xs
xsm
sm
md
lg

เยือนแดนใต้ “บ้านทรายขาว” นั่งรถจี๊ปโบราณสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่องเที่ยวรอบชุมชน จ.ปัตตานี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

Facebook :Travel @ Manager
นั่งรถจี๊ปโบราณเที่ยวชุมชนบ้านทรายขาว
“บ้านทรายขาว” เป็นชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม มีพื้นที่ติดกับอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้สัมผัสวิถีชุมชน 2 วัฒนธรรม ระหว่างชาวไทยพุทธ และมุสลิม เพลิดเพลินกับบรรยากาศธรรมชาติที่บริสุทธิ์ และสวนผลไม้นานาชนิด

“บ้านทรายขาว” ตั้งอยู่ที่ ต.ทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และชุมชนบ้านทรายขาวแห่งนี้ เป็น 1 ใน 12 ชุมชนต้นแบบ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ทางองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา ได้ดำเนินงานวิจัยด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของชุมชนต้นแบบ

เมื่อเราเดินทางมาถึงยังชุมชน “บ้านทรายขาว” จากนั้นก็ติดต่อกับประธานชุมชนท่องเที่ยวบ้านทรายขาว เพื่อใช้บริการรถจี๊ปนำเที่ยว ซึ่งเป็นรถจี๊ปโบราณในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีอายุประมาณ 80 ปี มาปรับโฉมใหม่เพื่อให้บริการนักท่องเที่ยว พร้อมสัมผัสบรรยากาศอันร่มรื่นและเงียบสงบ ชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนรวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
บริเวณจุดชมวิวเขารังเกียบ
เมื่อล้อรถจี๊ปโบราณหมุนเคลื่อนตัวออกจากชุมชน สถานที่แรกที่พาไปชมก็คือ จุดชมวิวเขารังเกียบ เป็นทางถนนดินคดเคี้ยวสูงชัน(ต้องใช้รถโฟร์วีล หรือรถจี๊บสมรรถนะสูงของชาวบ้านในพื้นที่) บริเวณด้านบนจุดชมวิวเป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธมหามุนินทโลกนาถ เป็นพระพุทธรูปปางยมกปาฏิหาริย์ ซึ่งมีความหมาย พระพุทธเจ้าทรงเป็นจอมผู้รู้ที่ยิ่งใหญ่ ทรงเป็นที่พึ่งของชาวโลก พระพุทธรูปองค์นี้มีขนาดสูง 29.80 เมตร ประดิษฐานบนเทือกเขาสันกาลาคีรี (เขารังเกียบหรือจุดชมวิวเขาหินช้าง อุทยานแหงชาติน้ำตกทรายขาว ) เมื่อมองขึ้นไปจากเบื้องล่างจะเห็นองค์พระพุทธรูปสีเหลืองทองตั้งเด่นอยู่บนยอดเขาดูสวยงามอร่ามตา
พระพุทธมหามุนินทโลกนาถ
บริเวณลานฐานองค์พระพุทธรูปเป็นจุดชมวิวชั้นดี ที่ฝั่งด้านหน้าองค์พระพุทธรูปเมื่อมองลงไปจะเห็นวิวทิวทัศน์ของ อ.โคกโพธิ์ ไล่ยาวไปจนถึงบริเวณอ่าวปัตตานี ส่วนที่บริเวณด้านหลัง(ข้างๆ)องค์พระพุทธรูปเมื่อมองลงไปจะเห็นวิวทิวทัศน์ของ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ได้อย่างชัดเจน
พญางูหรือหินพญางู มีลักษณะเป็นหน้าผารูปร่างแปลกตา
ส่วนถัดลงมาจากลานองค์พระพุทธมหามุนินทโลกนาถทางด้านล่างเล็กน้อยจะเป็น “ศาลทวดเขารังเกียบ” อีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านในพื้นที่ให้ความเคารพนับถือ

เมื่อชมวิวด้านบนชมวิวเขารังเกียบแล้ว ขณะที่กำลังลงจากเขาคนขับรถจี๊ปนำเที่ยว ได้จอดรถแวะริมทางเพื่อพาไปชมผาพญางูหรือหินพญางู มีลักษณะเป็นหน้าผารูปร่างประหลาดแปลกตา ดูคล้ายหัวงูขนาดยักษ์ยื่นโผล่ออกมาจากหน้า ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่เชื่อว่าเป็นพญางูใจดีที่จะคอยคุ้มครองปกปักรักษาชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ให้รอดพ้นจากภยันอันตรายทั้งปวง

ผาพญางู เป็นก้อนหินผาขนาดใหญ่ มีความสูงราวตึก 3-4 ชั้น มีรูปลักษณะคล้ายกับหัวงูขนาดยักษ์ โผล่พ้นออกมาจากหน้าผา ชาวบ้านในพื้นที่ละแวกนั้น มีความเชื่อกันว่านี่คือพญางูใจดีที่จะคอยคุ้มครองปกปักรักษาชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ให้แคล้วคลาดพ้นภัยจากภยันอันตรายทั้งปวง
บริเวณอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว
สำหรับ “อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว” เป็นอุทยานแห่งชาติที่ครอบคลุมพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง ทั้ง จ.ปัตตานี ยะลา และ จ.สงขลา มีพื้นที่ประมาณ 68,750 ไร่ และสภาพพื้นที่เป็นป่าดิบชื้น จึงอุดมไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด ก่อให้เกิดน้ำตกที่สวยงาม อย่างเช่น น้ำตกทรายขาว
ที่เล่นน้ำคลายร้อนของนักท่องเที่ยว
“น้ำตกทรายขาว” เดิมชาวบ้านเรียกว่า น้ำตกตะโกน เป็นน้ำตกที่กระโจนลงจากหน้าผาสูงประมาณ 40 เมตร ก่อนหลากไหลลงไปตามลำธาร ลดหลั่นกันไปเป็นชั้นๆ ทำให้เกิดเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ดูสวยงาม และเป็นที่เล่นน้ำคลายร้อนของนักท่องเที่ยว
ระหว่างการเดินทางด้วยรถจี๊ปโบราณ
จากนั้นมาที่ “มัสยิดบาโงยลางา” ตั้งอยู่ที่ หมู่ 4 ต.ทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เป็นศาสนสถานที่มีการก่อสร้างแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบไทย และสถาปัตยกรรมของมุสลิม ทำให้สถานที่แห่งนี้มีลักษณะคล้ายกับศาลาการเปรียญของไทย มีอายุราว 300 ปี ซึ่งมีการสันนิษฐานว่าสร้างในปี พ.ศ.2177 ในสมัยของราชินีราตูอูงูบิน สุลต่านมันซูร ซาห์ รัชกาลที่ 8 แห่งราชอาณาจักรปาตานีดารุสสลาม ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ.2167-2178
มัสยิดบาโงยลางา
โดยมัสยิดแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาว่า สมัยนั้นได้เกิดสงครามขึ้นระหว่างปาตานีดารุสสลามกับราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ในขณะนั้นพระเจ้าปราสาททองได้ส่งกองทัพกรุงศรีอยุธยาเข้าโจมตีปาตานีดารุสสลาม เกิดสงครามยืดเยื้อเป็นเวลาแรมปี สงครามนี้เองจึงเป็นที่มาของวีรกรรมอันกล้าหาญของโต๊ะหยางหญิงแห่งบ้าน บาโงยลางา โดยคำว่า บาโงย เป็นภาษามลายู หมายถึง ควนหรือเนิน ส่วนคำว่า ลางา แปลว่า การปะทะ สถานที่แห่งนี้ คือส่วนหนึ่งของสมรภูมิสงครามในครั้งนั้น

โต๊ะหยางหญิง เป็นผู้เก็บพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานในช่วงสงคราม ซึ่งขณะกำลังหนีภัยสงครามนั้นโต๊ะหยางหญิงได้ตกลงไปในหุบเหวเป็นเวลาหลายวัน หลังสงครามสงบโต๊ะหยางหญิงได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้านให้ขึ้นจากเหว ซึ่งทุกคนต่างตะลึงเมื่อเห็นสิ่งที่โต๊ะหยางกอดแน่นอยู่กับอก คือพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเล่มนี้ถูกจารึกด้วยลายมือ ปกทำจากเปลือกต้นมะม่วงหิมพานต์ พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเล่มนี้ได้ประดิษฐานในมัสยิดแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน
ภายในมัสยิดบาโงยลางา
จากนั้นชุมชนบ้านทรายขาวซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาใหญ่สันกาลาคีรี ได้ร่วมกันสร้างสุเหร่าขึ้นภายหลังสงครามสงบ โดยขณะนั้นชาวบ้านทั้งมุสลิมและไทยพุทธ ได้ร่วมแรงร่วมใจในการก่อสร้างมัสยิดหลังนี้ โดยไม้ที่นำมาใช้ในการก่อสร้างคือไม้แคและไม้ตะเคียน ซึ่งชาวบ้านตัดมาจากป่าในเทือกเขาสันกาลาคีรี และใช้หวายมัดเป็นเชือกลากลงจากภูเขา ส่วนกระเบื้องที่ใช้มุงหลังคาทำมาจากอิฐแดง ต้นกำเนิดมาจากหมู่บ้านตาระบาตอ ต.กะมิยอ อ.เมือง จ.ปัตตานี

รูปแบบการก่อสร้างเป็นศิลปะการก่อสร้างตามแบบศิลปกรรม ที่สืบทอดมาจากสถาปัตยกรรมลังกาสุกะ ถือเป็นมัสยิดร่วมสมัยกับมัสยิดตะโละมาเนาะ อ.บาเจาะ จ.สราธิวาส และมัสยิดเอาห์ บ้านตันหยง ต.มะนังยง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ศิลปะการก่อสร้างแบบมลายูชวา สร้างโดยชุมชนท้องถิ่น มัสยิดบาโงยลางา ทั้งหลังสร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปู แต่ใช้ลิ่มไม้ นับเป็นภูมิปัญญาและความสมานสามัคคีของชาวชุมชนท้องถิ่น ที่ร่วมกันสร้างศาสนสถานอันงดงามล้ำค่าทางศิลปะแบบราชอาณาจักรลังกาสุกะ
อาหารมื้อกลางวันจากฝีมือของชาวบ้าน
หลังจากที่ไปชมมัสยิดเก่าแก่แล้ว จากนั้นก็ได้เวลามาเติมพลังให้ร่างกาย ด้วยอาหารมื้อกลางวันจากฝีมือของชาวบ้านชุมชนบ้านทรายขาว โดยแต่ละเมนูนั้นจะเป็นอาหารท้องถิ่นของที่นี่นั่นเอง นอกจากนี้มาล้างปากด้วยผลไม้ต่างๆ หลากหลายชนิด เพราะที่บ้านทรายขาวเป็นแหล่งขึ้นชื่อของผลไม้ที่มีรสชาติอร่อย นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้สัมผัสบรรยากาศสวนผลไม้และลิ้มลองรสชาติผลไม้ อาทิ เงาะ มังคุด และทุเรียน เป็นต้น โดยเฉพาะทุเรียนที่บ้านทรายขาวนั้นขึ้นชื่อในเรื่องความอร่อย ใครที่มาเยือนชุมชนนี้ในช่วงหน้าทุเรียน ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง (จะมีเฉพาะฤดูกาล เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนไปจนถึงประมาณปลายเดือนสิงหาคม)
สวนผลไม้ที่อยู่ระหว่างทาง
ปิดท้ายมื้ออาหารด้วยผลไม้นานาชนิด
กลุ่มทอผ้าตำบลทรายขาว
เมื่ออิ่มท้องกันแล้ว มาที่กลุ่มทอผ้าตำบลทรายขาว มาชมการทอผ้าลายจวนตานี ลายผ้าทอดั้งเดิมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ได้แก่ปัตตานียะลา นราธิวาส ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของลวดลายอันสวยงาม มีสีสันระหว่างเชิงผ้าตัดกัน ที่สำคัญลายเชิงผ้าและตัวผ้า จะต้องแตกต่างกัน และแบบผ้าแบบดั้งเดิม จะต้องเป็นสีแดงเท่านั้น
ชมการทอผ้าลายจวนตานี
วัดทรายขาว
จากนั้นปิดท้ายทริปด้วยการนั่งรถจี๊ปเดินทางไปยัง “วัดทรายขาว” เป็นวัดที่อยู่คู่ชุมชน สร้างขึ้นในปี พ.ศ 2300 ภายในวัดมีอุโบสถทรงกลมยอดแหลมประดับตกแต่งอย่างสวยงาม และมีเจดีย์พระครูธรรมกิจโกศล พ่อท่านนอง นอง ธมมภูโต อดีตเจ้าอาวาส ซึ่งเป็นพระเถระ ที่มีจริยวัตร งดงาม เปี่ยมด้วย พรหมวิหารธรรมมากด้วยบารมีและสมถะ
อุโบสถทรงกลมยอดแหลมประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
ภายในวิหารสามทวด
หากใครที่สนใจมาท่องเที่ยวชุมชนบ้านทราบขาว สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ นายชนินทร์ เศียรอินทร์ ประธานชุมชนท่องเที่ยวบ้านทรายขาว โทร.08-9737-9553 หรือเฟซบุค : ชุมชนท่องเที่ยวตำบลทรายขาวปัตตานี
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager


กำลังโหลดความคิดเห็น