“ฉะเชิงเทรา” หรือที่ชาวบ้านย่านนั้นจะเรียกกันว่า “แปดริ้ว” ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไปประมาณ 60-70 กิโลเมตร เป็นอีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมของนักเดินทางในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอยู่หลายแห่ง ครั้งนี้จึงได้ชวนทุกคนมาสักการะกับ “4 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์” ของจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต
เริ่มกันที่ “วัดโสธรวรารามวรวิหาร” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “วัดหลวงพ่อโสธร” เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแปดริ้ว ที่มีประวัติการสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยเดิมนั้นชื่อว่า “วัดหงส์” เนื่องจากมีหงส์ทำด้วยทองเหลืองอยู่บนยอดเสา ต่อมาหงส์ที่ยอดเสาหักตกลงมาเสียชำรุด ทางวัดจึงเอาธงไปติดไว้ที่ยอดเสาแทนรูปหงส์ จึงได้ชื่อว่าวัดเสาธง แล้วต่อมาก็เกิดมีพายุพัดเสานี้หักลงส่วนหนึ่ง จึงได้ชื่อว่าวัดเสาทอน และต่อมาชื่อนี้กลายไปเป็น “วัดโสธร” ในปัจจุบัน
สำหรับภายในวัดหลวงพ่อโสธร เป็นสถานที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อพระพุทธโสธร” หรือ “หลวงพ่อโสธร” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพสักการะของชาวแปดริ้วและประชาชนทั่วไป ใครผ่านไปผ่านมาในเมืองแปดริ้ว ก็จะต้องแวะมาสักการะหลวงพ่อเพื่อความเป็นสิริมงคลอยู่เสมอ
หลวงพ่อโสธรเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ฝีมือช่างล้านช้าง ตามตำนานไม่ได้กล่าวไว้ว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่ได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยมาตามน้ำ มาถึงบริเวณหน้าวัดโสธร ชาวบ้านจำนวนมากมาช่วยกันฉุดองค์พระขึ้นฝั่ง แต่ก็ไม่สำเร็จ ต่อมาจึงมีผู้รู้คนหนึ่งได้ทำพิธีบวงสรวง กล่าวคำอัญเชิญ และใช้สายสิญจน์คล้องที่พระหัตถ์ก่อนจะฉุดขึ้นมาบนฝั่ง พระพุทธรูปองค์นี้จึงเสด็จขึ้นมาอยู่บนฝั่งได้ และชาวบ้านจึงพร้อมใจกันอัญเชิญมาประดิษฐานที่พระวิหารในวัดโสธร ต่อมาพระสงฆ์ในวัดเกรงว่าจะมีผู้มาลักพาไปจึงได้เอาปูนพอกหุ้มองค์เดิมไว้จนมีลักษณะที่เห็นในปัจจุบัน
พระอุโบสถหลังใหม่ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นอาคารทรงไทยประยุกต์ หลังคาทรงเครื่องยอด ชนิดยอดทรงมณฑปแบบไทย ต่อเชื่อมด้วยวิหารทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้านข้างต่อเชื่อมด้วยอาคารรูปทรงอย่างเดียวกันกับพระวิหาร เป็นอาคารมุขเด็จ เมื่อประกอบกันเข้าแล้วจะเป็นอาคารแบบจตุรมุขทรงปราสาท นับเป็นสถาปัตยกรรมแนวใหม่ยุครัชกาลที่ 9 และมีคุณลักษณะต้องตามพระราชดำริ คือ ให้เป็นอาคารที่สมเกียรติกับหลวงพ่อพุทธโสธร มีความสง่างาม มีคุณค่าทางศิลปกรรม เหมาะสมที่จะเป็นพุทธสถาน เป็นถาวรวัตถุคู่บ้านคู่เมือง และให้เป็นสมบัติของชาติอันมีค่าในอนาคต
มาต่อกันที่ “วัดปากน้ำโจ้โล้” เอกลักษณ์ของวัดแห่งนี้คือมีพระอุโบสถสีทอง ซึ่งถือเป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทยตั้งโดดเด่นอยู่ริมน้ำบางปะกง เป็นที่สะดุดตาและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมความวิจิตรนี้ยิ่งนัก
“วัดปากน้ำโจ้โล้” ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง เป็นวัดในสมัยอยุธยาตอนปลายสร้างประมาณ 200 กว่าปีมาแล้ว แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใดในอดีตบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของทัพพม่า ซึ่งยกทัพบกและทัพเรือมาปะทะกับกองทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชผลการสู่รบพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีชัยเหนือพม่า จึงโปรดฯให้สร้างเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์
ชื่อ “โจ้โล้” นั้นมาจากการที่พระเจ้าตากสินมหาราชทรงวางแผนการศึกเข้าโจมตีทหารพม่าโดยการโล้เรือมาตามลำน้ำให้ทหารพม่าตายใจว่าทรงมาเพียงลำพัง แล้วให้ทหารของพระองค์ซุ้มล้อมโจมตีจนได้ชัยชนะจึงได้เรียกกันว่า “เจ้าโล้” ต่อมาได้เพี้ยนมาเป็น “โจ้โล้” นั่นเอง ซึ่งวัดนี้ตั้งอยู่ในบริเวณปากน้ำจึงถูกเรียกรวมกับชื่อสถานที่ตั้งกลายเป็น“วัดปากน้ำโจ้โล้” จนถึงปัจจุบัน
ไฮไลต์เด่นของที่วัดนี้ก็คือ “พระอุโบสถสีทอง” เป็นอุโบสถสีทองที่ทาด้วยสีทองทั้งหลัง ซึ่งสีทองเป็นเสมือนการจำลองภาพบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อมีผู้พบเห็นเกิดความปีติสุข และเลื่อมใสศรัทธาต่อพุทธศาสนา โดยรอบพระอุโบสถตกแต่งด้วยพระพุทธรูปเป็นจำนวนมาก สำหรับตัวอุโบสถสร้างแบบก่ออิฐถือปูน หลังคาประดับด้วยพญานาคและธรรมจักรตรงกลางมีบุษบกยอดฉัตร ส่วนบริเวณกำแพงแก้วชั้นนอกตกแต่งด้วยลวดลายธรรมจักรสลับกับโคมไฟรูปช้างสามเศียรเป็นระยะๆ
ส่วนด้านในยังคงใช้สีทองทั้งหมด ผนังโบสถ์ไม่ได้วาดเป็นจิตรกรรมฝาผนังแต่ใช้การประดับกรอบประตู หน้าต่างด้วยลวดลายปูนปั้นแทน และอีกหนึ่งไฮไลต์ของที่วัดก็คือการลอดใต้ฐานพระประธานเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยบริเวณทางเข้าจะหลบมุมต้องเดินเข้าไปใกล้จึงจะรู้ว่ามีทางเดินลอดระยะสั้นๆ อยู่ ด้านในมีพัดลมช่วยระบายอากาศ เวลาเดินให้เดินเข้าทางซ้ายและเดินทะลุออกมายังฝั่งขวาของพระประธาน ขณะลอดก็จะมีบทสวดมนต์ภาวนาอธิษฐานจิตเพื่อให้จิตสงบเป็นสมาธิ ส่วนด้านขวาของพระอุโบสถมีพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรองค์ใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่
นอกจากเมืองแปดริ้วจะมีวัดวาอารามที่งดงามแล้ว ยังมีพระพิฆเนศองค์ใหญ่สูงเด่นเป็นสง่า โดยตั้งอยู่ที่ “วัดสมานรัตนาราม” ที่วัดนี้มีพระพิฆเนศปางนอนเสวยสุของค์ใหญ่ ตั้งเด่นอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง ทำให้วัดสมานรัตนารามแห่งนี้มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไปอย่างกว้างขวาง ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีผู้ใดมาขอพรก็มักจะสำเร็จสมดังใจหวัง จนทำให้เป็นที่นับถือของคนทั่วไปอย่างรวดเร็ว พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุของค์นี้ มีเนื้อองค์เป็นสีชมพู
องค์พระพิฆเนศองค์นี้มีขนาดความสูง 16 เมตร และความกว้าง 14 เมตร ลักษณะกึ่งนอนตะแคงบนฐาน พระหัตถ์บนด้านขวาทรงเชือกบ่วงบาศก์ ที่ทรงใช้ในการนำพามนุษย์ไปสู่เส้นทางแห่งธรรมะ และหลุดพ้นพร้อมทรงขจัดอุปสรรคในระหว่างทาง พระหัตถ์บนซ้ายทรงเชือกขอสับ ที่ใช้ในการป้องกันและพันฝ่าความยากลำบาก พระหัตถ์ขวาล่างทรงงาที่หักครึ่ง เป็นสัญลักษณ์แห่งความเสียสละ พระหัตถ์ขวาด้านบนถือดอกบัว
ด้านหน้าฐานพระพิฆเนศ จะเห็นปูนปั้นรูปหนูอยู่สองตัว ที่ยืนทำมือป้องหูไว้ ตามประวัติเล่าว่า พระพิฆเนศมีหนูเป็นบริวาร และในความเชื่อของผู้ที่เคารพและสักการะขอพรเป็นประจำ เชื่อว่าถ้าอยากได้สิ่งใด ขอพรสิ่งใดให้สมหวัง ให้ไปกระซิบที่หูหนู แล้วเจ้าหนูบริวารนี้จะนำความไปบอกท่านพระพิฆเนศ ให้ประทานสิ่งที่ต้องการกลับมา และที่สำคัญอย่าลืมติดสินบนหนูด้วย โดยการทำบุญใส่ตู้ที่วางไว้ด้านหน้า
ปางนอนเสวยสุขนั้นมีความหมายว่า เป็นปางที่ประทานความมีกินมีใช้ เงินทองไม่ขาดมือ อยู่อย่างสุขสบาย อิ่มหนำสำราญ ขจัดปัญหา ไม่มีเรื่องให้วุ่นวายใจ เนื้อองค์มีสีชมพู รอบฐานมีปางต่างๆถึง 32 ปางให้ชม ภายใต้ฐานพระพิฆเนศเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเกี่ยวกับพระพิฆเนศปางต่างๆ พร้อมทั้งเปิดให้ประชาชนทั่วไปเช่าพระพิฆเนศไปบูชา
และยังมีพระพิฆเนศอีกหนึ่งองค์ที่จะชวนไปชมอยู่ที่ เทวสถานอุทยานพระพิฆเนศคลองเขื่อน อ.คลองเขื่อน ที่นี่จะมี “พระพิฆเนศปางยืน องค์สำริด สำเร็จ สมปรารถนา” วัตถุประสงค์ในการสร้าง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว มีขนาดสูงถึง 39 เมตร เนื้อองค์ทำจากสำริด พระหัตถ์ทั้ง 4 นั้นถือ ดอกบัว, มะม่วง, กล้วย, อ้อย และขนุน และที่พระบาทมีหนูกอดลูกมะพร้าว ซึ่งมีความหมาย คือ ความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน
องค์พระพิฆเนศปางยืน เนื้อสำริดนี้ จะตั้งเด่นตระหง่านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง บริเวณ อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา ภายในเทวสถานอุทยานฯ แห่งนี้ มีการก่อสร้างสิ่งสักการะอีกหลายอย่าง เพื่อให้ประชาชนที่นับถือมากราบไหว้ หากใครสนใจเข้าเยี่ยมชม สักการะขอพรองค์พระพิฆเนศ ปางยืน สำริด สำเร็จ สมปารถนา
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline