xs
xsm
sm
md
lg

จากวัดดุสิตถึงวัดชลอ เลาะคลองบางกอกน้อย ตามรอยนิราศ "สุนทรภู่"

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

Facebook :Travel @ Manager
พระอุโบสถวัดดุสิต
"เกิดวังหลัง โตวังหลวง ตายวังหน้า"


คือคำบรรยายสั้นๆ เกี่ยวกับชีวิตของท่านสุนทรภู่ กวีเอกของไทย ประโยคดังกล่าวหมายถึงว่า ท่านเกิดในย่านวังหลัง (บริเวณโรงพยาบาลศิริราชปัจจุบัน) เมื่อโตขึ้นได้ทำงานรับราชการเป็นนักปราชญ์ประจำราชสำนักที่วังหลวง อีกทั้งยังได้บวชเรียนที่วัดหลวง (วัดเทพธิดาราม) จากนั้นในบั้นปลายของชีวิตได้ทำงานรับใช้อยู่กับเจ้าฟ้ามงกุฎ (วังหน้าในรัชกาลที่ ๓)


วันนี้เราได้มาตามรอยนิราศของสุนทรภู่กับเคทีซี หรือบริษัทบัตรกรุงไทย ที่จัดกิจกรรม "เยือนบางกอก ยลอารามนนทบุรี เลียบชลนทีตามรอยมหากวีเอก" พาไปชมวัดงามตามรอยท่านสุนทรภู่ในเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามคลองบางกอกน้อย และไปสิ้นสุดที่คลองแม่น้ำอ้อม หรือคลองอ้อมนนท์ โดยมีอาจารย์ธานัท ภุมรัช นักประชาสัมพันธ์ กลุ่มงานพัฒนาการท่องเที่ยว สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร มาเป็นผู้ให้ความรู้ตลอดเส้นทาง


นิราศต่างๆ ที่สุนทรภู่แต่งนอกจากจะบอกเล่าถึงเส้นทางที่ดำเนินไปแล้ว ก็ยังบรรยายถึงสภาพแวดล้อมของสถานที่ที่ท่านผ่าน ซึ่งทำให้คนรุ่นหลังได้รู้ถึงชื่อบ้านนามเมืองและทำให้เราเห็นถึงบรรยากาศเมื่อครั้งอดีตอีกด้วย


ภาพพระแม่ธรณีบีบมวยผมอันงดงาม
1.

“…ถึงอารามนามวัดประโคนปัก ไม่เห็นหลักลือเล่าว่าเสาหิน เป็นสำคัญปันแดนในแผ่นดิน มิรู้สิ้นสุดชื่อที่ลือชา…” นิราศภูเขาทอง

สำหรับวัดแห่งแรกที่เรามาเยือนคือ “วัดดุสิดารามวรวิหาร” หรือเรียกสั้นๆ ว่าวัดดุสิต ตั้งอยู่บริเวณเชิงสะพานปิ่นเกล้าฝั่งธนบุรี สุนทรภู่เคยกล่าวถึงวัดดุสิตในนิราศภูเขาทอง แต่บางคนอาจไม่ทราบเพราะท่านเรียกชื่อเดิมของวัดดุสิตว่า “วัดเสาประโคน” โดยเสาประโคนนั้นเป็นเสาที่ปักเพื่อกำหนดเขตของเมือง และที่วัดแห่งนี้ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ก็ถือว่าอยู่ในเขตเมือง โดยมีเสาประโคนอยู่ใกล้กับพระอุโบสถ
พระประธานในพระอุโบสถวัดดุสิต

ที่วัดดุสิตเราได้เข้าไปเยี่ยมชมภายในพระอุโบสถที่งดงามนัก ภายนอกเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน มีระเบียงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทั้งยังมีระเบียงคดซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปยืนไว้โดยรอบ ส่วนด้านในนั้นประดิษฐานพระประธานปางมารวิชัย และมีจิตรกรรมฝาผนังที่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมแล้วอย่างงดงาม เป็นภาพเทพชุมนุม ทศชาติชาดกและพุทธประวัติ โดยภาพจิตรกรรมเบื้องหน้าพระประธานซึ่งเป็นพุทธประวัติตอนมารผจญนั้นได้รับยกย่องว่างดงามประณีต โดยเฉพาะภาพของพระแม่ธรณีที่กำลังบีบมวยผมนั้นงดงามไม่แพ้ที่ใด เชื่อว่าเป็นฝีมือของช่างวาดที่มีชื่อเสียงในสมัยรัชกาลที่ ๓

ช่างทำขันลงหินเผาเหล็กอยู่หน้าเตา

2.


“…ยลย่านบ้านบุตั้งตีขัน ขุกคิดเคยชมจันทร์แจ่มฟ้า…” นิราศสุพรรณ

จากวัดดุสิต เราลัดเลาะริมคลองบางกอกน้อยมาที่ “ชุมชนบ้านบุ” ชุมชนเล็กๆ ริมคลองใกล้กับสถานีรถไฟธนบุรี ที่สุนทรภู่ระบุว่า “ยลย่านบ้านบุตั้งตีขัน” เพราะที่นี่เป็นแหล่งทำ "ขันลงหิน” อันโด่งดังโดยปรากฏหลักฐานในเอกสารสมัยรัชกาลที่ ๓ ว่าบรรพบุรุษของชาวบ้านเป็นชาวกรุงศรีอยุธยาที่ได้อพยพมาตั้งหมู่บ้านในราชธานีใหม่ภายหลังจากเสียกรุง และได้ประกอบอาชีพเดิมคือเป็นช่างบุทำเครื่องทองลงหินหรือเครื่องทองสัมฤทธิ์ และสืบเชื้อสายถ่ายทอดวิชาช่างบุต่อเนื่องกันมาจนปัจจุบัน
เมตตา เสลานนท์ เจ้าของโรงงานทำขันลงหิน
ขันลงหินแวววาวน่าใช้
สำหรับขันลงหินนั้นเป็นภาชนะที่ใช้กันแพร่หลายในสังคมไทยสมัยก่อน บางบ้านใช้เป็นขันใส่น้ำดื่มเพราะช่วยให้น้ำเย็นชื่นใจ บ้างใช้เป็นขันข้าวใส่บาตรเพราะทำให้ข้าวมีกลิ่นหอม แต่ปัจจุบันความนิยมนี้ลดน้อยลงไป รวมถึงขั้นตอนวิธีการทำที่มีหลายขั้นและต้องอยู่หน้าเตาไฟที่ร้อนจัด ทุกวันนี้จึงหาผู้สืบทอดได้ยากเพราะไม่ใช่งานที่สบายนัก

เราได้เจอกับ เมตตา เสลานนท์ ผู้สืบทอดวิชาช่างทำขันลงหิน และเจ้าของโรงงาน “เจียม แสงสัจจา” ที่เล่าให้เราฟังว่าทุกวันนี้เหลือช่างที่ทำงานในโรงงานเพียง 8 คน ทำงานตามออร์เดอร์ที่ได้รับเท่านั้นเนื่องจากไม่มีแรงงานมากพอ แต่ทางโรงงานก็ยินดีให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมเพราะที่นี่ถือเป็นโรงงานทำขันลงหินที่เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในไทย ซึ่งผู้ที่อยากซื้อหาและสนับสนุนผลงานชิ้นงามๆ ของขันลงหินบ้านบุก็สามารถมาเยือนกันได้
พานและขันเข้าคู่กัน
อนุสาวรีย์สุนทรภู่เมื่อท่านยังเด็ก ณ วัดศรีสุดาราม
3.

“วัดปะขาวคราวรุ่นรู้ เรียนเขียน ทำสูตรสอนเสมียน สมุดน้อย เดินระวางระวังเวียน หว่างวัดปะขาวเอย เคยชื่นกลืนกลิ่นสร้อย สวาทห้องกลางสวน” นิราศสุพรรณ


“วัดชีปะขาว” หรือ “วัดศรีสุดาราม” เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีความเกี่ยวพันกับท่านสุนทรภู่ดังในนิราศสุพรรณกล่าวว่า ...วัดปะขาวคราวรุ่นรู้ เรียนเขียน... นั่นเพราะวัดแห่งนี้เป็นสถานที่เล่าเรียนของท่านนั่นเอง และทางวัดก็ได้สร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่เมื่อครั้งยังเป็นเด็กไว้ให้คนทั่วไปได้รับรู้ โดยอนุสาวรีย์ดังกล่าวอยู่ริมคลองบางกอกน้อย
หลวงพ่อโตองค์ใหญ่ที่วัดศรีสุดาราม
สำหรับประวัติของวัดศรีสุดารามนั้น เดิมชื่อวัชีปะขาว เป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๑ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ พระพี่นางเธอของรัชกาลที่ ๑ ได้ทรงเข้ามาบูรณะปฏิสังขรณ์ จากนั้นเมื่อถึงรัชกาลที่ ๔ น้ำได้เซาะตลิ่งพังเข้ามาจนถึงหน้าพระอุโบสถ พระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ และพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดศรีสุดาราม
ศาลาประดิษฐานรูปพล่อสมเด็จโต
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของวัดศรีสุดารามก็คือที่นี่เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตองค์ใหญ่ ซึ่งเป็นรูปจำลองเท่าขนาดจริงเพื่อเป็นต้นแบบในการหล่อโลหะสร้างรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สำหรับนำไปประดิษฐานที่วัดโนนกุ่ม อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา โดยมีขนาดหน้าตักกว้างถึง 8.1 เมตร และสูง 13 เมตร เลยทีเดียว
คลองบางกอกน้อยด้านหน้าวัดศรีสุดาราม
พิพิธภัณฑ์วัดบางอ้อยช้าง
4.

“…บางอ้อยช้างโอ้ช้างที่ร้างโขลง มาอยู่โรงรักป่าน้ำตาไหล พี่คลาดแคล้วแก้วตาให้อาลัย เหมือนนอกไอยราร้างฝูงนางพังฯ...” นิราศพระประธม


ข้ามจังหวัดมายังอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี แต่ยังคงอยู่ในคลองบางกอกน้อยเช่นเดิม มาต่อกันที่ “วัดบางอ้อยช้าง” วัดเก่าแก่สมัยอยุธยาตอนปลาย แม้จะอยู่ไกลจากเมือง (ในสมัยอดีต) แต่วัดแห่งนี้ก็มีความสำคัญ โดยรัชกาลที่ ๕ เคยเสด็จมาหลายครั้ง


ที่นี่เราได้พบกับ ธีรวัฒน์ กลีบผึ้ง ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์วัดบางอ้อยช้างที่พ่วงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านมาเป็นผู้เล่าเรื่องราวที่น่าสนใจของวัดแห่งนี้ให้เราได้ฟังกัน ตั้งแต่ชื่อของวัดซึ่งมีที่มาจาก “ต้นอ้อยช้าง” ที่ไม่ใช่ต้นอ้อยแต่อย่างใด แต่เป็นต้นไม้ยืนต้นที่มีสรรพคุณทางยามากมาย เชื่อกันว่าช้างก็ชอบมากินทั้งใบ ดอก และเปลือกของต้นอ้อยช้างเพื่อเป็นยา จนเป็นที่มาของชื่อต้นอ้อยช้างนั่นเอง
ต้นอ้อยช้างที่ปลูกอยู่ในบริเวณวัด
ถ้าอยากเห็นหน้าตาของต้นอ้อยช้างซึ่งถือว่าเป็นต้นไม้หายากก็สามารถมาชมได้ที่บริเวณด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ของวัดที่ปลูกไว้เป็นสิบต้น
ธีรวัฒน์ กลีบผึ้ง นำชมพิพิธภัณฑ์วัดบางอ้อยช้าง
และต้องไม่พลาดชมพิพิธภัณฑ์วัดบางอ้อยช้าง (ต้องติดต่อล่วงหน้าก่อนเข้าชม) ที่มีของดีให้ดูเพียบ ตั้งแต่ข้าวของเครื่องใช้ในสมัยอดีตของผู้คนในแถบนี้ เครื่องใช้เก่าแก่ของอดีตท่านเจ้าอาวาส ตะลุ่มหรือพานแว่นฟ้า เป็นศิลปหัตถกรรมชั้นสูงของไทยโบราณ อยู่ในกลุ่มช่างรักงานประดับมุกซึ่งโดยปกติแล้วชาวบ้านจะไม่ค่อยมีใช้กัน ส่วนใหญ่จะมีในรั้วในวังเท่านั้น

รวมไปถึงของล้ำค่าอย่างตู้พระธรรมลายรดน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงไว้ โดยเป็นศิลปะซึ่งอยู่ในสมัยรัตนโกสินทร์ราวรัชกาลที่ ๓-๕ ที่มีลวดลายงดงามล้ำค่ายิ่งนัก


ตู้พระไตรปิฎกงดงามเก็บรักษาไว้อย่างดี
อุโบสถเรือสุพรรณหงส์ของวัดชลอ
5.

“วัดชลอใครหนอชลอฉลาด เอาอาวาสมาไว้อาศัยสงฆ์ ช่วยชลอวรรักษาว่าพี่รักทรง ให้มาลงเรือร่วมพรมที่นอน” นิราศพระประธม


ปิดท้ายกันที่วัดงามริมคลองบางกอกน้อยแห่งบางกรวย จ.นนทบุรี ที่ “วัดชลอ" วัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา ตัวอุโบสถเก่ามีขนาดเล็ก ฐานแอ่นโค้งท้องสำเภาตามแบบอยุธยา


วัดชลอตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อยตอนเหนือที่เชื่อมต่อกับคลองอ้อมนนท์และคลองบางกรวย (แม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม) เป็นโค้งน้ำที่น้ำไหลเชี่ยวจึงมักมีอุบัติเหตุอยู่เสมอ ภายหลังจึงมีการสร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นจุดสังเกตให้คนเรือใช้ความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น



โบสถ์เก่าของวัดชลอ
ปัจจุบันวัดชลอมีความโดดเด่นเห็นได้แต่ไกลเพราะมีเรือสุพรรณหงส์ลำใหญ่ลอยสง่างามอยู่ภายในวัด เรือสุพรรณหงส์นั้นเป็นอุโบสถหลังใหม่ที่ดำเนินการสร้างมานานกว่า 40 ปี จากดำริของท่านอดีตเจ้าอาวาส ท่านพระครูนนทปัญญาวิมลได้นิมิตเห็นเรือหงส์ลอยมาหน้าโบสถ์ จากนั้นท่านจึงมีความคิดอยากจะสร้างเรือหงส์และออกแบบให้มีอุโบสถกลางลำเรือ


การก่อสร้างเริ่มในราว พ.ศ.2526 แต่ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจการก่อสร้างจึงหยุดชะงักไป จนบัดนี้ตัวโบสถ์แล้วเสร็จไปกว่า 80% แต่เห็นความงดงามของเรือสุพรรณหงส์ที่โดดเด่น ถ้าใครมาเยือนวัดชลอก็สามารถทำบุญบริจาคค่าก่อสร้างให้อุโบสถเสร็จสมบูรณ์โดยเร็ว
ศาลเจ้าแม่บัวลอย
และอีกหนึ่งเรื่องเล่าขานของวัดชลอคือ "เจ้าแม่บัวลอย" ที่เล่ากันว่ามีผู้หญิงท้องแก่ชื่อแม่บัวลอยพายเรือขายขนมในคลองบางกอกน้อย แต่เกิดอุบัติเหตุเรือคว่ำเสียชีวิต ร่ำลือกันว่าวิญญาณของแม่บัวลอยเฮี้ยนมากจนไม่มีใครกล้าพายเรือกลางค่ำกลางคืน จนต่อมาอดีตเจ้าอาวาสวัดชลอได้นำโครงกระดูกของแม่บัวลอยมาไว้ที่วัด และภายหลังมีการสร้างศาลให้คนได้บูชา เล่ากันว่าแม่บัวลอยให้หวยแม่นจนเจ้ามือส่งคนมาขโมยโครงกระดูกไปเสีย


เรื่องราวของแม่บัวลอยโด่งดังจนเป็นที่มาของเพลง "บางกอกน้อย" โดยครูเพลงชัยชนะ บุญนะโชติ ยังคงความไพเราะจนปัจจุบัน
คลองบางกอกน้อยด้านหลังวัดชลอ
ทั้งหมดนี้ก็คือเส้นทางตามรอยนิราศสุนทรภู่ลัดเลาะริมคลองบางกอกน้อย ถ้าใครอยากมาตามรอยบ้างก็นับเป็นอีกหนึ่งเส้นทางน่าเที่ยวไม่น้อย
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager


กำลังโหลดความคิดเห็น