Facebook :Travel @ Manager

มนต์เสน่ห์ล้านนาที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่าง “ลำพูน” ทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางสำหรับคนที่เลือกจะไปเที่ยวทางภาคเหนือ จังหวัดเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองเชียงใหม่ แต่ให้บรรยากาศที่สงบเงียบ แตกต่างจากเมืองใหญ่โดยสิ้นเชิง
และหากใครอยากสัมผัสความงดงามในตัวเมืองลำพูนอย่างใกล้ชิด ก็มีอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย นั่นก็คือ การนั่งรถรางเที่ยวในตัวเมือง โดยจะมีเส้นทางวิ่งเป็นวงรอบ ระหว่างทางจะพาไปแวะเที่ยวชมจุดสำคัญ ๆ ทั้งหมด 10 จุด (หากรวมวัดพระธาตุหริภุญชัยที่เป็นจุดตั้งต้นและสิ้นสุดก็จะเป็น 11 จุด) เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักกับเมืองลำพูน (ในแบบฉบับย่อ) ดียิ่งขึ้น พร้อมๆ กับมีคนขับรถทำหน้าที่เป็นผู้บรรยาย ให้ความรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับสถานที่นั้นๆ ไปตลอดเส้นทาง

จุดขึ้นรถรางเที่ยวเมืองลำพูนอยู่ที่ “วัดพระธาตุหริภุญชัย” เป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองลำพูน และเป็นที่ประดิษฐาน “พระธาตุหริภุญชัย” พระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองลำพูน และพระธาตุประจำปีคนเกิดปีระกา (ไก่) ตามคติความเชื่อของชาวล้านนา ภายในประดิษฐานพระเกศธาตุบรรจุอยู่ในโกศทองคำ ซึ่งในแต่ละวันจะมีพุทธศาสนิกชนเดินทางมาไหว้องค์พระธาตุหริภุญชัยกันไม่ได้ขาด
นอกจากพระธาตุหริภุญชัยที่เป็นศูนย์รวมใจของชาวลำพูนแล้ว วัดพระธาตุหริภุญชัยและบริเวณโดยรอบยังมีสิ่งน่าสนใจให้สักการะและเที่ยวชมกันอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “ซุ้มประตูโขงท่าสิงห์”, “พระเจ้าทองทิพย์” ในโบสถ์ด้านหน้า, “พระมหามุนีศรีหริภุญชัย” พระพุทธปฏิมาในวิหารหลวง, “หลวงพ่อพระนอน”, “พระเจ้าแดง”, “สุวรรณเจดีย์” หรือ “เจดีย์ปทุมวดี”, “รอยพระพุทธบาท 4 รอย”, “เสาสะดือเมือง” เป็นต้น


หลังจากขึ้นรถรางแล้ว จุดแรกที่จะหยุดก็คือ “พิพิธภัณฑ์ชุมชนเมืองลำพูน” ซึ่งเดิมอาคารนี้ก็คือคุ้มเจ้าราชสัมพันธวงษ์ คุ้มเจ้าเมืองลำพูน ปัจจุบันมีอายุกว่า 100 ปี เป็นสถานที่จัดแสดง ชั้นล่างจะจัดแสดงประวัติคุ้มเจ้าราชสัมพันธวงษ์ และการเปลี่ยนแปลงมาจนกระทั่งปัจจุบัน รวมถึงข้าวของเครื่องใช้สมัยก่อน ภาพถ่ายเกี่ยวกับประเพณี พิธีกรรม และนางงามผู้มีชื่อเสียงของจังหวัด
บนชั้นสองก็ยังมีการให้ความรู้เกี่ยวกับอาคารโบราณ และประวัติของคุ้ม โดยเฉพาะในจังหวัดลำพูน จะเป็นอาคารทรงล้านนาปั้นหยา ตกแต่งหลังคาหน้าจั่วด้วยสระไน ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของบ้านหรือคุ้มในจังหวัดลำพูน สระไน หรือ ท่อนไม้กลึง ทำขึ้นจากไม้ ปัจจุบันแทบจะไม่เหลือให้ชมแล้ว แต่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังเก็บของสระไนของเก่าไว้ให้ศึกษากัน

จุดที่สองอยู่ไม่ห่างกันก็คือ “คุ้มเจ้ายอดเรือน” เป็นเรือนสรไน (เรือนพื้นถิ่นเอกลักษณ์ลำพูน) ของ เจ้ายอดเรือน ณ ลำพูน ชายาเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ ณ ลำพูน เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้าย แม้จะสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2470 แต่วันนี้ยังคงสภาพดีอยู่ จึงได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยามฯ ในปี 2554 ภายในมีข้าวของเครื่องใช้จัดแสดงให้ชมกัน


จุดที่สาม มาแวะสักการะ “อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี” องค์ปฐมกษัตริย์แห่งนครหิภุญชัย มีปรากฏโดดเด่นอยู่ในตำนานต่างๆ ของล้านนา ที่กล่าวถึงว่าทรงเป็นสตรีที่มีพระสิริโฉมงดงาม เป็นปราชญ์ที่มีคุณธรรม แต่ขณะเดียวกันก็ทรงมีความเด็ดขาด พระองค์ทรงเป็นผู้นำที่สร้างความรุ่งเรืองให้บังเกิดบนแผ่นดินล้านนา และได้นำพุทธศาสนาศิลปวัฒนธรรมมาเผยแพร่ในดินแดนแถบนี้จนมีความรุ่งเรืองสืบมาจนถึงปัจจุบัน นอกนี้ยังทรงเป็นต้นวงศ์กษัตริย์ หริภุญไชย ที่มีการสืบทอดครองราชย์ต่อเนื่องกันมากว่า 600 ปี จนถือเป็นรัฐที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศสยามครั้งอดีต โดยอนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2525

จุดที่สี่คือ “วัดจามเทวี” เป็นวัดเก่าแก่ที่สำคัญมาตั้งแต่สมัยล้านนาไทย บางแห่งก็ว่าพระนางจามเทวีทรงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.1292 โดยใช้ช่างฝีมือชาวขอม บ้างก็ว่าเจ้าอนันตยศและเจ้ามหันตยศ ราชโอรสของพระนางจามเทวี ได้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิของพระนาง
ภายในวัดมีเจดีย์ขนาดใหญ่ชื่อว่า “สุวรรณจังโกฏิเจดีย์” ลักษณะเจดีย์เป็นสี่เหลี่ยมซ้อนชั้นแบบพุทธคยาในประเทศอินเดีย มีพระพุทธรูปปางประทานพรยืนอยู่ในซุ้ม ทั้งหมดมี 60 องค์ ต่อมายอดพระเจดีย์ได้หักหายไป ชามบ้านจึงเรียกกันว่า “กู่กุด” นอกจากนี้ยังมี “รัตนเจดีย์” เป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม ที่เชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่ใช้บรรจุข้าวของเครื่องใช้ของพระนางจามเทวี และยังมี กู่บรรจุอัฐืของครูบาเจ้าศรีวิชัย ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถ


จุดที่ห้าคือ “วัดมหาวัน” ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองลำพูน หนึ่งในวัดสี่มุมเมืองที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด สร้างมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวีเสด็จขึ้นครองราชที่นครหริภุญชัย ภายในวัดมี “พระพุทธสิกขีปฏิมากร” (พระศิลาดำ) หรือ “พระรอดหลวง” ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพระประธานในวิหาร ซึ่งเป็นแม่พิมพ์พระสกุล “พระรอดลำพูน” อันลือลั่น เป็น 1 ใน 5 พระเบญจภาคีที่มีราคาแพงที่สุด


ไปต่อกันที่จุดที่หก “วัดพระคงฤาษี” เป็นหนึ่งในวัดสี่มุมเมืองทางทิศเหนือ เป็นพระอารามหลวงในสมัยพระนางจามเทวี วัดนี้มีชื่อเสียงด้วยมีพระพิมพ์ที่เรียกว่า “พระคง” บริเวณวัดมีเจดีย์ลักษณะแปลกกว่าเจดีย์อื่นๆ มีซุ้มคูหาสี่ด้าน ประดิษฐานพระพุทธรูปและรูปพระคงฤาษี

จุดที่เจ็ด “วัดสันป่ายางหลวง” อีกหนึ่งวัดอันงดงามวิจิตรแห่งดินแดนล้านนา เดิมเคยเป็นศาสนสถานของพราหมณ์-ฮินดู เนื่องจากมีการขุดค้นพบพระพิฆเนศในบริเวณนี้ หลังจากนั้นก็มีพระจากพม่าเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาจนชาวบ้านเลื่อมใส และเปลี่ยนสถานที่นี้เป็นวัดชื่อว่า ขอมลำโพง เป็นวัดทางพุทธศาสนาแห่งแรกของล้านนา ต่อมามีการปฏิสังขรณ์และเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า อาพัทธารามป่าไม้ยางหลวง และเชื่อว่าวัดแห่งนี้เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระนางจามเทวี

ภายในวัดประดิษฐาน “พระเจ้าเขียวโขง” หรือ “พระพุทธอัญญรัตนมหานทีศรีหริภุญชัย” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิแกะสลักด้วยหินสีเขียวเนื้อละเอียดจากแม่น้ำโขงที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่งนัก ประดิษฐานอยู่ด้านบนพระพุทธเมตไตรจำลองมาจากพุทธคยา ตอนที่พระพุทธเจ้าโคตรมะบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


สำหรับจุดที่แปดคือ “โบราณสถานกู่ช้าง กู่ม้า” หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญที่ชาวเมืองลำพูนเคารพนับถือกันมาก โดยเฉพาะกู่ช้าง ที่สร้างเป็นสถูปทรงกระบอกปลายมน เชื่อกันว่าเป็น “ปู้ก่ำงาเขียว” ช้างศึกคู่บารมีของพระนางจามเทวี ซึ่งหากใครได้มากราบไหว้ขอพรและได้ลอดท้องรูปปั้นช้างปู้ก่ำงาเขียว เชื่อว่าจะได้รับพรแห่งชัยชนะ สมหวังทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน และการดำเนินชีวิต

จุดที่เก้า “วัดพระยืน” หนึ่งในวัดสี่มุมเมืองทางทิศตะวันออก ภายในวัดมี “เจดีย์วัดพระยืน” ลักษณะโดดเด่นแตกต่างจากเจดีย์ทั่วๆ ไปในเมืองไทย เป็นศิลปกรรมพม่า คล้ายกับเจดีย์วัดสัพพัญญูในเมืองพุกาม สร้างยกพื้นลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ มีบันไดเดินขึ้นสู่ลานประทักษิณชั้นบนที่ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว และมีเจดีย์บริวารองค์เล็กอยู่ทั้ง 4 มุม ส่วนเรือนธาตุเป็นองค์ 4 เหลี่ยม มีซุ้มจระนำทั้ง 4 ด้าน ภายในประดิษฐานองค์พระพุทธรูปยืนสีทอง เหนือขึ้นไปเป็นมาลัยเถา 4 เหลี่ยม ซ้อน 3 ชั้น ยอดเป็นฉัตรสีทองอร่าม

จุดที่สิบ ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายคือ “วัดต้นแก้ว” มีสิ่งน่าสนใจ อาทิ “เจดีย์ต้นก๊อ” ที่เป็นสถูปทรงกลมล้านนา มีพระพุทธรูปทรงเครื่องในวิหาร รวมถึงมีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน และส่วนของศูนย์เรียนรู้เกี่ยวกับผ้าทอที่เราจะได้ชมฝีมือแม่อุ๊ยกับการทอผ้าด้วยลวดลายอันสวยงาม ซึ่งเป็นดังพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่ใครถูกใจก็ซื้อหาติดไม้ติดมือกลับมาได้

หลังจากจุดที่สิบ รถรางก็จะวนกลับมาส่งที่จุดขึ้นรถคือ บริเวณด้านหน้าวัดพระธาตุหริภุญชัย ซึ่งบริเวณนี้ก็ยังมี “กาดขัวมุงท่าสิงห์” ให้เดินเลือกซื้อหาของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านได้ด้วย
รถรางนำเที่ยวเมืองลำพูน ให้บริการวันอังคาร-อาทิตย์ (หยุดวันจันทร์) รอบเช้าเริ่มเวลา 09.30 น. รอบบ่ายเริ่มเวลา 13.30 น. (แนะนำให้มาซื้อตั๋วก่อนเวลา) ค่าบริการ เด็ก 20 บาท/คน ผู้ใหญ่ 50 บาท/คน ต่างชาติ 100 บาท/คน จุดบริการขึ้นรถและซื้อตั๋วอยู่บริเวณด้านหน้าวัดพระธาตุหริภุญชัย อ.เมือง จ.ลำพูน สอบถามรายละเอียดที่ สำนักงานเทศบาลเมืองลำพูน งานพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว โทร. 0-5351-1013 ต่อ 109, 110 และที่บูธจำหน่ายตั๋วรถนำเที่ยว โทร. 0-5353-0757
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
มนต์เสน่ห์ล้านนาที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่าง “ลำพูน” ทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางสำหรับคนที่เลือกจะไปเที่ยวทางภาคเหนือ จังหวัดเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองเชียงใหม่ แต่ให้บรรยากาศที่สงบเงียบ แตกต่างจากเมืองใหญ่โดยสิ้นเชิง
และหากใครอยากสัมผัสความงดงามในตัวเมืองลำพูนอย่างใกล้ชิด ก็มีอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย นั่นก็คือ การนั่งรถรางเที่ยวในตัวเมือง โดยจะมีเส้นทางวิ่งเป็นวงรอบ ระหว่างทางจะพาไปแวะเที่ยวชมจุดสำคัญ ๆ ทั้งหมด 10 จุด (หากรวมวัดพระธาตุหริภุญชัยที่เป็นจุดตั้งต้นและสิ้นสุดก็จะเป็น 11 จุด) เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักกับเมืองลำพูน (ในแบบฉบับย่อ) ดียิ่งขึ้น พร้อมๆ กับมีคนขับรถทำหน้าที่เป็นผู้บรรยาย ให้ความรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับสถานที่นั้นๆ ไปตลอดเส้นทาง
จุดขึ้นรถรางเที่ยวเมืองลำพูนอยู่ที่ “วัดพระธาตุหริภุญชัย” เป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองลำพูน และเป็นที่ประดิษฐาน “พระธาตุหริภุญชัย” พระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองลำพูน และพระธาตุประจำปีคนเกิดปีระกา (ไก่) ตามคติความเชื่อของชาวล้านนา ภายในประดิษฐานพระเกศธาตุบรรจุอยู่ในโกศทองคำ ซึ่งในแต่ละวันจะมีพุทธศาสนิกชนเดินทางมาไหว้องค์พระธาตุหริภุญชัยกันไม่ได้ขาด
นอกจากพระธาตุหริภุญชัยที่เป็นศูนย์รวมใจของชาวลำพูนแล้ว วัดพระธาตุหริภุญชัยและบริเวณโดยรอบยังมีสิ่งน่าสนใจให้สักการะและเที่ยวชมกันอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “ซุ้มประตูโขงท่าสิงห์”, “พระเจ้าทองทิพย์” ในโบสถ์ด้านหน้า, “พระมหามุนีศรีหริภุญชัย” พระพุทธปฏิมาในวิหารหลวง, “หลวงพ่อพระนอน”, “พระเจ้าแดง”, “สุวรรณเจดีย์” หรือ “เจดีย์ปทุมวดี”, “รอยพระพุทธบาท 4 รอย”, “เสาสะดือเมือง” เป็นต้น
หลังจากขึ้นรถรางแล้ว จุดแรกที่จะหยุดก็คือ “พิพิธภัณฑ์ชุมชนเมืองลำพูน” ซึ่งเดิมอาคารนี้ก็คือคุ้มเจ้าราชสัมพันธวงษ์ คุ้มเจ้าเมืองลำพูน ปัจจุบันมีอายุกว่า 100 ปี เป็นสถานที่จัดแสดง ชั้นล่างจะจัดแสดงประวัติคุ้มเจ้าราชสัมพันธวงษ์ และการเปลี่ยนแปลงมาจนกระทั่งปัจจุบัน รวมถึงข้าวของเครื่องใช้สมัยก่อน ภาพถ่ายเกี่ยวกับประเพณี พิธีกรรม และนางงามผู้มีชื่อเสียงของจังหวัด
บนชั้นสองก็ยังมีการให้ความรู้เกี่ยวกับอาคารโบราณ และประวัติของคุ้ม โดยเฉพาะในจังหวัดลำพูน จะเป็นอาคารทรงล้านนาปั้นหยา ตกแต่งหลังคาหน้าจั่วด้วยสระไน ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของบ้านหรือคุ้มในจังหวัดลำพูน สระไน หรือ ท่อนไม้กลึง ทำขึ้นจากไม้ ปัจจุบันแทบจะไม่เหลือให้ชมแล้ว แต่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังเก็บของสระไนของเก่าไว้ให้ศึกษากัน
จุดที่สองอยู่ไม่ห่างกันก็คือ “คุ้มเจ้ายอดเรือน” เป็นเรือนสรไน (เรือนพื้นถิ่นเอกลักษณ์ลำพูน) ของ เจ้ายอดเรือน ณ ลำพูน ชายาเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ ณ ลำพูน เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้าย แม้จะสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2470 แต่วันนี้ยังคงสภาพดีอยู่ จึงได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยามฯ ในปี 2554 ภายในมีข้าวของเครื่องใช้จัดแสดงให้ชมกัน
จุดที่สาม มาแวะสักการะ “อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี” องค์ปฐมกษัตริย์แห่งนครหิภุญชัย มีปรากฏโดดเด่นอยู่ในตำนานต่างๆ ของล้านนา ที่กล่าวถึงว่าทรงเป็นสตรีที่มีพระสิริโฉมงดงาม เป็นปราชญ์ที่มีคุณธรรม แต่ขณะเดียวกันก็ทรงมีความเด็ดขาด พระองค์ทรงเป็นผู้นำที่สร้างความรุ่งเรืองให้บังเกิดบนแผ่นดินล้านนา และได้นำพุทธศาสนาศิลปวัฒนธรรมมาเผยแพร่ในดินแดนแถบนี้จนมีความรุ่งเรืองสืบมาจนถึงปัจจุบัน นอกนี้ยังทรงเป็นต้นวงศ์กษัตริย์ หริภุญไชย ที่มีการสืบทอดครองราชย์ต่อเนื่องกันมากว่า 600 ปี จนถือเป็นรัฐที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศสยามครั้งอดีต โดยอนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2525
จุดที่สี่คือ “วัดจามเทวี” เป็นวัดเก่าแก่ที่สำคัญมาตั้งแต่สมัยล้านนาไทย บางแห่งก็ว่าพระนางจามเทวีทรงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.1292 โดยใช้ช่างฝีมือชาวขอม บ้างก็ว่าเจ้าอนันตยศและเจ้ามหันตยศ ราชโอรสของพระนางจามเทวี ได้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิของพระนาง
ภายในวัดมีเจดีย์ขนาดใหญ่ชื่อว่า “สุวรรณจังโกฏิเจดีย์” ลักษณะเจดีย์เป็นสี่เหลี่ยมซ้อนชั้นแบบพุทธคยาในประเทศอินเดีย มีพระพุทธรูปปางประทานพรยืนอยู่ในซุ้ม ทั้งหมดมี 60 องค์ ต่อมายอดพระเจดีย์ได้หักหายไป ชามบ้านจึงเรียกกันว่า “กู่กุด” นอกจากนี้ยังมี “รัตนเจดีย์” เป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม ที่เชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่ใช้บรรจุข้าวของเครื่องใช้ของพระนางจามเทวี และยังมี กู่บรรจุอัฐืของครูบาเจ้าศรีวิชัย ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถ
จุดที่ห้าคือ “วัดมหาวัน” ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองลำพูน หนึ่งในวัดสี่มุมเมืองที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด สร้างมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวีเสด็จขึ้นครองราชที่นครหริภุญชัย ภายในวัดมี “พระพุทธสิกขีปฏิมากร” (พระศิลาดำ) หรือ “พระรอดหลวง” ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพระประธานในวิหาร ซึ่งเป็นแม่พิมพ์พระสกุล “พระรอดลำพูน” อันลือลั่น เป็น 1 ใน 5 พระเบญจภาคีที่มีราคาแพงที่สุด
ไปต่อกันที่จุดที่หก “วัดพระคงฤาษี” เป็นหนึ่งในวัดสี่มุมเมืองทางทิศเหนือ เป็นพระอารามหลวงในสมัยพระนางจามเทวี วัดนี้มีชื่อเสียงด้วยมีพระพิมพ์ที่เรียกว่า “พระคง” บริเวณวัดมีเจดีย์ลักษณะแปลกกว่าเจดีย์อื่นๆ มีซุ้มคูหาสี่ด้าน ประดิษฐานพระพุทธรูปและรูปพระคงฤาษี
จุดที่เจ็ด “วัดสันป่ายางหลวง” อีกหนึ่งวัดอันงดงามวิจิตรแห่งดินแดนล้านนา เดิมเคยเป็นศาสนสถานของพราหมณ์-ฮินดู เนื่องจากมีการขุดค้นพบพระพิฆเนศในบริเวณนี้ หลังจากนั้นก็มีพระจากพม่าเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาจนชาวบ้านเลื่อมใส และเปลี่ยนสถานที่นี้เป็นวัดชื่อว่า ขอมลำโพง เป็นวัดทางพุทธศาสนาแห่งแรกของล้านนา ต่อมามีการปฏิสังขรณ์และเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า อาพัทธารามป่าไม้ยางหลวง และเชื่อว่าวัดแห่งนี้เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระนางจามเทวี
ภายในวัดประดิษฐาน “พระเจ้าเขียวโขง” หรือ “พระพุทธอัญญรัตนมหานทีศรีหริภุญชัย” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิแกะสลักด้วยหินสีเขียวเนื้อละเอียดจากแม่น้ำโขงที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่งนัก ประดิษฐานอยู่ด้านบนพระพุทธเมตไตรจำลองมาจากพุทธคยา ตอนที่พระพุทธเจ้าโคตรมะบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สำหรับจุดที่แปดคือ “โบราณสถานกู่ช้าง กู่ม้า” หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญที่ชาวเมืองลำพูนเคารพนับถือกันมาก โดยเฉพาะกู่ช้าง ที่สร้างเป็นสถูปทรงกระบอกปลายมน เชื่อกันว่าเป็น “ปู้ก่ำงาเขียว” ช้างศึกคู่บารมีของพระนางจามเทวี ซึ่งหากใครได้มากราบไหว้ขอพรและได้ลอดท้องรูปปั้นช้างปู้ก่ำงาเขียว เชื่อว่าจะได้รับพรแห่งชัยชนะ สมหวังทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน และการดำเนินชีวิต
จุดที่เก้า “วัดพระยืน” หนึ่งในวัดสี่มุมเมืองทางทิศตะวันออก ภายในวัดมี “เจดีย์วัดพระยืน” ลักษณะโดดเด่นแตกต่างจากเจดีย์ทั่วๆ ไปในเมืองไทย เป็นศิลปกรรมพม่า คล้ายกับเจดีย์วัดสัพพัญญูในเมืองพุกาม สร้างยกพื้นลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ มีบันไดเดินขึ้นสู่ลานประทักษิณชั้นบนที่ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว และมีเจดีย์บริวารองค์เล็กอยู่ทั้ง 4 มุม ส่วนเรือนธาตุเป็นองค์ 4 เหลี่ยม มีซุ้มจระนำทั้ง 4 ด้าน ภายในประดิษฐานองค์พระพุทธรูปยืนสีทอง เหนือขึ้นไปเป็นมาลัยเถา 4 เหลี่ยม ซ้อน 3 ชั้น ยอดเป็นฉัตรสีทองอร่าม
จุดที่สิบ ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายคือ “วัดต้นแก้ว” มีสิ่งน่าสนใจ อาทิ “เจดีย์ต้นก๊อ” ที่เป็นสถูปทรงกลมล้านนา มีพระพุทธรูปทรงเครื่องในวิหาร รวมถึงมีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน และส่วนของศูนย์เรียนรู้เกี่ยวกับผ้าทอที่เราจะได้ชมฝีมือแม่อุ๊ยกับการทอผ้าด้วยลวดลายอันสวยงาม ซึ่งเป็นดังพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่ใครถูกใจก็ซื้อหาติดไม้ติดมือกลับมาได้
หลังจากจุดที่สิบ รถรางก็จะวนกลับมาส่งที่จุดขึ้นรถคือ บริเวณด้านหน้าวัดพระธาตุหริภุญชัย ซึ่งบริเวณนี้ก็ยังมี “กาดขัวมุงท่าสิงห์” ให้เดินเลือกซื้อหาของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านได้ด้วย
รถรางนำเที่ยวเมืองลำพูน ให้บริการวันอังคาร-อาทิตย์ (หยุดวันจันทร์) รอบเช้าเริ่มเวลา 09.30 น. รอบบ่ายเริ่มเวลา 13.30 น. (แนะนำให้มาซื้อตั๋วก่อนเวลา) ค่าบริการ เด็ก 20 บาท/คน ผู้ใหญ่ 50 บาท/คน ต่างชาติ 100 บาท/คน จุดบริการขึ้นรถและซื้อตั๋วอยู่บริเวณด้านหน้าวัดพระธาตุหริภุญชัย อ.เมือง จ.ลำพูน สอบถามรายละเอียดที่ สำนักงานเทศบาลเมืองลำพูน งานพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว โทร. 0-5351-1013 ต่อ 109, 110 และที่บูธจำหน่ายตั๋วรถนำเที่ยว โทร. 0-5353-0757
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager