ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ สรุปเรื่องราวท้องทะเลไทยในปี 2563 ที่ผ่านมา ว่าเป็นปีที่ท้องทะเลไทยเงียบสงบที่สุดหลังได้รับผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง แต่ได้ส่งผลให้ธรรมชาติได้พักฟื้นตัว จึงทำให้สัตว์ทะเลหายากมากมายได้มาอวดโฉมกัน
เฟซบุ๊กThon Thamrongnawasawatผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล และรองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้โพสต์ข้อความ"ส่งท้ายปีเก่า นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาไล่เรียงกัน ในปีที่ทะเลเงียบสุด พบสัตว์หายากเยอะสุด มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดมากมาย ผมบรรยายไว้ใต้ภาพแล้วครับ ขอให้เพื่อนธรณ์อำลาปี63 อย่างมีความสุข ปีหน้ารบกวนช่วยกันดูแลทะเลไทยนะครับ"
พร้อมภาพเรื่องราวไล่เรียงตั้งแต่เดือนมกราคม ที่ได้พบ “เต่ามะเฟือง” ขึ้นมาวางไข่ที่ จ.ภูเก็ต และ จ.พังงา และในเดือนนี้ยังได้พบแม่ลูก “วาฬโอมูระ” สัตว์สงวนที่หายากมากบริเวณหมู่เกาะภูเก็ตอีกด้วย
ในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม มี “ลูกเต่ามะเฟือง” เดินลงทะเลทั้งฤดูกาลจำนวน351 ตัว จากนั้นในเดือนเมษายน ที่ท้องทะเลได้เงียบสงบ ได้พบ “ฝูงพะยูน” เมืองตรังดังไปทั่วโลก ต่อที่เดือนพฤษภาคม พบ “ฉลามครีบดำ” กว่าร้อยตัว ว่ายเข้ามาที่อ่าวมาหยา
และตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน ได้พบ “เต่าตนุ” และ “เต่ากระ” เริ่มวางไข่ที่เกาะสมุยหลังจากที่หายไปนานมาก ส่งผลให้ในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ได้มีลูกเต่าถือกำเนิดขึ้นที่เกาะสมุยทั้งหมด21 รัง สร้างปรากฏการณ์เกาะสมุยเกาะแห่งเต่า
จากนั้นในเดือนสิงหาคม ได้มีการสำรวจอ่าวตก ได้พบว่ามีป่าชายเลน แหล่งหญ้าทะเล และแนวปะการัง อยู่รวมในพื้นที่เดียวกัน และอีกครั้งในเดือนกันยายน นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลร่วมกับ ปตท.สผ. สำรวจเกาะโลซิน พบ “ฉลามวาฬ” ว่ายเหนือแนวปะการัง
และในเดือนกันยายน-ตุลาคม พบ “วาฬบรูด้า” ตามฝูงปลาเข้ามาที่อ่าวไทยตอนใน ช่วงเริ่มฤดูกาลดูวาฬ ต่อมาในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ได้พบ “แม่เต่ามะเฟืองยักษ์” เริ่มขึ้นมาวางไข่ที่ จ.พังงา มีทั้งหมด12 รัง และได้ฟักไปแล้วจำนวน2 รัง
แต่ก็ยังไม่วายมีข่าวเศร้าส่งท้ายปีในเดือนธันวาคม ที่มีข่าวแม่พะยูนท้องแก่ถูกล่าเอาเขี้ยวไป ถือเป็นข่าวเศร้าที่สุดในรอบปีอีกหนึ่งข่าวก็ว่าได้
ดร.ธรณ์ ได้กล่าวส่งท้ายว่า “ปีหน้าฟ้าใหม่ ยังมีเรื่องอีกมากมายที่พวกเราช่วยทะเลไทยได้ โดยเฉพาะขยะทะเลที่เพิ่มขึ้นมาก ช่วยกันลดพลาสติกใช้แล้วทิ้ง เก็บขยะจากทะเลทุกครั้งที่มีโอกาส สวัสดีปีใหม่ครับ”
***ภาพและข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat***
