Facebook :Travel @ Manager

เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เป็นช่วงฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่น หิมะบนยอดภูเขาไฟฟูจิที่ปกคลุมมาตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงเริ่มละลายเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ และละลายจนเกือบหมดเมื่อถึงฤดูร้อน จนภูเขาไฟฟูจิที่เคยมีหมวกสีขาวปกคลุมยอดอยู่เสมอกลายเป็นภูเขาโล้นๆ แปลกตากว่าที่เคย
และช่วงเวลานี้เองเป็น “ฤดูกาลปีนภูเขาไฟฟูจิ” ที่คนชื่นชอบธรรมชาติและรักการปีนเขาทั้งในประเทศญี่ปุ่นและจากทั่วโลกจะมุ่งหน้ามาเดินเท้าขึ้นสู่ยอดปากปล่องภูเขาไฟกันเป็นจำนวนมาก
ความเชื่อดั้งเดิมของคนญี่ปุ่นเชื่อว่าภูเขาไฟฟูจิทั้งลูกคือเทพเจ้า ผู้คนจึงนิยมเดินทางไปแสวงบุญที่ภูเขาไฟตั้งแต่โบราณ และในปัจจุบันสำหรับคนญี่ปุ่นที่ถือว่าตนเป็นลูกหลานพระอาทิตย์ หากมีโอกาสแล้วพวกเขาจะมาเดินขึ้นยอดภูเขาไฟฟูจิซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาหรือที่เรียกว่า “โกไรโคะ” (Goraiko) ให้ได้สักครั้งในชีวิต


สำหรับการปีนภูเขาไฟฟูจิที่มีความสูง 3,776 เมตร นั้นไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย แม้จะไม่ต้องเดินจากตีนเขาเพราะรถยนต์สามารถขึ้นไปได้ถึงชั้นที่ 5 (บนยอดเขาคือชั้นที่ 10) แต่ในระดับความสูงที่เกิน 2,500 เมตร อาจทำให้บางคนเกิดอาการ “แพ้ความสูง” หรือ Altitude Sickness โดยในที่สูงๆ ออกซิเจนจะเบาบาง ทำให้บางคนเกิดอาการหายใจไม่อิ่ม ปวดหัว เหนื่อยหอบ หน้ามืดวิงเวียน ดังนั้นจึงควรประเมินอาการของตัวเอง และควรซื้อออกซิเจนกระป๋องติดตัวไว้เมื่อรู้สึกว่าหายใจไม่ทัน
เส้นทางเดินเท้าสู่ปากปล่องภูเขาไฟฟูจิมี 4 เส้นทางด้วยกัน ได้แก่ เส้นทางโยชิดะ (Yoshida Trail) ระยะทางประมาณ 6.8 กม. เส้นทางฟูจิโนะมิยะ (Fujinomiya Trail) ระยะทางประมาณ 4.3 กม. เส้นทางโกเท็มบะ (Gotemba Trail) ระยะทางประมาณ 10.5 กม. และเส้นทางสุบาชิริ (Subashiri Trail) ระยะทางประมาณ 6.9 กม. โดยเส้นทางยอดนิยมที่มีคนปีนมากที่สุดนับแสนคนต่อปีคือ “เส้นทางโยชิดะ” ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดยามานาชิ เนื่องจากคนนิยมเดินทางเส้นนี้ ระหว่างทางจึงมีที่พัก (Moutain Hut) ซึ่งเป็นทั้งร้านค้า และจุดเข้าห้องน้ำเปิดให้บริการเป็นจำนวนมากกว่าเส้นทางอื่นๆ


คนญี่ปุ่นที่เดินขึ้นเขาเป็นประจำหรือนักเดินขาแรงจะนิยมเดินขึ้นจากภูเขาไฟฟูจิชั้น 5 ในช่วงบ่ายๆ แล้วเดินรวดเดียวโดยไม่พักเพื่อไปให้ถึงยอดเขาตอนเช้ามืด เมื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จแล้วก็เดินลง พวกนี้จะใช้เวลาเดินขึ้นราว 6 ชั่วโมง และเดินลง 4 ชั่วโมง
แต่หากมาในสไตล์ท่องเที่ยวเดินไปด้วยถ่ายรูปไปด้วยแบบสบายๆ ไม่เหนื่อยจนเกินไปก็สามารถเดินขึ้นตั้งแต่เช้าหรือช่วงสาย ไปถึงชั้น 8 ในช่วงบ่ายหรือเย็นแล้วนอนพักเอาแรงใน Mountain Hut หนึ่งคืน แล้วประมาณตี 1-2 ค่อยออกเดินต่อไปชมพระอาทิตย์บนยอดเขา ซึ่งจะออกมาให้ชมโฉมประมาณตี 4.30 แล้วค่อยเดินลง


เส้นทางเดินที่เราจะได้พบเจอนั้น ในชั้น 5-6 จะมีต้นไม้ใหญ่โดยเฉพาะต้นสนขึ้นหนาแน่น เส้นทางเดินมีโซ่กั้นไว้อย่างดีไม่ต้องกลัวหลงทาง เป็นทางลาดชันซิกแซกซ้ายขวาไปเรื่อยๆ เป็นทางดินผสมกรวดหินภูเขาไฟที่ร่วนลื่นไม่น้อย จากนั้นที่ชั้น 7-8 สภาพเส้นทางเริ่มเปลี่ยนเป็นก้อนหินก้อนน้อยใหญ่ให้ต้องปีนป่าย ใช้ทั้งมือทั้งเท้าช่วยเกาะพยุงตัวเองขึ้นไป และชั้นนี้ยังมีระยะทางค่อนข้างไกล แบ่งเป็นชั้นย่อยๆ อีกหลายจุด แม้สภาพอากาศภายนอกจากเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเดินสูงขึ้น แต่การปีนป่ายก็ทำให้เหงื่อไหลท่วมตัวเลยทีเดียว โดยจากชั้น 5 มาถึงชั้น 8 ก็มักจะใช้เวลาเดินกัน 4-6 ชั่วโมง
ระหว่างนี้ใครจองที่พักไว้ที่ไหนก็ต้องพยายามเดินไปให้ถึงจุดนั้น โดยสภาพของ Mountain Hut แต่ละแห่งก็จะคล้ายๆ กันคือไม่ได้เป็นห้องส่วนตัว แต่เป็นเหมือนที่นอนงีบเอาแรงที่ทุกคนต้องมานอนเรียงกันโดยมีหมอนใบเล็กๆ และถุงนอนไว้บริการ


แต่ใครที่อยากจะเดินต่อ ก็สามารถทำได้ โดยทุกคนต้องมีไฟฉายคาดหัวไว้เพื่อส่องทางในความมืดสนิท ระหว่างชั้น 8-9 จะแบ่งออกเป็นชั้นย่อยๆ อีกหลายชั้นตั้งแต่ 8.1-8.5 กว่าจะถึงชั้น 9 ก็เล่นเอาเหนื่อย แถมยังหนาวเหน็บแบบเฉียดเลข 0 ไปมาผสมกับลมที่พัดเพิ่มความเย็นยะเยือกมาตลอดเวลา
ระหว่างนี้ที่เวลายังเดินไปเรื่อยๆ บางคนอาจถึงยอดเขาก่อนและได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดเขาสมใจ แต่บางคนอาจได้ชมพระอาทิตย์ระหว่างทางขึ้นก็ไม่เป็นไร ขอเพียงโชคดีมีสภาพอากาศที่เป็นใจให้พระอาทิตย์อวดโฉมก็ถือว่าโชคดีแล้ว เพราะบางคนมาเจอสภาพอากาศปิดฝนตกลมแรง ไม่เห็นพระอาทิตย์ หรือไม่อาจขึ้นถึงยอดเขาได้ด้วยซ้ำไป (หากสภาพอากาศเลวร้ายก็จะต้องพักรอเพราะเจ้าหน้าที่จะไม่ให้เดินขึ้นยอดเขาเพื่อความปลอดภัย)


ดังนั้นเมื่อได้เห็นพระอาทิตย์อวดแสงสีทองบนยอดภูเขาไฟฟูจิครั้งนี้จึงรู้สึกว่าเป็นพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามเป็นพิเศษกว่าทุกครั้ง ทุกๆ คนต่างหยุดเดินเพื่อชื่นชมแสงแรกของวันที่สาดส่องมาพร้อมกับความอบอุ่น คนญี่ปุ่นอุทานว่า “สุโก้ยเน้” กันเป็นระยะๆ ส่วนคนไทยก็อยากบอกว่า “สุดยอดจริงๆ เลยล่ะ”
และหากใครขึ้นมาถึงยอดเขาแล้วการผจญภัยก็ยังไม่จบ เพราะนอกจากจะมีศาลเจ้าให้เข้าไปกราบไหว้ มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และแม้แต่ตู้กดน้ำให้เราได้ตื่นตาแล้ว สิ่งสำคัญที่เราต้องไปดูก็คือ “ปากปล่องภูเขาไฟ” ที่มีขนาดใหญ่มาก โดยลึกลงไปในปากปล่องภูเขาไฟฟูจิยังคงคุกกรุ่นและอาจมีวันใดที่จะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง (มีโอกาสปะทุในระดับต่ำ) และรอบปากปล่องนี้ก็มีเส้นทางเดินวนได้รอบระยะทางประมาณ 4 ก.ม. ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมงต่อรอบ เส้นทางบางช่วงก็ชันและลื่น แต่มีโซ่กั้นไม่ให้คนเดินเข้าไปใกล้ปากปล่องมากนัก โดยหากอยากไปให้ถึงจุดสูงสุดที่มีความสูง 3,776 จริงๆ ก็ต้องเดินไปในเส้นทางเดินนี้ที่มุ่งไปสู่ "ยอดเคนกามิเนะ" (Kengamine Peak) ซึ่งตรงนี้จะมีป้ายเป็นสัญลักษณ์ให้ถ่ายรูปกันด้วยความภาคภูมิใจว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต เราได้มาเหยียบอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของญี่ปุ่นแล้ว


ใช้เวลากันได้ตามใจบนปากปล่องภูเขาไฟ จนสุดท้ายก็ถึงเวลาเดินลงสู่ชั้น 5 แล้ว ใครที่คิดว่าเดินขึ้นก็เหนื่อยมากแล้ว ขอบอกว่าความเหนื่อยขาลงนั้นต้องคูณ 2 เพราะความล้าความเหนื่อยที่สะสมมาจะเริ่มออกอาการ ผสมกับหินกรวดภูเขาไฟที่แสนลื่น ทางเดินลงซิกแซกที่ดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด และแรงกระแทกที่เข่าต้องรับไว้ในทุกๆ ก้าว ก็ทำให้หลายๆ ออกปากว่า นี่แหละคือความโหดที่แท้จริงของภูเขาไฟฟูจิ
และนี่เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมทางการท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวขาลุยที่ไม่อยากชมวิวภูเขาไฟฟูจิแต่เพียงไกลๆ ด้วยสายตาเท่านั้น แต่อยากให้สองเท้าได้สัมผัสกับภูเขาอย่างแท้จริง ซึ่งแน่นอนว่าจะยิ่งเพิ่มความงามและความประทับใจกับภูเขาไฟฟูจิอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เพราะมันเต็มไปด้วยเรื่องราวและความประทับใจระหว่างทางนั่นเอง



ในวันนี้เนื่องจากสภาพอากาศยังไม่ค่อยเป็นใจ จึงยังมีประกาศห้ามเดินจากชั้น 8.5 ขึ้นไปยังยอดเขา ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถติดตามประกาศและคำเตือนที่สำคัญต่างๆ ในการเดินขึ้นยอดภูเขาไฟฟูจิ รวมถึง Live Camera จากจุดต่างๆ เพื่อให้เห็นสภาพอากาศบนภูเขาได้จาก http://www.fujisan-climb.jp/en/
Mountain Hut ต่างๆ หากไม่ได้จองล่วงหน้าก็อาจเต็มได้ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่คนเดินขึ้นพร้อมกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากไม่อยากพลาดก็มีบางแห่งที่สามารถจองล่วงหน้าได้ก่อน ควรประเมินสภาพความพร้อมของร่างกายตนเองระหว่างปีน หากปวดหัวเวียนหัว สูดออกซิเจนแล้วไม่หายก็ควรนอนพักหรือเดินลง ไม่ควรฝืนเดินไปถึงยอดเพื่อความปลอดภัย ควรเตรียมรองเท้าปีนเขาที่หุ้มข้อเพื่อป้องกันหินเข้าไปในรองเท้า และควรเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวและเสื้อ-กางเกงกันฝนให้พร้อม เพราะสภาพอากาศบนเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เป็นช่วงฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่น หิมะบนยอดภูเขาไฟฟูจิที่ปกคลุมมาตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงเริ่มละลายเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ และละลายจนเกือบหมดเมื่อถึงฤดูร้อน จนภูเขาไฟฟูจิที่เคยมีหมวกสีขาวปกคลุมยอดอยู่เสมอกลายเป็นภูเขาโล้นๆ แปลกตากว่าที่เคย
และช่วงเวลานี้เองเป็น “ฤดูกาลปีนภูเขาไฟฟูจิ” ที่คนชื่นชอบธรรมชาติและรักการปีนเขาทั้งในประเทศญี่ปุ่นและจากทั่วโลกจะมุ่งหน้ามาเดินเท้าขึ้นสู่ยอดปากปล่องภูเขาไฟกันเป็นจำนวนมาก
ความเชื่อดั้งเดิมของคนญี่ปุ่นเชื่อว่าภูเขาไฟฟูจิทั้งลูกคือเทพเจ้า ผู้คนจึงนิยมเดินทางไปแสวงบุญที่ภูเขาไฟตั้งแต่โบราณ และในปัจจุบันสำหรับคนญี่ปุ่นที่ถือว่าตนเป็นลูกหลานพระอาทิตย์ หากมีโอกาสแล้วพวกเขาจะมาเดินขึ้นยอดภูเขาไฟฟูจิซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาหรือที่เรียกว่า “โกไรโคะ” (Goraiko) ให้ได้สักครั้งในชีวิต
สำหรับการปีนภูเขาไฟฟูจิที่มีความสูง 3,776 เมตร นั้นไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย แม้จะไม่ต้องเดินจากตีนเขาเพราะรถยนต์สามารถขึ้นไปได้ถึงชั้นที่ 5 (บนยอดเขาคือชั้นที่ 10) แต่ในระดับความสูงที่เกิน 2,500 เมตร อาจทำให้บางคนเกิดอาการ “แพ้ความสูง” หรือ Altitude Sickness โดยในที่สูงๆ ออกซิเจนจะเบาบาง ทำให้บางคนเกิดอาการหายใจไม่อิ่ม ปวดหัว เหนื่อยหอบ หน้ามืดวิงเวียน ดังนั้นจึงควรประเมินอาการของตัวเอง และควรซื้อออกซิเจนกระป๋องติดตัวไว้เมื่อรู้สึกว่าหายใจไม่ทัน
เส้นทางเดินเท้าสู่ปากปล่องภูเขาไฟฟูจิมี 4 เส้นทางด้วยกัน ได้แก่ เส้นทางโยชิดะ (Yoshida Trail) ระยะทางประมาณ 6.8 กม. เส้นทางฟูจิโนะมิยะ (Fujinomiya Trail) ระยะทางประมาณ 4.3 กม. เส้นทางโกเท็มบะ (Gotemba Trail) ระยะทางประมาณ 10.5 กม. และเส้นทางสุบาชิริ (Subashiri Trail) ระยะทางประมาณ 6.9 กม. โดยเส้นทางยอดนิยมที่มีคนปีนมากที่สุดนับแสนคนต่อปีคือ “เส้นทางโยชิดะ” ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดยามานาชิ เนื่องจากคนนิยมเดินทางเส้นนี้ ระหว่างทางจึงมีที่พัก (Moutain Hut) ซึ่งเป็นทั้งร้านค้า และจุดเข้าห้องน้ำเปิดให้บริการเป็นจำนวนมากกว่าเส้นทางอื่นๆ
คนญี่ปุ่นที่เดินขึ้นเขาเป็นประจำหรือนักเดินขาแรงจะนิยมเดินขึ้นจากภูเขาไฟฟูจิชั้น 5 ในช่วงบ่ายๆ แล้วเดินรวดเดียวโดยไม่พักเพื่อไปให้ถึงยอดเขาตอนเช้ามืด เมื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จแล้วก็เดินลง พวกนี้จะใช้เวลาเดินขึ้นราว 6 ชั่วโมง และเดินลง 4 ชั่วโมง
แต่หากมาในสไตล์ท่องเที่ยวเดินไปด้วยถ่ายรูปไปด้วยแบบสบายๆ ไม่เหนื่อยจนเกินไปก็สามารถเดินขึ้นตั้งแต่เช้าหรือช่วงสาย ไปถึงชั้น 8 ในช่วงบ่ายหรือเย็นแล้วนอนพักเอาแรงใน Mountain Hut หนึ่งคืน แล้วประมาณตี 1-2 ค่อยออกเดินต่อไปชมพระอาทิตย์บนยอดเขา ซึ่งจะออกมาให้ชมโฉมประมาณตี 4.30 แล้วค่อยเดินลง
เส้นทางเดินที่เราจะได้พบเจอนั้น ในชั้น 5-6 จะมีต้นไม้ใหญ่โดยเฉพาะต้นสนขึ้นหนาแน่น เส้นทางเดินมีโซ่กั้นไว้อย่างดีไม่ต้องกลัวหลงทาง เป็นทางลาดชันซิกแซกซ้ายขวาไปเรื่อยๆ เป็นทางดินผสมกรวดหินภูเขาไฟที่ร่วนลื่นไม่น้อย จากนั้นที่ชั้น 7-8 สภาพเส้นทางเริ่มเปลี่ยนเป็นก้อนหินก้อนน้อยใหญ่ให้ต้องปีนป่าย ใช้ทั้งมือทั้งเท้าช่วยเกาะพยุงตัวเองขึ้นไป และชั้นนี้ยังมีระยะทางค่อนข้างไกล แบ่งเป็นชั้นย่อยๆ อีกหลายจุด แม้สภาพอากาศภายนอกจากเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเดินสูงขึ้น แต่การปีนป่ายก็ทำให้เหงื่อไหลท่วมตัวเลยทีเดียว โดยจากชั้น 5 มาถึงชั้น 8 ก็มักจะใช้เวลาเดินกัน 4-6 ชั่วโมง
ระหว่างนี้ใครจองที่พักไว้ที่ไหนก็ต้องพยายามเดินไปให้ถึงจุดนั้น โดยสภาพของ Mountain Hut แต่ละแห่งก็จะคล้ายๆ กันคือไม่ได้เป็นห้องส่วนตัว แต่เป็นเหมือนที่นอนงีบเอาแรงที่ทุกคนต้องมานอนเรียงกันโดยมีหมอนใบเล็กๆ และถุงนอนไว้บริการ
แต่ใครที่อยากจะเดินต่อ ก็สามารถทำได้ โดยทุกคนต้องมีไฟฉายคาดหัวไว้เพื่อส่องทางในความมืดสนิท ระหว่างชั้น 8-9 จะแบ่งออกเป็นชั้นย่อยๆ อีกหลายชั้นตั้งแต่ 8.1-8.5 กว่าจะถึงชั้น 9 ก็เล่นเอาเหนื่อย แถมยังหนาวเหน็บแบบเฉียดเลข 0 ไปมาผสมกับลมที่พัดเพิ่มความเย็นยะเยือกมาตลอดเวลา
ระหว่างนี้ที่เวลายังเดินไปเรื่อยๆ บางคนอาจถึงยอดเขาก่อนและได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดเขาสมใจ แต่บางคนอาจได้ชมพระอาทิตย์ระหว่างทางขึ้นก็ไม่เป็นไร ขอเพียงโชคดีมีสภาพอากาศที่เป็นใจให้พระอาทิตย์อวดโฉมก็ถือว่าโชคดีแล้ว เพราะบางคนมาเจอสภาพอากาศปิดฝนตกลมแรง ไม่เห็นพระอาทิตย์ หรือไม่อาจขึ้นถึงยอดเขาได้ด้วยซ้ำไป (หากสภาพอากาศเลวร้ายก็จะต้องพักรอเพราะเจ้าหน้าที่จะไม่ให้เดินขึ้นยอดเขาเพื่อความปลอดภัย)
ดังนั้นเมื่อได้เห็นพระอาทิตย์อวดแสงสีทองบนยอดภูเขาไฟฟูจิครั้งนี้จึงรู้สึกว่าเป็นพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามเป็นพิเศษกว่าทุกครั้ง ทุกๆ คนต่างหยุดเดินเพื่อชื่นชมแสงแรกของวันที่สาดส่องมาพร้อมกับความอบอุ่น คนญี่ปุ่นอุทานว่า “สุโก้ยเน้” กันเป็นระยะๆ ส่วนคนไทยก็อยากบอกว่า “สุดยอดจริงๆ เลยล่ะ”
และหากใครขึ้นมาถึงยอดเขาแล้วการผจญภัยก็ยังไม่จบ เพราะนอกจากจะมีศาลเจ้าให้เข้าไปกราบไหว้ มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และแม้แต่ตู้กดน้ำให้เราได้ตื่นตาแล้ว สิ่งสำคัญที่เราต้องไปดูก็คือ “ปากปล่องภูเขาไฟ” ที่มีขนาดใหญ่มาก โดยลึกลงไปในปากปล่องภูเขาไฟฟูจิยังคงคุกกรุ่นและอาจมีวันใดที่จะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง (มีโอกาสปะทุในระดับต่ำ) และรอบปากปล่องนี้ก็มีเส้นทางเดินวนได้รอบระยะทางประมาณ 4 ก.ม. ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมงต่อรอบ เส้นทางบางช่วงก็ชันและลื่น แต่มีโซ่กั้นไม่ให้คนเดินเข้าไปใกล้ปากปล่องมากนัก โดยหากอยากไปให้ถึงจุดสูงสุดที่มีความสูง 3,776 จริงๆ ก็ต้องเดินไปในเส้นทางเดินนี้ที่มุ่งไปสู่ "ยอดเคนกามิเนะ" (Kengamine Peak) ซึ่งตรงนี้จะมีป้ายเป็นสัญลักษณ์ให้ถ่ายรูปกันด้วยความภาคภูมิใจว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต เราได้มาเหยียบอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของญี่ปุ่นแล้ว
ใช้เวลากันได้ตามใจบนปากปล่องภูเขาไฟ จนสุดท้ายก็ถึงเวลาเดินลงสู่ชั้น 5 แล้ว ใครที่คิดว่าเดินขึ้นก็เหนื่อยมากแล้ว ขอบอกว่าความเหนื่อยขาลงนั้นต้องคูณ 2 เพราะความล้าความเหนื่อยที่สะสมมาจะเริ่มออกอาการ ผสมกับหินกรวดภูเขาไฟที่แสนลื่น ทางเดินลงซิกแซกที่ดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด และแรงกระแทกที่เข่าต้องรับไว้ในทุกๆ ก้าว ก็ทำให้หลายๆ ออกปากว่า นี่แหละคือความโหดที่แท้จริงของภูเขาไฟฟูจิ
และนี่เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมทางการท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวขาลุยที่ไม่อยากชมวิวภูเขาไฟฟูจิแต่เพียงไกลๆ ด้วยสายตาเท่านั้น แต่อยากให้สองเท้าได้สัมผัสกับภูเขาอย่างแท้จริง ซึ่งแน่นอนว่าจะยิ่งเพิ่มความงามและความประทับใจกับภูเขาไฟฟูจิอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เพราะมันเต็มไปด้วยเรื่องราวและความประทับใจระหว่างทางนั่นเอง
ในวันนี้เนื่องจากสภาพอากาศยังไม่ค่อยเป็นใจ จึงยังมีประกาศห้ามเดินจากชั้น 8.5 ขึ้นไปยังยอดเขา ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถติดตามประกาศและคำเตือนที่สำคัญต่างๆ ในการเดินขึ้นยอดภูเขาไฟฟูจิ รวมถึง Live Camera จากจุดต่างๆ เพื่อให้เห็นสภาพอากาศบนภูเขาได้จาก http://www.fujisan-climb.jp/en/
Mountain Hut ต่างๆ หากไม่ได้จองล่วงหน้าก็อาจเต็มได้ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่คนเดินขึ้นพร้อมกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากไม่อยากพลาดก็มีบางแห่งที่สามารถจองล่วงหน้าได้ก่อน ควรประเมินสภาพความพร้อมของร่างกายตนเองระหว่างปีน หากปวดหัวเวียนหัว สูดออกซิเจนแล้วไม่หายก็ควรนอนพักหรือเดินลง ไม่ควรฝืนเดินไปถึงยอดเพื่อความปลอดภัย ควรเตรียมรองเท้าปีนเขาที่หุ้มข้อเพื่อป้องกันหินเข้าไปในรองเท้า และควรเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวและเสื้อ-กางเกงกันฝนให้พร้อม เพราะสภาพอากาศบนเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager