โดย : ปิ่น บุตรี (pinn109@hotmail.com)
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
“ดินแดนต้นธารอารยธรรมญี่ปุ่น ที่ผสมผสานมนต์เสน่ห์แห่งความทันสมัยของสังคมเมืองกับวิถีแห่งชนบทให้เข้ากันได้อย่างลงตัว”
คุณลุงและมิตรสหายท่านหนึ่งไม่ได้กล่าวไว้ แต่เป็นคำจำกัดความที่ผมให้ไว้กับ “คิวชู” หลังมีโอกาสได้ไปเปิดโลกอันน่าทึ่งของดินแดนแห่งนี้มา ซึ่งนอกจากจะได้สัมผัสกับสถานที่และเรื่องการไม่ธรรมดาแล้ว การได้ไปกับทัวร์ที่ไม่ธรรมดามันก็ยิ่งช่วยให้ทริปนี้ดูน่าตื่นตาตื่นใจและสนุกเพลิดเพลินมากยิ่งขึ้นไปอีก
รู้จักคิวชู
“คิวชู” (Kyushu) เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของดินแดนอาทิตย์อุทัย (ตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะฮอนชู)
คิวชูเป็นทั้งชื่อเกาะและชื่อภูมิภาค เช่นเดียวกับเกาะ/ภูมิภาคฮอกไกโด และ เกาะ/ภูมิภาคโอกินาวา (ญี่ปุ่นมี 4 (+1) เกาะหลัก (กรณีบวกเกาะโอกินาวาเข้าไปด้วย แบ่งเป็น 10 ภูมิภาคด้วยกัน)
เกาะคิวชูถือเป็นต้นธารอารยธรรมของญี่ปุ่น เพราะมีหลักฐานทั้งที่เป็นตำนาน มุขปาฐะ และข้อเท็จจริงคือการค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า การตั้งถิ่นฐานแห่งแรก ๆ ของญี่ปุ่นนั้นอยู่ที่เมือง“โยชิโนการิ” (Yoshinogari) จังหวัดซากะ แห่งเกาะคิวชู โดยมี “อุทยานประวัติศาสตร์โยชิโนการิ” (Yoshinogari Historical Park) เป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชนชาติญี่ปุ่นในยุคโบราณ (ยุคยาโออิ-Yaoi) ในช่วงประมาณ 300 ปี ก่อนคริสตกาลจนถึงประมาณ ค.ศ. 300 ให้ศึกษากันด้วย
ปัจจุบันคิวชู ประกอบด้วย 7 จังหวัด โดยมีจังหวัด “ฟุกุโอกะ” (Fukuoka) เป็นเมืองหลวงหรือเมืองเอกของคิวชู ซึ่งถือเป็นเมืองหลักในการเดินทางของเราในครั้งนี้
อุโมงค์ฟูจิ
หลังเดินทางลัดฟ้าจากเมืองไทยมาถึงยังเมืองฟุกุโอกะ จุดหมายแรกเรามุ่งหน้าสู่เมือง “คิตะคิวชู” (Kitakyushu) จ.ฟุกุโอกะ เพื่อสัมผัสกับความงามของ “อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย” ที่สวน “คาวาจิ ฟูจิ” (Kawachi Fuji Garden)
“ดอกวิสทีเรีย” (Wisteria) หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า “ดอกฟูจิ” เป็นดอกไม้เล็ก ๆ มีลักษณะเป็นช่อพวงระย้าคล้ายพวงองุ่นมีหลากหลายสีสัน ถือเป็นหนึ่งในดอกไม้ที่ชาวญี่ปุ่นนิยมชื่นชอบมาตั้งแต่เมื่อครั้งโบราณ
ดอกฟูจิ จะบานสะพรั่งสวยงามในช่วงประมาณปลายเดือนเมษายนไปจนถึงราวกลางเดือนพฤษภาคม (บานต่อจากช่วงฤดูดอกซากุระบาน) ซึ่งก็ตรงกับช่วงเวลาที่เราไปเที่ยวพอดี
สำหรับอุโมงค์ดอกฟูจิแห่งสวนคาวาจิ ฟูจินั้น ถือเป็นหนึ่งในจุดชมดอกไม้เลื่องชื่อของญี่ปุ่น ที่นี่เคยติด 1 ใน 10 สถานที่วิวสวยที่สุดในโลก และเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่อง “กลกิโมโน” (ปี 2557) ที่แฟนละครรู้จักกันดี
อุโมงค์ดอกฟูจิที่นี่มีเนื้อที่ประมาณ 10,000 ตารางเมตร มีดอกวิสทีเรียหลากสีสันจำนวน 22 สายพันธุ์ ทั้งสีม่วงอ่อน ม่วงเข้ม ชมพู ขาว เขียวอ่อน โดยมีการจัดทำเส้นทางเดินชมอุโมงค์ดอกฟูจิไว้เป็นอย่างดี
ช่วงที่ดอกวิสทีเรียออกดอกเบ่งบานเต็มที่มันจะทิ้งกิ่งก้านพร้อมช่อดอกเป็นพวงห้อยระย้าลงมาดูงดงามโรแมนติกไม่น้อย
สำหรับจุดชมดอกฟูจิที่เด่น ๆ ของที่นี่ นั้นก็มี โดมดอกวิสทีเรียที่สร้างสรรค์จากวิสทีเรียต้นเดียว, ซุ้มวิสทีเรียทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่เบื้องบนเหนือศีรษะ มีลักษณะเป็นเพดานดอกวิสทีเรียสีพาสเทลห้อยระย้าปกคลุมไปทั่ว ท่ามกล่างการจัดแต่งสวนเท่ ๆ ในสไตล์ญี่ปุ่น ที่มีทั้งเสาไม้เรียบกลมดูคลาสสิก ม้านั่งเก๋ ๆ และต้นไม้ฟอร์มแปลก ๆ ดูลงตัวมาก
และไฮไลท์คือ “อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย” ที่ทำเป็นทางเดินอุโมงค์ระแนงโค้ง ด้านบนแน่นขนัดไปด้วยดอกวิสทีเรียหลากสีสันทิ้งพวงห้อยระย้าดูสวยงามน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
สปาทรายร้อน
หลังตื่นตาตื่นใจไปกับอุโมงค์ดอกฟูจิอันสวยงามโรแมนติกชวนฝันแล้ว ในภาคบ่ายหลังเมนูเจแปนเซ็ตในร้านอาหารบรรยากาศดีรอบข้างมีวิวสวยงาม กิจกรรมต่อไปเราไปผ่อนคลายสัมผัสความรู้สึกใหม่ ๆ กับการ “อบทรายร้อน” หรือ “สปาทรายร้อน” ที่ “Beppu Beach Sand Bath" ในเมือง “เบปปุ” (Beppu) จังหวัดโออิตะ (Oita)
Beppu Beach Sand Bath เป็นอาคารหลังเล็ก ๆ ดูคล้ายบ้านทั่ว ๆ ไป แต่มีบรรยากาศดีมากตั้งอยู่ติดริมหาดเมืองเบปปุ มีบรรยากาศร่มรื่นไปด้วยแมกไม้ และมีการจัดตกแต่งพื้นที่อย่างเรียบง่ายแต่ทรงเสน่ห์ เปิดมุมมองให้พวกเราได้นั่งแช่น้ำแร่ร้อน ชมวิวท้องทะเลกันอย่างเพลิดเพลิน ในระหว่างที่รอคิวอบทรายร้อน (หรือผู้ที่ไม่เลือกใช้บริการอบทรายร้อน)
สำหรับทรายร้อนที่นี่จะเป็นทรายดำตามธรรมชาติอุดมไปด้วยแร่ธาตุ ช่วยให้ผ่อนคลาย เลือดไหลหมุนเวียน ผิวพรรณดี โดยผู้อบจะต้องไปเปลี่ยนใส่ชุดยูกาตะที่ทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้
จากนั้นเจ้าหน้าที่จะพาเราไปนอนในบ่อทราย (ดำ) แล้วใช้พลั่วตักทรายกลบเราจนมิดตัว โผล่มาแต่หัวให้หายใจ ๆ ในอารมณ์กึ่ง ๆ โดนฝังทั้งเป็นแต่ทุกคนเต็มใจ เพราะมันมีผลดีต่อสุขภาพร่างกายของเรา
เมื่อเรานอนหมกทรายไปสักพักไอร้อนของทรายจะขับเหงื่อของเราออกมา แต่น่าแปลกที่ผมไม่ค่อยรู้สึกร้อนผ่าวแบบเวลาซาวน่า แต่กลับรู้สึกอุ่นสบายและฟินดีเหลือเกินชนิดที่ทำให้ผมเกือบจะเคลิ้มหลับ ถ้าทางเจ้าหน้าที่ไม่มาบอกว่าหมดเวลาแล้ว เนื่องจากเราสามารถอบทรายได้เพียงประมาณ 15 นาทีเท่านั้น เพราะถ้ามากกว่านั้นจะกลายเป็นผลเสียต่อร่างกายไป
เสร็จจากอบทรายร้อน คณะทัวร์ของเราเดินทางกันต่อเข้าสู่ตัวเมืองเบปปุอีกหนึ่งเมืองอันน่าทึ่งของญี่ปุ่น
บ่อนรก เบปปุ
เมืองเบปปุ จังหวัดโออิตะ ตั้งอยู่ทางฝั่งชายทะเลตะวันออกของเกาะคิวชู เป็นดินแดนแห่งบ่อน้ำพุร้อนและออนเซ็นเลื่องชื่อของญี่ปุ่น ซึ่งมักจะติดอันดับต้น ๆ จากผลโหวตแหล่งออนเซ็นยอดนิยมในญี่ปุ่นอยู่เสมอ
เบปปุ เป็นเมืองที่มีแหล่งน้ำพุร้อนอยู่มากมายกระจายทั่วเมืองราว 2,300 แห่ง คิดเป็นประมาณ 10% ของแหล่งออนเซ็นทั่วญี่ปุ่น ดังนั้นเราจึงเห็นไอน้ำเป็นควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินอยู่ทั่วไป รวมไปถึงตามละแวกบ้านเรือนของชาวบ้านด้วย
ออนเซ็นเมืองเบปปุขึ้นชื่อในเรื่องของบ่อน้ำร้อนที่มีคุณภาพดี ลงแช่หรืออาบแล้วทำให้สุขภาพผิวพรรณดี
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์ของเมืองเบปปุนั้นก็ได้แก่กลุ่ม “บ่อนรก” (Beppu Jigoku) ที่เป็นชื่อเรียกรวมของบ่อน้ำร้อน 8 แห่งที่อันมีเอกลักษณ์กระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของเมืองนี้ นำโดย “บ่อนรกอุมิ จิโกกุ” (Umi Jigoku) ที่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของเราในทริปนี้
แหล่งท่องเที่ยวบ่อนรกอุมิ จิโกกุ มีการจัดภูมิทัศน์จัดสรรพื้นที่ไว้เป็นอย่างดี โดยในส่วนของบ่อน้ำร้อนนั้นที่นี่มี 2 บ่อ 2 สี ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน
บ่อแรกคือ “บ่อเลือด” เป็นบ่อเล็ก ๆ น้ำในบ่อมีสีแดงสนิมเพราะเป็นบ่อที่มีน้ำพุร้อนผุดขึ้นมาพร้อมกับแร่สนิมสีแดงเข้ม คนญี่ปุ่นจึงเรียกขานกันว่า “บ่อเลือด”
จากบ่อเลือดเมื่อย้อนกลับมาเดินไปทางเดินหลักจนสุดจะพบกับบ่อไฮไลท์คือ “บ่อนรก” ซึ่งเป็นบ่อสีฟ้าสวยงาม (แต่ชื่อน่ากลัวชะมัด)
น้ำสีฟ้าสวยเนียนของบ่อนรกนั้นเป็นแร่โคบอลต์ที่ผสมกับน้ำพุร้อนที่ผุดขึ้นมา ซึ่งมันนอกจะจะมีควันสีขาวพวยพุ่งลอยสูงแล้วยังมีเสียงคำรามกึกก้อง ดูสวยงามผสมน่ากลัวสมดังชื่อบ่อนรก ที่ว่ากันว่าบ่อขนาดย่อมแห่งนี้มีอุณหภูมิสูงถึง 98 องศาเซลเซียส และลึกถึง 120 เมตรเลยทีเดียว
นอกจากบ่อเลือด และบ่อนรกแล้ว ที่นี่ยังมีสระน้ำท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นสวยงาม มีบ่อให้แช่เท้า ศาลเจ้า เสาโทริอิ โรงเรือนปลูกบัว และมุมเก๋ ๆ สไตล์ญี่ปุ่นให้ถ่ายรูปกันหลายจุดด้วยกัน
บ่อนรกอุมิ จิโกกุ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวปิดท้ายของวันแรก ซึ่งหลังจากนี้คณะทัวร์ของเราเดินทางเข้าที่พัก โรงแรม “เบปปุ คาเม็นนอย โฮเต็ล” (Beppu Kamenoi Hotel) หนึ่งในที่พักเก่าแก่ขึ้นชื่อของเมืองเบปปุ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกเรียวกังออนเซ็นยุคแรก ๆ ของเมืองนี้ก่อนจะพัฒนาเป็นแรงแรมใหญ่โต ที่นอกจากอาหารบุฟเฟ่ต์มื้อเย็นจะยอดเยี่ยมแล้ว ผู้มักที่โรงแรมแห่งนี้ไม่ควรพลาดการลงแช่ออนเซ็นที่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ เบปปุ คาเม็นนอย โฮเต็ล ด้วยประการทั้งปวง
แม้ว่าการแช่ออนเซ็นในญี่ปุ่นจะต้องแก้ผ้าหมด ซึ่งแรก ๆ ผมก็เหนียมอายอยู่ แต่เมื่อได้ลองแช่ครั้งที่ 1 ก็มาครั้ง 2,3 และครั้งอื่น ๆ ตามมา แน่นอนว่าการได้มาแช่ออนเซ็นชั้นดีที่เมืองเบปปุนั้นถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ชั้นดีที่ผมย่อมไม่พลาดด้วยประการทั้งปวง ถือเป็นการปิดกิจกรรมในวันแรกของทริปแบบผ่อนคลายสบายตัว
ยิ่งถ้าใครเป็นสายดื่มตบด้วยเบียร์ญี่ปุ่นอีกสักกระป๋อง สองกระป๋อง รับรองว่าหลับสบายเหมือนผมแน่นอน...(อ่านเปิดโลกคิวชูตอนต่อไปเร็ว ๆ นี้)
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
“ดินแดนต้นธารอารยธรรมญี่ปุ่น ที่ผสมผสานมนต์เสน่ห์แห่งความทันสมัยของสังคมเมืองกับวิถีแห่งชนบทให้เข้ากันได้อย่างลงตัว”
คุณลุงและมิตรสหายท่านหนึ่งไม่ได้กล่าวไว้ แต่เป็นคำจำกัดความที่ผมให้ไว้กับ “คิวชู” หลังมีโอกาสได้ไปเปิดโลกอันน่าทึ่งของดินแดนแห่งนี้มา ซึ่งนอกจากจะได้สัมผัสกับสถานที่และเรื่องการไม่ธรรมดาแล้ว การได้ไปกับทัวร์ที่ไม่ธรรมดามันก็ยิ่งช่วยให้ทริปนี้ดูน่าตื่นตาตื่นใจและสนุกเพลิดเพลินมากยิ่งขึ้นไปอีก
รู้จักคิวชู
“คิวชู” (Kyushu) เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของดินแดนอาทิตย์อุทัย (ตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะฮอนชู)
คิวชูเป็นทั้งชื่อเกาะและชื่อภูมิภาค เช่นเดียวกับเกาะ/ภูมิภาคฮอกไกโด และ เกาะ/ภูมิภาคโอกินาวา (ญี่ปุ่นมี 4 (+1) เกาะหลัก (กรณีบวกเกาะโอกินาวาเข้าไปด้วย แบ่งเป็น 10 ภูมิภาคด้วยกัน)
เกาะคิวชูถือเป็นต้นธารอารยธรรมของญี่ปุ่น เพราะมีหลักฐานทั้งที่เป็นตำนาน มุขปาฐะ และข้อเท็จจริงคือการค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า การตั้งถิ่นฐานแห่งแรก ๆ ของญี่ปุ่นนั้นอยู่ที่เมือง“โยชิโนการิ” (Yoshinogari) จังหวัดซากะ แห่งเกาะคิวชู โดยมี “อุทยานประวัติศาสตร์โยชิโนการิ” (Yoshinogari Historical Park) เป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชนชาติญี่ปุ่นในยุคโบราณ (ยุคยาโออิ-Yaoi) ในช่วงประมาณ 300 ปี ก่อนคริสตกาลจนถึงประมาณ ค.ศ. 300 ให้ศึกษากันด้วย
ปัจจุบันคิวชู ประกอบด้วย 7 จังหวัด โดยมีจังหวัด “ฟุกุโอกะ” (Fukuoka) เป็นเมืองหลวงหรือเมืองเอกของคิวชู ซึ่งถือเป็นเมืองหลักในการเดินทางของเราในครั้งนี้
อุโมงค์ฟูจิ
หลังเดินทางลัดฟ้าจากเมืองไทยมาถึงยังเมืองฟุกุโอกะ จุดหมายแรกเรามุ่งหน้าสู่เมือง “คิตะคิวชู” (Kitakyushu) จ.ฟุกุโอกะ เพื่อสัมผัสกับความงามของ “อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย” ที่สวน “คาวาจิ ฟูจิ” (Kawachi Fuji Garden)
“ดอกวิสทีเรีย” (Wisteria) หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า “ดอกฟูจิ” เป็นดอกไม้เล็ก ๆ มีลักษณะเป็นช่อพวงระย้าคล้ายพวงองุ่นมีหลากหลายสีสัน ถือเป็นหนึ่งในดอกไม้ที่ชาวญี่ปุ่นนิยมชื่นชอบมาตั้งแต่เมื่อครั้งโบราณ
ดอกฟูจิ จะบานสะพรั่งสวยงามในช่วงประมาณปลายเดือนเมษายนไปจนถึงราวกลางเดือนพฤษภาคม (บานต่อจากช่วงฤดูดอกซากุระบาน) ซึ่งก็ตรงกับช่วงเวลาที่เราไปเที่ยวพอดี
สำหรับอุโมงค์ดอกฟูจิแห่งสวนคาวาจิ ฟูจินั้น ถือเป็นหนึ่งในจุดชมดอกไม้เลื่องชื่อของญี่ปุ่น ที่นี่เคยติด 1 ใน 10 สถานที่วิวสวยที่สุดในโลก และเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่อง “กลกิโมโน” (ปี 2557) ที่แฟนละครรู้จักกันดี
อุโมงค์ดอกฟูจิที่นี่มีเนื้อที่ประมาณ 10,000 ตารางเมตร มีดอกวิสทีเรียหลากสีสันจำนวน 22 สายพันธุ์ ทั้งสีม่วงอ่อน ม่วงเข้ม ชมพู ขาว เขียวอ่อน โดยมีการจัดทำเส้นทางเดินชมอุโมงค์ดอกฟูจิไว้เป็นอย่างดี
ช่วงที่ดอกวิสทีเรียออกดอกเบ่งบานเต็มที่มันจะทิ้งกิ่งก้านพร้อมช่อดอกเป็นพวงห้อยระย้าลงมาดูงดงามโรแมนติกไม่น้อย
สำหรับจุดชมดอกฟูจิที่เด่น ๆ ของที่นี่ นั้นก็มี โดมดอกวิสทีเรียที่สร้างสรรค์จากวิสทีเรียต้นเดียว, ซุ้มวิสทีเรียทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่เบื้องบนเหนือศีรษะ มีลักษณะเป็นเพดานดอกวิสทีเรียสีพาสเทลห้อยระย้าปกคลุมไปทั่ว ท่ามกล่างการจัดแต่งสวนเท่ ๆ ในสไตล์ญี่ปุ่น ที่มีทั้งเสาไม้เรียบกลมดูคลาสสิก ม้านั่งเก๋ ๆ และต้นไม้ฟอร์มแปลก ๆ ดูลงตัวมาก
และไฮไลท์คือ “อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย” ที่ทำเป็นทางเดินอุโมงค์ระแนงโค้ง ด้านบนแน่นขนัดไปด้วยดอกวิสทีเรียหลากสีสันทิ้งพวงห้อยระย้าดูสวยงามน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
สปาทรายร้อน
หลังตื่นตาตื่นใจไปกับอุโมงค์ดอกฟูจิอันสวยงามโรแมนติกชวนฝันแล้ว ในภาคบ่ายหลังเมนูเจแปนเซ็ตในร้านอาหารบรรยากาศดีรอบข้างมีวิวสวยงาม กิจกรรมต่อไปเราไปผ่อนคลายสัมผัสความรู้สึกใหม่ ๆ กับการ “อบทรายร้อน” หรือ “สปาทรายร้อน” ที่ “Beppu Beach Sand Bath" ในเมือง “เบปปุ” (Beppu) จังหวัดโออิตะ (Oita)
Beppu Beach Sand Bath เป็นอาคารหลังเล็ก ๆ ดูคล้ายบ้านทั่ว ๆ ไป แต่มีบรรยากาศดีมากตั้งอยู่ติดริมหาดเมืองเบปปุ มีบรรยากาศร่มรื่นไปด้วยแมกไม้ และมีการจัดตกแต่งพื้นที่อย่างเรียบง่ายแต่ทรงเสน่ห์ เปิดมุมมองให้พวกเราได้นั่งแช่น้ำแร่ร้อน ชมวิวท้องทะเลกันอย่างเพลิดเพลิน ในระหว่างที่รอคิวอบทรายร้อน (หรือผู้ที่ไม่เลือกใช้บริการอบทรายร้อน)
สำหรับทรายร้อนที่นี่จะเป็นทรายดำตามธรรมชาติอุดมไปด้วยแร่ธาตุ ช่วยให้ผ่อนคลาย เลือดไหลหมุนเวียน ผิวพรรณดี โดยผู้อบจะต้องไปเปลี่ยนใส่ชุดยูกาตะที่ทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้
จากนั้นเจ้าหน้าที่จะพาเราไปนอนในบ่อทราย (ดำ) แล้วใช้พลั่วตักทรายกลบเราจนมิดตัว โผล่มาแต่หัวให้หายใจ ๆ ในอารมณ์กึ่ง ๆ โดนฝังทั้งเป็นแต่ทุกคนเต็มใจ เพราะมันมีผลดีต่อสุขภาพร่างกายของเรา
เมื่อเรานอนหมกทรายไปสักพักไอร้อนของทรายจะขับเหงื่อของเราออกมา แต่น่าแปลกที่ผมไม่ค่อยรู้สึกร้อนผ่าวแบบเวลาซาวน่า แต่กลับรู้สึกอุ่นสบายและฟินดีเหลือเกินชนิดที่ทำให้ผมเกือบจะเคลิ้มหลับ ถ้าทางเจ้าหน้าที่ไม่มาบอกว่าหมดเวลาแล้ว เนื่องจากเราสามารถอบทรายได้เพียงประมาณ 15 นาทีเท่านั้น เพราะถ้ามากกว่านั้นจะกลายเป็นผลเสียต่อร่างกายไป
เสร็จจากอบทรายร้อน คณะทัวร์ของเราเดินทางกันต่อเข้าสู่ตัวเมืองเบปปุอีกหนึ่งเมืองอันน่าทึ่งของญี่ปุ่น
บ่อนรก เบปปุ
เมืองเบปปุ จังหวัดโออิตะ ตั้งอยู่ทางฝั่งชายทะเลตะวันออกของเกาะคิวชู เป็นดินแดนแห่งบ่อน้ำพุร้อนและออนเซ็นเลื่องชื่อของญี่ปุ่น ซึ่งมักจะติดอันดับต้น ๆ จากผลโหวตแหล่งออนเซ็นยอดนิยมในญี่ปุ่นอยู่เสมอ
เบปปุ เป็นเมืองที่มีแหล่งน้ำพุร้อนอยู่มากมายกระจายทั่วเมืองราว 2,300 แห่ง คิดเป็นประมาณ 10% ของแหล่งออนเซ็นทั่วญี่ปุ่น ดังนั้นเราจึงเห็นไอน้ำเป็นควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินอยู่ทั่วไป รวมไปถึงตามละแวกบ้านเรือนของชาวบ้านด้วย
ออนเซ็นเมืองเบปปุขึ้นชื่อในเรื่องของบ่อน้ำร้อนที่มีคุณภาพดี ลงแช่หรืออาบแล้วทำให้สุขภาพผิวพรรณดี
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์ของเมืองเบปปุนั้นก็ได้แก่กลุ่ม “บ่อนรก” (Beppu Jigoku) ที่เป็นชื่อเรียกรวมของบ่อน้ำร้อน 8 แห่งที่อันมีเอกลักษณ์กระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของเมืองนี้ นำโดย “บ่อนรกอุมิ จิโกกุ” (Umi Jigoku) ที่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของเราในทริปนี้
แหล่งท่องเที่ยวบ่อนรกอุมิ จิโกกุ มีการจัดภูมิทัศน์จัดสรรพื้นที่ไว้เป็นอย่างดี โดยในส่วนของบ่อน้ำร้อนนั้นที่นี่มี 2 บ่อ 2 สี ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน
บ่อแรกคือ “บ่อเลือด” เป็นบ่อเล็ก ๆ น้ำในบ่อมีสีแดงสนิมเพราะเป็นบ่อที่มีน้ำพุร้อนผุดขึ้นมาพร้อมกับแร่สนิมสีแดงเข้ม คนญี่ปุ่นจึงเรียกขานกันว่า “บ่อเลือด”
จากบ่อเลือดเมื่อย้อนกลับมาเดินไปทางเดินหลักจนสุดจะพบกับบ่อไฮไลท์คือ “บ่อนรก” ซึ่งเป็นบ่อสีฟ้าสวยงาม (แต่ชื่อน่ากลัวชะมัด)
น้ำสีฟ้าสวยเนียนของบ่อนรกนั้นเป็นแร่โคบอลต์ที่ผสมกับน้ำพุร้อนที่ผุดขึ้นมา ซึ่งมันนอกจะจะมีควันสีขาวพวยพุ่งลอยสูงแล้วยังมีเสียงคำรามกึกก้อง ดูสวยงามผสมน่ากลัวสมดังชื่อบ่อนรก ที่ว่ากันว่าบ่อขนาดย่อมแห่งนี้มีอุณหภูมิสูงถึง 98 องศาเซลเซียส และลึกถึง 120 เมตรเลยทีเดียว
นอกจากบ่อเลือด และบ่อนรกแล้ว ที่นี่ยังมีสระน้ำท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นสวยงาม มีบ่อให้แช่เท้า ศาลเจ้า เสาโทริอิ โรงเรือนปลูกบัว และมุมเก๋ ๆ สไตล์ญี่ปุ่นให้ถ่ายรูปกันหลายจุดด้วยกัน
บ่อนรกอุมิ จิโกกุ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวปิดท้ายของวันแรก ซึ่งหลังจากนี้คณะทัวร์ของเราเดินทางเข้าที่พัก โรงแรม “เบปปุ คาเม็นนอย โฮเต็ล” (Beppu Kamenoi Hotel) หนึ่งในที่พักเก่าแก่ขึ้นชื่อของเมืองเบปปุ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกเรียวกังออนเซ็นยุคแรก ๆ ของเมืองนี้ก่อนจะพัฒนาเป็นแรงแรมใหญ่โต ที่นอกจากอาหารบุฟเฟ่ต์มื้อเย็นจะยอดเยี่ยมแล้ว ผู้มักที่โรงแรมแห่งนี้ไม่ควรพลาดการลงแช่ออนเซ็นที่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ เบปปุ คาเม็นนอย โฮเต็ล ด้วยประการทั้งปวง
แม้ว่าการแช่ออนเซ็นในญี่ปุ่นจะต้องแก้ผ้าหมด ซึ่งแรก ๆ ผมก็เหนียมอายอยู่ แต่เมื่อได้ลองแช่ครั้งที่ 1 ก็มาครั้ง 2,3 และครั้งอื่น ๆ ตามมา แน่นอนว่าการได้มาแช่ออนเซ็นชั้นดีที่เมืองเบปปุนั้นถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ชั้นดีที่ผมย่อมไม่พลาดด้วยประการทั้งปวง ถือเป็นการปิดกิจกรรมในวันแรกของทริปแบบผ่อนคลายสบายตัว
ยิ่งถ้าใครเป็นสายดื่มตบด้วยเบียร์ญี่ปุ่นอีกสักกระป๋อง สองกระป๋อง รับรองว่าหลับสบายเหมือนผมแน่นอน...(อ่านเปิดโลกคิวชูตอนต่อไปเร็ว ๆ นี้)
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager