต่หากมาในสไตล์ท่องเที่ยวเดินไปด้วยถ่ายรูปไปด้วยแบบสบายๆ ไม่เหนื่อยจนเกินไปก็สามารถเดินขึ้นตั้งแต่เช้าหรือช่วงสาย แล้วนอนพักเอาแรงในกระท่อมบนภูเขา (Mountain Hut) สักหนึ่งคืน จากนั้นประมาณตี 1-2 ค่อยออกเดินต่อไปชมพระอาทิตย์บนยอดเขา ซึ่งจะออกมาให้ชมโฉมประมาณตี 4.30 แล้วค่อยเดินลง

ในเส้นทางโยชิดะที่มีคนนิยมเดินทางนั้น กระท่อมบนภูเขาก็จะมีให้บริการระหว่างทางตั้งแต่ราวชั้น 7 เป็นต้นไป และมีหลายแห่งในชั้นที่ 8-9 ซึ่งขอแนะนำให้พักในชั้นที่ 8 หรือ 8.5 โดยสภาพของกระท่อมแต่ละแห่งก็จะคล้ายๆ กันคือเป็นที่พักที่มีบริการอาหารเย็นและอาหารเช้า ส่วนที่นอนก็เป็นเพียงที่นอนงีบเอาแรง ทุกคนจะมานอนเรียงกันโดยมีหมอนใบเล็กๆ และถุงนอนไว้บริการ คนนอนยากอาจจะลำบากสักหน่อยเพราะเสียงดังกันแทบตลอดเวลา ทั้งเสียงพลิกตัว เสียงเก็บของ เสียงคนที่เพิ่งเข้ามาถึง เสียงคนกรน ฯลฯ แต่การเดินทางที่เหนื่อยล้าก็อาจทำให้หลายคนหลับไปได้

จุดนี้คือใกล้จะถึงยอดภูเขาไฟฟูจิ

ศาลเจ้าด้านบนยอดเขา
7. ปากปล่องภูเขาไฟ

นอกจากจะมาชมแสงแรกของพระอาทิตย์บนยอดเขาแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่หลายๆ คนอยากเห็นก็คือปากปล่องภูเขาไฟฟูจินั่นเอง โดยเมื่อขึ้นมาถึงยอดเขาแล้ว สิ่งแรกที่จะได้เห็นอาจไม่ใช่ปากปล่อง แต่อาจเป็นศาลเจ้าให้เข้าไปกราบไหว้ มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และแม้แต่ตู้กดน้ำตามสไตล์ญี่ปุ่น

แต่เมื่อเดินลึกเข้าไป เราจะได้พบกับปากปล่องภูเขาไฟที่มีขนาดใหญ่มาก โดยลึกลงไปในปากปล่องภูเขาไฟฟูจิยังคงคุกกรุ่นและอาจมีวันใดที่จะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง (มีโอกาสปะทุในระดับต่ำ) เรายังสามารถเดินให้รอบปากปล่องนี้ได้ โดยมีเส้นทางเดินวนรอบระยะทางประมาณ 4 ก.ม. ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมงต่อรอบ เส้นทางบางช่วงก็ชันและลื่น แต่มีโซ่กั้นไม่ให้คนเดินเข้าไปใกล้ปากปล่องมากนัก โดยหากอยากไปให้ถึงจุดสูงสุดที่มีความสูง 3,776 จริงๆ ก็ต้องเดินไปในเส้นทางเดินนี้ที่มุ่งไปสู่ "ยอดเคนกามิเนะ" (Kengamine Peak) ซึ่งตรงนี้จะมีป้ายเป็นสัญลักษณ์ให้ถ่ายรูปกันด้วยความภาคภูมิใจว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต เราได้มาเหยียบอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของญี่ปุ่นแล้ว

ปากปล่องภูเขาไฟ และจุดสูงที่สุดซึ่งอยู่ด้านหลัง

แวะประทับตราไม้พลองเป็นที่ระลึก
8. ของที่ระลึก

มาปีนภูเขาไฟฟูจิซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นทั้งที ต้องมีของที่ระลึกที่ช่วยเตือนความทรงจำถึงความเหน็ดเหนื่อยและความประทับใจระหว่างเส้นทางเสียหน่อย ซึ่งของที่ระลึกยอดฮิตที่สุดก็คือ “ไม้พลอง” ที่มีประโยชน์ตรงที่เป็นไม้เท้าช่วยเดิน และระหว่างจุดพักต่างๆ ก็จะจุดประทับตราไม้พลองด้วยเหล็กเผาไฟเป็นลวดลายสวยๆ ที่แตกต่างกันไป การประทับตรานั้นก็มีค่าใช้จ่ายราว 200-400 เยน แม้ว่าจะไม่ถูกนักแต่หลายคนก็เลือกเก็บตราประทับไว้แทบทุกจุด ซึ่งเป็นดังของที่ระลึกที่ช่วยรำลึกความทรงจำได้เป็นอย่างดีทีเดียว

#################

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline


กำลังโหลดความคิดเห็น