Facebook :Travel @ Manager

ภาพของงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ยังคงงดงามแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของพสกนิกรชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นภาพของขั้นตอนตามโบราณราชประเพณีต่างๆ ที่หาชมได้ยาก ภาพการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคอันงามสง่า ภาพการเสด็จออก ณ สีหบัญชรพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ที่หลายๆ คนยังจดจำประทับไว้ในดวงใจ
และเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ (28 กรกฎาคม) เราจึงขอรำลึกถึงความประทับใจจากงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอีกครั้ง โดยการพาไปตามรอยเที่ยววัด-ไหว้พระที่วัดสำคัญในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและในเส้นทางเสด็จฯ เลียบพระนครกัน

เริ่มต้นกันที่ "วัดพระศรีรัตนศาสดาราม" หรือ "วัดพระแก้ว" ซึ่งเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของไทย สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2325 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงย้ายเมืองหลวงจากฝั่งธนบุรีมายังฝั่งพระนคร พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังขึ้น รวมถึงสร้างวัดภายในวังหลวงเพื่อเป็นที่สำหรับประกอบพระราชกุศล และเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต และเนื่องจากวัดพระแก้วเป็นวัดที่อยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง จึงมีเฉพาะเขตพุทธาวาส ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ซึ่งเป็นไปตามแบบแผนการสร้างพระบรมมหาราชวังมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา

วัดพระศรีรัตนศาสดารามใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีและรัฐพิธีทางพระพุทธศาสนา โดยเมื่อครั้งมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ ๑๐ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามได้ใช้เป็นสถานที่จารึกพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกรประจำรัชกาล อีกทั้งในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนราบใหญ่ไปทรงนมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรเพื่อประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกอีกด้วย

ถัดมาเป็น "วัดบวรนิเวศวิหาร " ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร เดิมชื่อวัดใหม่ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างขึ้นใกล้กับวัดรังษีสุทธาวาส ต่อมาใน พ.ศ. 2379 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้พระราชทานนามว่า วัดบวรนิเวศวิหาร และได้อาราธนาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งในขณะนั้นเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ ทรงผนวชที่วัดสมอราย ให้เสด็จมาครองวัดบวรนิเวศวิหาร และต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้รวมวัดบวรนิเวศวิหารและวัดรังษีสุทธาวาสเข้าเป็นวัดเดียว และเรียกรวมว่าวัดบวรนิเวศวิหารสืบมา

ภายในพระอุโบสถของวัดบวรนิเวศวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประธาน 2 องค์ด้วยกัน คือพระสุวรรณเขต หรือหลวงพ่อโต หรือหลวงพ่อเพชร เป็นพระประธานองค์ใหญ่ตั้งอยู่ด้านในสุด ส่วนองค์ด้านหน้าคือพระพุทธชินสีห์ โดยบริเวณฐานพุทธบัลลังก์พระพุทธชินสีห์เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๙
เมื่อครั้งพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ ๑๐ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ เลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อทรงนมัสการพระประธานในพระอุโบสถและถวายราชสักการะพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙

จากนั้นไปต่อที่ "วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม" พระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2412 เพื่อเป็นวัดประจำรัชกาลของพระองค์ และพระราชทานนามว่าวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

ภายในวัดมีพระมหาเจดีย์เป็นศูนย์กลาง ส่วนพระอุโบสถและพระวิหารตั้งอยู่รอบข้าง เชื่อมถึงกันด้วยพระระเบียงคดรอบพระมหาเจดีย์ พระอุโบสถวัดราชบพิธฯ ยังมีความสวยงามโดดเด่นที่ภายนอกเป็นศิลปะแบบไทย แต่ภายในงดงามไปด้วยศิลปะยุโรปแบบโกธิค และเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธอังคีรส” พระพุทธรูปประธาน โดยภายใต้พุทธบัลลังก์ประดิษฐานพระบรมราชสรีรังคารของรัชกาลที่ ๗ รัชกาลที่ ๙ และพระราชสรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗

วัดราชบพิธฯ เป็นอีกหนึ่งวัดในเส้นทางเสด็จฯ เลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค ในการพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ ๑๐ โดยพระองค์ได้ทรงนมัสการพระประธานในพระอุโบสถ และถวายราชสักการะพระบรมราชสรีรังคารพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ พระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ และพระราชสรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗

และปิดท้ายที่ “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร” หรือ “วัดโพธิ์” พระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรมหาวิหาร เดิมวัดนี้มีชื่อว่าวัดโพธารามหรือวัดโพธิ์ ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์ขึ้นใหม่ และพระราชทานนามว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จารึกความรู้สรรพวิทยาการ ทั้งประวัติศาสตร์ วรรณกรรม ตำราการแพทย์แผนไทย ตำรานวด และตำรายา ไว้ตามเสาศาลารายโดยรอบ ที่นี่จึงเปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทยเพราะเป็นแหล่งรวบรวมวิชาความรู้หลายแขนง จวบจนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระอาราม และได้เปลี่ยนสร้อยนามพระอารามเป็นวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามดังปัจจุบัน

ภายในวัดมีสิ่งสำคัญมากมาย อาทิ พระอุโบสถอันเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธเทวปฏิมากร” เป็นพระประธาน โดยใต้พระบัลลังก์บรรจุพระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ ๑ อีกทั้งยังมีพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ พระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล และประติมากรรมรูปฤาษีดัดตน
ไม่เพียงทั้ง 4 วัดที่กล่าวมาข้างต้นนี้เท่านั้น แต่ตามถนนหนทางต่างๆ ที่อยู่ในเส้นทางเสด็จฯ เลียบพระนครก็ได้รับการดูแลให้เป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นบริเวณถนนอัษฎางค์ริมคลองคูเมืองเดิมที่มีการปรับภูมิทัศน์ให้สะอาดสวยงามมากขึ้น รวมไปถึงถนนตะนาว ถนนราชดำเนินใน ถนนราชดำเนินกลาง เป็นต้น ผู้ที่สนใจสามารถท่องเที่ยวไหว้พระตามรอยเสด็จฯ เลียบพระนคร และเดินเล่นชมบรรยากาศอันสวยงามกันได้อีกด้วย
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
ภาพของงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ยังคงงดงามแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของพสกนิกรชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นภาพของขั้นตอนตามโบราณราชประเพณีต่างๆ ที่หาชมได้ยาก ภาพการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคอันงามสง่า ภาพการเสด็จออก ณ สีหบัญชรพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ที่หลายๆ คนยังจดจำประทับไว้ในดวงใจ
และเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ (28 กรกฎาคม) เราจึงขอรำลึกถึงความประทับใจจากงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอีกครั้ง โดยการพาไปตามรอยเที่ยววัด-ไหว้พระที่วัดสำคัญในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและในเส้นทางเสด็จฯ เลียบพระนครกัน
เริ่มต้นกันที่ "วัดพระศรีรัตนศาสดาราม" หรือ "วัดพระแก้ว" ซึ่งเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของไทย สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2325 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงย้ายเมืองหลวงจากฝั่งธนบุรีมายังฝั่งพระนคร พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังขึ้น รวมถึงสร้างวัดภายในวังหลวงเพื่อเป็นที่สำหรับประกอบพระราชกุศล และเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต และเนื่องจากวัดพระแก้วเป็นวัดที่อยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง จึงมีเฉพาะเขตพุทธาวาส ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ซึ่งเป็นไปตามแบบแผนการสร้างพระบรมมหาราชวังมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา
วัดพระศรีรัตนศาสดารามใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีและรัฐพิธีทางพระพุทธศาสนา โดยเมื่อครั้งมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ ๑๐ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามได้ใช้เป็นสถานที่จารึกพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกรประจำรัชกาล อีกทั้งในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนราบใหญ่ไปทรงนมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรเพื่อประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกอีกด้วย
ถัดมาเป็น "วัดบวรนิเวศวิหาร " ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร เดิมชื่อวัดใหม่ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างขึ้นใกล้กับวัดรังษีสุทธาวาส ต่อมาใน พ.ศ. 2379 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้พระราชทานนามว่า วัดบวรนิเวศวิหาร และได้อาราธนาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งในขณะนั้นเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ ทรงผนวชที่วัดสมอราย ให้เสด็จมาครองวัดบวรนิเวศวิหาร และต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้รวมวัดบวรนิเวศวิหารและวัดรังษีสุทธาวาสเข้าเป็นวัดเดียว และเรียกรวมว่าวัดบวรนิเวศวิหารสืบมา
ภายในพระอุโบสถของวัดบวรนิเวศวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประธาน 2 องค์ด้วยกัน คือพระสุวรรณเขต หรือหลวงพ่อโต หรือหลวงพ่อเพชร เป็นพระประธานองค์ใหญ่ตั้งอยู่ด้านในสุด ส่วนองค์ด้านหน้าคือพระพุทธชินสีห์ โดยบริเวณฐานพุทธบัลลังก์พระพุทธชินสีห์เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๙
เมื่อครั้งพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ ๑๐ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ เลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อทรงนมัสการพระประธานในพระอุโบสถและถวายราชสักการะพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙
จากนั้นไปต่อที่ "วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม" พระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2412 เพื่อเป็นวัดประจำรัชกาลของพระองค์ และพระราชทานนามว่าวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
ภายในวัดมีพระมหาเจดีย์เป็นศูนย์กลาง ส่วนพระอุโบสถและพระวิหารตั้งอยู่รอบข้าง เชื่อมถึงกันด้วยพระระเบียงคดรอบพระมหาเจดีย์ พระอุโบสถวัดราชบพิธฯ ยังมีความสวยงามโดดเด่นที่ภายนอกเป็นศิลปะแบบไทย แต่ภายในงดงามไปด้วยศิลปะยุโรปแบบโกธิค และเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธอังคีรส” พระพุทธรูปประธาน โดยภายใต้พุทธบัลลังก์ประดิษฐานพระบรมราชสรีรังคารของรัชกาลที่ ๗ รัชกาลที่ ๙ และพระราชสรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗
วัดราชบพิธฯ เป็นอีกหนึ่งวัดในเส้นทางเสด็จฯ เลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค ในการพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ ๑๐ โดยพระองค์ได้ทรงนมัสการพระประธานในพระอุโบสถ และถวายราชสักการะพระบรมราชสรีรังคารพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ พระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ และพระราชสรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗
และปิดท้ายที่ “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร” หรือ “วัดโพธิ์” พระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรมหาวิหาร เดิมวัดนี้มีชื่อว่าวัดโพธารามหรือวัดโพธิ์ ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์ขึ้นใหม่ และพระราชทานนามว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จารึกความรู้สรรพวิทยาการ ทั้งประวัติศาสตร์ วรรณกรรม ตำราการแพทย์แผนไทย ตำรานวด และตำรายา ไว้ตามเสาศาลารายโดยรอบ ที่นี่จึงเปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทยเพราะเป็นแหล่งรวบรวมวิชาความรู้หลายแขนง จวบจนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระอาราม และได้เปลี่ยนสร้อยนามพระอารามเป็นวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามดังปัจจุบัน
ภายในวัดมีสิ่งสำคัญมากมาย อาทิ พระอุโบสถอันเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธเทวปฏิมากร” เป็นพระประธาน โดยใต้พระบัลลังก์บรรจุพระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ ๑ อีกทั้งยังมีพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ พระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล และประติมากรรมรูปฤาษีดัดตน
วัดโพธิ์เป็นวัดในเส้นทางเสด็จฯ เลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค ในการพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ ๑๐ โดยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปทรงนมัสการพระประธานในพระอุโบสถ และถวายราชสักการะพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
ไม่เพียงทั้ง 4 วัดที่กล่าวมาข้างต้นนี้เท่านั้น แต่ตามถนนหนทางต่างๆ ที่อยู่ในเส้นทางเสด็จฯ เลียบพระนครก็ได้รับการดูแลให้เป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นบริเวณถนนอัษฎางค์ริมคลองคูเมืองเดิมที่มีการปรับภูมิทัศน์ให้สะอาดสวยงามมากขึ้น รวมไปถึงถนนตะนาว ถนนราชดำเนินใน ถนนราชดำเนินกลาง เป็นต้น ผู้ที่สนใจสามารถท่องเที่ยวไหว้พระตามรอยเสด็จฯ เลียบพระนคร และเดินเล่นชมบรรยากาศอันสวยงามกันได้อีกด้วย
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager