Facebook :Travel @ Manager
“นครศรีธรรมราช” ขึ้นชื่อว่าเป็น “นครสองธรรม” อันเนื่องมาจากความโดดเด่นทั้งในเรื่องของ “ธรรมะ” และ “ธรรมชาติ” โดยเฉพาะเรื่องของธรรมะนั้นจะเห็นได้จากการที่เมืองนครเป็นอาณาจักรโบราณที่มีประวัติศาสตร์ความรุ่งเรืองมาอย่างยาวนาน
และเมืองธรรมะในดินแดนใต้แห่งนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่หลากหลาย ครั้งนี้จึงขอแนะนำ 10 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในตัวเมืองนครศรีธรรมราช หากใครเดินทางมาเยือนแล้วจะต้องไม่พลาดไปเยี่ยมชม
สถานที่แรกที่จะพาไปชมก็คือ “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร” ถ.ราชดำเนิน ต.ในเมือง อ.เมือง เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนครศรีธรรมราช และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของพุทธศาสนิกชน ซึ่งผู้มาเยือนเมืองนครศรีไม่ควรพลาดการไปกราบสักการะด้วยประการทั้งปวง
ตามตำนานเล่าว่า พระบรมธาตุเมืองนครสร้างขึ้นครั้งแรกประมาณ ปี พ.ศ. 854 ภายในบรรจุพระทันตธาตุ(ส่วนฟันของพระพุทธเจ้า)ดั้งเดิมเป็นศิลปะแบบศรีวิชัย ต่อมาในปี พ.ศ.1093 พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้สร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น พร้อมกับสร้างเจดีย์องค์ใหม่ทรงศาญจิครอบพระบรมธาตุองค์เดิม จากนั้น พ.ศ.1770 มีพระภิกษุจากลังกามาบูรณะองค์พระบรมธาตุให้เป็นแบบทรงลังกาหรือทรงโอคว่ำดังที่เห็นในปัจจุบัน มีความสูง 55.78 เมตร องค์ระฆังสูง 9.80 เมตร มีปล้องไฉน 52 ปล้อง ถือเป็นพระเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และเป็นเจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่องค์แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ภายในวิหารพระม้าที่เป็นบันไดทางขึ้นสู่องค์พระบรมธาตุ ด้านซ้าย-ขวา มีรูปปั้นของเทพผู้พิทักษ์คือ ท้าวจตุคาม-รามเทพ ประดิษฐานอยู่ขนาบข้างประตูทางเข้า-ออก องค์พระธาตุ ท้าวจตุคาม-รามเทพ เป็นเทพที่เชื่อว่าคือท้าวจตุคามรามเทพ อันลือลั่นแห่งเมืองนคร นอกจากเทพทั้งสองแล้วที่นี่ยังมีผู้พิทักษ์อื่นๆ อาทิ ท้าวจตุโลกบาล นาค ครุฑ สิงห์ เป็นต้น
จากนั้นเอาฤกษ์เอาชัย ด้วยการไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านเมืองนครฯ ที่ “ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช” เพื่อความเป็นสิริมงคล ภายในมีความงดงามเป็นอย่างมาก ประกอบไปด้วยอาคาร 5 หลัง หลังกลางเป็นที่ประดิษฐานหลักเมืองออกแบบให้มีลักษณะคล้ายศิลปะศรีวิชัย เรียกว่าทรงเหมราชลีลา ส่วนอาคารเล็กทั้งสี่หลังถือเป็นศาลบริวารสี่ทิศ เรียกว่าศาลจตุโลกเทพ ประกอบด้วยพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระพรหมเมือง และพระบันดาลเมือง
เมื่อเดินเข้ามายังอาคารหลังกลาง จะได้พบกับองค์เสาหลักเมืองที่ทำด้วยไม้ตะเคียนทองแกะสลักลวดลายอย่างงดงามตั้งแต่ฐาน เป็นวงรอบเก้าชั้น มี 9 ลาย ส่วนบนของเสาเป็นรูปจตุคามรามเทพ (สี่พักตร์) หรือเทวดารักษาเมือง เหนือสุดเป็นเปลวเพลิงอยู่บนยอดพระเกตุ คือยอดชัยหลัก
ถ้าใครนั่งรถผ่านตามถนนราชดำเนินแล้วจะเห็น “กำแพงเมืองนครศรีธรรมราช” แต่เดิมกำแพงเมืองก่ออิฐถือปูนทั้งสี่ด้าน มีเชิงเทินใบเสมา มุมกำแพงทั้งสี่ด้านมีป้อมมุมละป้อม กำแพงทางด้านเหนือและด้านใต้มีประตูเมืองด้านละหนึ่งประตู คือ ประตูชัยเหนือ หรือ ประตูชัยศักดิ์ และทางด้านใต้ คือ ประตูชัยให้ หรือ ประตูชัยสิทธิ์ และถัดออกจากแนวกำแพงเมืองเป็นคูเมือง ซึ่งกำแพงเมืองเก่าก็ได้พังทลายไปตามกาลเวลา และได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาโดยตลอด
กระทั่งปัจจุบันนี้กำแพงเมืองนครฯ ที่ได้ชมกันนั้นมีแนวกำแพงเมืองที่หลงเหลืออยู่เป็นแนวขนานไปกับคูเมืองตั้งแต่ประตูชัยเหนือหรือประตูชัยศักดิ์ ไปทางตะวันออกยาวประมาณ 100 เมตร ที่ยังคงแสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ ความแข็งแกร่ง ความเจริญรุ่งเรือง และประวัติศาสตร์อันยาวนาน ที่ชาวนครฯ ยังคงร่วมใจกันอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
อีกหนึ่งวัดที่มีความน่าสนใจของเมืองนครศรีฯ ก็คือ “วัดแจ้งวรวิหาร” ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนิน ใกล้กับสนามกีฬาจังหวัด ก่อสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นที่ประดิษฐานบัวบรรจุอัฐิของพระยานคร และเชื่อว่ารวมถึงพระอัฐิของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชอีกด้วย
เดิมพื้นที่ของวัดแห่งนี้รกร้าง เป็นป่ารกทึบ และชาวเมืองนครศรีธรรมราชเรียกว่า ป่าหัวนา ของวัดประดู่ซึ่งอยู่ติดกัน และคุณชี พี่สาวของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) เป็นผู้สร้างวัดนี้ในราวปี 2325 สิ่งสำคัญในวัดนี้คือ “เก๋งจีน” มีลักษณะเป็นอาคารหันหน้าไปทางทิศใต้ ขนาดกว้าง 8.20 เมตร ผนังก่ออิฐถือปูนหนา เป็นผนังทึบสามด้าน หน้าต่างหรือช่องระบายอากาศเป็นรูปวงกลม ภายในวงกลมทำเป็นซี่กรง ประตูเป็นเครื่องไม้แกะลายฉลุ มีลวดลายจีนและรูปสัตว์ต่างๆ อาทิ ลายดอกโบตั๋น ลายลูกทับทิม รูปไก่ฟ้า
ด้านหน้าเก๋งมีซุ้มประตูทางเข้าประดับด้วยลายปูนปั้น รูปเทพรำ ประกอบลายด้านขด 2 ซุ้ม เครื่องบนเป็นเครื่องไม้หลังคาทรงจั่วเรียบแบบจีน มุงกระเบื้องดินเผา สันหลังคาปั้นเป็นรูปสิงห์ลวดลายพรรณพฤกษาแบบจีนทั้งสองด้าน ภายในเก๋งจีนประดิษฐานบัว 2 องค์ ซึ่งเป็นศิลปะทางภาคใต้ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ลักษณะบัวทางทิศตะวันตก เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองปิดทอง ขนาดฐานกว้าง 1.05 เมตร สูง 2.30 เมตร ฐานชั้นล่างสุดเป็นฐานสิง มีฐานบัวซ้อนกันขึ้นไปสองชั้น ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นเป็นลายกนกไทย ลายกระจังตาอ้อย ประดับด้วยกระจกสีฟ้า บนพื้นสีแดง ส่วนยอดทำเป็นดอกบัวตูม อันเป็นลักษณะเฉพาะของบัวบรรจุพระอัฐิของผู้วายชนม์ผู้ชาย
ในเขตพื้นที่ติดกันก็คือ “วัดประดู่พัฒนาราม” หรือ “วัดประดู่” หรือ “วัดโด” เป็นวัดที่สำคัญวัดหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน เดิมบริเวณพื้นที่แห่งนี้เป็นดอนทราย มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นเต็มไปหมด สภาพเป็นป่ารกชัด แต่มีต้นประดู่ขึ้นอยู่มาก เมื่อสร้างวัด จึงให้ชื่อว่า “วัดประดู่” ภาษาภาคใต้เรียกว่า วัดโด
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจาก สารนครศรีธรรมราช ปีที่ 28 ฉบับที่ 4 เมษายน 2542 ระบุไว้ว่าพี่สาวของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ชื่อ หญิง หรือ คุณหญิง เป็นผู้เสื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง เป็นผู้สร้างวัดประดู่
ภายในวัดมีสถานที่สำคัญคือ “เก๋งพระเจ้าตาก” หรือ ตึกเจ้าตาก ตั้งอยู่ตรงหน้าอุโบสถอาคารทรง สี่เหลี่ยมจัตุรัส ผนังก่ออิฐ ถือปูนหนาทึบ 3 ด้าน ยกพื้น สูง กว้าง และ ยาว ด้านละ 6 เมตร โครงหลังคาทำด้วยไม้ มุงด้วยกระเบื้องดินเผา ลักษณะศิลปะจีน ภายในเก๋งพระเจ้าตาก มีบัว คือ เจดีย์ ขนาดย่อม 1 องค์ส่วนยอดเป็นรูปทรงดอกบัวตูม สร้างเป็นบัว 3 ชั้น ย่อมุมไม้สิบสอง สูง ประมาณ 2 เมตร ก่อด้วยอิฐถือปูน ประดับลวดลายด้วยกระจกสี
สำหรับเก๋งพระเจ้าตาก คาดว่าสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2385 โดยเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง)เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบุตรเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ผู้เป็นโอรสของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับเจ้าจอมมารดาปราง ในช่วงปลายรัชกาลที่ 3 ท่านได้บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพระอัยกาและพระอัฐิเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ท่านบิดาไว้ในบัวทรงเจดีย์องค์เดียวกัน
จากนั้นมายัง “หอพระนารายณ์” ตั้งอยู่ที่ถ.ราชดำเนิน เป็นโบราณสถานในศาสนาพราหมณ์ ภายในหอพระนารายณ์ มีเทวรูปพระนารายณ์สลักจากหินทรายสีเทา ทรงมาลารูปกระบอกปลายสอบและพระหัตถ์ขวาทรงสังข์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 10 - 11 นับเป็นเทวรูปที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ปัจจุบันได้เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช
ด้านฝั่งตรงข้ามกันเป็นที่ตั้งของ “หอพระอิศวร” เป็นอีกหนึ่งโบราณสถานในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย ภายในหอพระอิศวรเป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของพระอิศวรและฐานโยนิ รวมทั้งเทวรูปสำริดอีกหลายองค์ อาทิ พระอุมา พระพิฆเนศ เทวรูปศิวนาฎราช ซึ่งจำลองมาจากองค์จริงที่เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช
ด้านนอกของหอพระอิศวร ยังเป็นที่ตั้งของเสาชิงช้า ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่แทนของเก่า ที่ใช้ในพิธีตรียัมปวายและตรีปวายของพราหมณ์ เมืองนครศรีธรรมราช โดยเสาชิงช้านี้มีรูปแบบเหมือนเสาชิงช้าที่กรุงเทพฯ เป็นการจำลองแบบมา แต่ว่ามีขนาดเล็กกว่า
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งวัดที่มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจก็คือ “วัดเสมาเมือง” เชื่อว่าเป็นสถานที่ค้นพบศิลาจารึกวัดเสมาเมือง หรือจารึกหลักที่ 43 อันมีเนื้อหากล่าวถึงพระเจ้ากรุงศรีวิชัย อายุสมัยราวต้นพุทธศตวรรษที่ 14 มีหลักฐานกล่าวถึงประวัติการสร้างวัดเสมาเมืองไว้ว่า พระเจ้าศรีธรรมโสกราช เป็นผู้ทรงสร้างวัดนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1318 ภายหลังที่ได้สร้างพระบรมธาตุแล้ว 18 ปี สถานที่สร้างวัดนี้เป็นทำเลใจกลางเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยนั้น มีพระประสงค์ที่จะให้ภิกษุ ฝ่ายมหายานจำพรรษาเป็นแห่งแรก วัดนี้เป็นต้นกำเนิดของวัดทั้งหลายในเมืองนคร
และวัดแห่งนี้ยังมีความเกี่ยวเนื่องกับ "หลวงปู่ทวด" ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ ในอดีตท่านได้เดินทางมาศึกษาพระธรรม ณ วัดเสมาเมือง ตั้งแต่ขณะเป็นเณรจนอายุท่านครบบวช หลวงปู่ทวดได้พำนักอยู่ในวิหารที่มีลักษณะเหมือนเรือสำเภาจนชาวบ้านเรียกติดปากว่า “วิหารสำเภา” จนถึงทุกวันนี้
จากนั้นมายัง “บ้านท่านขุนรัฐวุฒิวิจารย์” เป็นเรือนปั้นหยายกพื้น หลังคาสูง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2445 โดยนายเขียน มาลยานนท์ ซึ่งได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็น “ขุนรัฐวุฒิวิจารณ์” นายอำเภอเมืองกลาย ภายหลังได้ยกที่ดินและบ้านหลังนี้ให้แก่นายโกวิท ตรีสัตยพันธุ์ (หลาน) เมื่อปีพ.ศ. 2482 ซึ่งต่อมาได้ใช้บ้านและที่ดินเปิดเป็นโรงเรียนรัฐวุฒิวิทยาและเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนนครวิทยา และได้ปิดตัวลงเมื่อปี พ.ศ. 2529
และต่อมานายสำราญ ตรีสัตยพันธุ์ ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งของตระกูลตรีสัตยพันธุ์ ได้ซื้อบ้านและที่ดินแปลงนี้มาดำเนินการบูรณะปรับปรุง ซ่อมแซม เพื่ออนุรักษ์ไว้เป็นบ้านโบราณของจังหวัด พร้อมกับเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้มาชมความงามของเรือนไทยโบราณหลังนี้ และเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาสำหรับผู้ที่มีความสนใจอย่างแท้จริง
มาปิดท้ายที่ “พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านหนังตะลุง” ที่ตั้งอยู่ที่ ต.ในเมือง อ.เมือง โดยหนังตะลุงถือเป็นสุดยอดศิลป์แห่งการแสดงของภาคใต้ โดย อ.สุชาติ ทรัพย์สิน ศิลปินแห่งชาติ ภายในพิพิธภัณฑ์หนังตะลุงบ้าน อ.สุชาติ เป็นอาคารไม้ 2 ชั้น สิ่งแรกที่เห็นแล้วตะลึงคือ ตัวหนังตะลุงที่เก่าแก่ มีอายุถึง 200 ปี ซึ่งตัวหนังนั้นเป็นหนังมุสลิม และตัวหนังตะลุงอีสาน นอกจากจะมีหนังตะลุงไทยแล้ว ที่นี่ยังได้เก็บหนังตะลุงจากประเทศอื่นๆ ไว้อีกด้วย
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
“นครศรีธรรมราช” ขึ้นชื่อว่าเป็น “นครสองธรรม” อันเนื่องมาจากความโดดเด่นทั้งในเรื่องของ “ธรรมะ” และ “ธรรมชาติ” โดยเฉพาะเรื่องของธรรมะนั้นจะเห็นได้จากการที่เมืองนครเป็นอาณาจักรโบราณที่มีประวัติศาสตร์ความรุ่งเรืองมาอย่างยาวนาน
และเมืองธรรมะในดินแดนใต้แห่งนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่หลากหลาย ครั้งนี้จึงขอแนะนำ 10 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในตัวเมืองนครศรีธรรมราช หากใครเดินทางมาเยือนแล้วจะต้องไม่พลาดไปเยี่ยมชม
สถานที่แรกที่จะพาไปชมก็คือ “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร” ถ.ราชดำเนิน ต.ในเมือง อ.เมือง เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนครศรีธรรมราช และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของพุทธศาสนิกชน ซึ่งผู้มาเยือนเมืองนครศรีไม่ควรพลาดการไปกราบสักการะด้วยประการทั้งปวง
ตามตำนานเล่าว่า พระบรมธาตุเมืองนครสร้างขึ้นครั้งแรกประมาณ ปี พ.ศ. 854 ภายในบรรจุพระทันตธาตุ(ส่วนฟันของพระพุทธเจ้า)ดั้งเดิมเป็นศิลปะแบบศรีวิชัย ต่อมาในปี พ.ศ.1093 พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้สร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น พร้อมกับสร้างเจดีย์องค์ใหม่ทรงศาญจิครอบพระบรมธาตุองค์เดิม จากนั้น พ.ศ.1770 มีพระภิกษุจากลังกามาบูรณะองค์พระบรมธาตุให้เป็นแบบทรงลังกาหรือทรงโอคว่ำดังที่เห็นในปัจจุบัน มีความสูง 55.78 เมตร องค์ระฆังสูง 9.80 เมตร มีปล้องไฉน 52 ปล้อง ถือเป็นพระเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และเป็นเจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่องค์แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ภายในวิหารพระม้าที่เป็นบันไดทางขึ้นสู่องค์พระบรมธาตุ ด้านซ้าย-ขวา มีรูปปั้นของเทพผู้พิทักษ์คือ ท้าวจตุคาม-รามเทพ ประดิษฐานอยู่ขนาบข้างประตูทางเข้า-ออก องค์พระธาตุ ท้าวจตุคาม-รามเทพ เป็นเทพที่เชื่อว่าคือท้าวจตุคามรามเทพ อันลือลั่นแห่งเมืองนคร นอกจากเทพทั้งสองแล้วที่นี่ยังมีผู้พิทักษ์อื่นๆ อาทิ ท้าวจตุโลกบาล นาค ครุฑ สิงห์ เป็นต้น
จากนั้นเอาฤกษ์เอาชัย ด้วยการไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านเมืองนครฯ ที่ “ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช” เพื่อความเป็นสิริมงคล ภายในมีความงดงามเป็นอย่างมาก ประกอบไปด้วยอาคาร 5 หลัง หลังกลางเป็นที่ประดิษฐานหลักเมืองออกแบบให้มีลักษณะคล้ายศิลปะศรีวิชัย เรียกว่าทรงเหมราชลีลา ส่วนอาคารเล็กทั้งสี่หลังถือเป็นศาลบริวารสี่ทิศ เรียกว่าศาลจตุโลกเทพ ประกอบด้วยพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระพรหมเมือง และพระบันดาลเมือง
เมื่อเดินเข้ามายังอาคารหลังกลาง จะได้พบกับองค์เสาหลักเมืองที่ทำด้วยไม้ตะเคียนทองแกะสลักลวดลายอย่างงดงามตั้งแต่ฐาน เป็นวงรอบเก้าชั้น มี 9 ลาย ส่วนบนของเสาเป็นรูปจตุคามรามเทพ (สี่พักตร์) หรือเทวดารักษาเมือง เหนือสุดเป็นเปลวเพลิงอยู่บนยอดพระเกตุ คือยอดชัยหลัก
ถ้าใครนั่งรถผ่านตามถนนราชดำเนินแล้วจะเห็น “กำแพงเมืองนครศรีธรรมราช” แต่เดิมกำแพงเมืองก่ออิฐถือปูนทั้งสี่ด้าน มีเชิงเทินใบเสมา มุมกำแพงทั้งสี่ด้านมีป้อมมุมละป้อม กำแพงทางด้านเหนือและด้านใต้มีประตูเมืองด้านละหนึ่งประตู คือ ประตูชัยเหนือ หรือ ประตูชัยศักดิ์ และทางด้านใต้ คือ ประตูชัยให้ หรือ ประตูชัยสิทธิ์ และถัดออกจากแนวกำแพงเมืองเป็นคูเมือง ซึ่งกำแพงเมืองเก่าก็ได้พังทลายไปตามกาลเวลา และได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาโดยตลอด
กระทั่งปัจจุบันนี้กำแพงเมืองนครฯ ที่ได้ชมกันนั้นมีแนวกำแพงเมืองที่หลงเหลืออยู่เป็นแนวขนานไปกับคูเมืองตั้งแต่ประตูชัยเหนือหรือประตูชัยศักดิ์ ไปทางตะวันออกยาวประมาณ 100 เมตร ที่ยังคงแสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ ความแข็งแกร่ง ความเจริญรุ่งเรือง และประวัติศาสตร์อันยาวนาน ที่ชาวนครฯ ยังคงร่วมใจกันอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
อีกหนึ่งวัดที่มีความน่าสนใจของเมืองนครศรีฯ ก็คือ “วัดแจ้งวรวิหาร” ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนิน ใกล้กับสนามกีฬาจังหวัด ก่อสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นที่ประดิษฐานบัวบรรจุอัฐิของพระยานคร และเชื่อว่ารวมถึงพระอัฐิของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชอีกด้วย
เดิมพื้นที่ของวัดแห่งนี้รกร้าง เป็นป่ารกทึบ และชาวเมืองนครศรีธรรมราชเรียกว่า ป่าหัวนา ของวัดประดู่ซึ่งอยู่ติดกัน และคุณชี พี่สาวของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) เป็นผู้สร้างวัดนี้ในราวปี 2325 สิ่งสำคัญในวัดนี้คือ “เก๋งจีน” มีลักษณะเป็นอาคารหันหน้าไปทางทิศใต้ ขนาดกว้าง 8.20 เมตร ผนังก่ออิฐถือปูนหนา เป็นผนังทึบสามด้าน หน้าต่างหรือช่องระบายอากาศเป็นรูปวงกลม ภายในวงกลมทำเป็นซี่กรง ประตูเป็นเครื่องไม้แกะลายฉลุ มีลวดลายจีนและรูปสัตว์ต่างๆ อาทิ ลายดอกโบตั๋น ลายลูกทับทิม รูปไก่ฟ้า
ด้านหน้าเก๋งมีซุ้มประตูทางเข้าประดับด้วยลายปูนปั้น รูปเทพรำ ประกอบลายด้านขด 2 ซุ้ม เครื่องบนเป็นเครื่องไม้หลังคาทรงจั่วเรียบแบบจีน มุงกระเบื้องดินเผา สันหลังคาปั้นเป็นรูปสิงห์ลวดลายพรรณพฤกษาแบบจีนทั้งสองด้าน ภายในเก๋งจีนประดิษฐานบัว 2 องค์ ซึ่งเป็นศิลปะทางภาคใต้ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ลักษณะบัวทางทิศตะวันตก เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองปิดทอง ขนาดฐานกว้าง 1.05 เมตร สูง 2.30 เมตร ฐานชั้นล่างสุดเป็นฐานสิง มีฐานบัวซ้อนกันขึ้นไปสองชั้น ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นเป็นลายกนกไทย ลายกระจังตาอ้อย ประดับด้วยกระจกสีฟ้า บนพื้นสีแดง ส่วนยอดทำเป็นดอกบัวตูม อันเป็นลักษณะเฉพาะของบัวบรรจุพระอัฐิของผู้วายชนม์ผู้ชาย
ในเขตพื้นที่ติดกันก็คือ “วัดประดู่พัฒนาราม” หรือ “วัดประดู่” หรือ “วัดโด” เป็นวัดที่สำคัญวัดหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน เดิมบริเวณพื้นที่แห่งนี้เป็นดอนทราย มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นเต็มไปหมด สภาพเป็นป่ารกชัด แต่มีต้นประดู่ขึ้นอยู่มาก เมื่อสร้างวัด จึงให้ชื่อว่า “วัดประดู่” ภาษาภาคใต้เรียกว่า วัดโด
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจาก สารนครศรีธรรมราช ปีที่ 28 ฉบับที่ 4 เมษายน 2542 ระบุไว้ว่าพี่สาวของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ชื่อ หญิง หรือ คุณหญิง เป็นผู้เสื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง เป็นผู้สร้างวัดประดู่
ภายในวัดมีสถานที่สำคัญคือ “เก๋งพระเจ้าตาก” หรือ ตึกเจ้าตาก ตั้งอยู่ตรงหน้าอุโบสถอาคารทรง สี่เหลี่ยมจัตุรัส ผนังก่ออิฐ ถือปูนหนาทึบ 3 ด้าน ยกพื้น สูง กว้าง และ ยาว ด้านละ 6 เมตร โครงหลังคาทำด้วยไม้ มุงด้วยกระเบื้องดินเผา ลักษณะศิลปะจีน ภายในเก๋งพระเจ้าตาก มีบัว คือ เจดีย์ ขนาดย่อม 1 องค์ส่วนยอดเป็นรูปทรงดอกบัวตูม สร้างเป็นบัว 3 ชั้น ย่อมุมไม้สิบสอง สูง ประมาณ 2 เมตร ก่อด้วยอิฐถือปูน ประดับลวดลายด้วยกระจกสี
สำหรับเก๋งพระเจ้าตาก คาดว่าสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2385 โดยเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง)เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบุตรเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ผู้เป็นโอรสของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับเจ้าจอมมารดาปราง ในช่วงปลายรัชกาลที่ 3 ท่านได้บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพระอัยกาและพระอัฐิเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ท่านบิดาไว้ในบัวทรงเจดีย์องค์เดียวกัน
จากนั้นมายัง “หอพระนารายณ์” ตั้งอยู่ที่ถ.ราชดำเนิน เป็นโบราณสถานในศาสนาพราหมณ์ ภายในหอพระนารายณ์ มีเทวรูปพระนารายณ์สลักจากหินทรายสีเทา ทรงมาลารูปกระบอกปลายสอบและพระหัตถ์ขวาทรงสังข์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 10 - 11 นับเป็นเทวรูปที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ปัจจุบันได้เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช
ด้านฝั่งตรงข้ามกันเป็นที่ตั้งของ “หอพระอิศวร” เป็นอีกหนึ่งโบราณสถานในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย ภายในหอพระอิศวรเป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของพระอิศวรและฐานโยนิ รวมทั้งเทวรูปสำริดอีกหลายองค์ อาทิ พระอุมา พระพิฆเนศ เทวรูปศิวนาฎราช ซึ่งจำลองมาจากองค์จริงที่เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช
ด้านนอกของหอพระอิศวร ยังเป็นที่ตั้งของเสาชิงช้า ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่แทนของเก่า ที่ใช้ในพิธีตรียัมปวายและตรีปวายของพราหมณ์ เมืองนครศรีธรรมราช โดยเสาชิงช้านี้มีรูปแบบเหมือนเสาชิงช้าที่กรุงเทพฯ เป็นการจำลองแบบมา แต่ว่ามีขนาดเล็กกว่า
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งวัดที่มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจก็คือ “วัดเสมาเมือง” เชื่อว่าเป็นสถานที่ค้นพบศิลาจารึกวัดเสมาเมือง หรือจารึกหลักที่ 43 อันมีเนื้อหากล่าวถึงพระเจ้ากรุงศรีวิชัย อายุสมัยราวต้นพุทธศตวรรษที่ 14 มีหลักฐานกล่าวถึงประวัติการสร้างวัดเสมาเมืองไว้ว่า พระเจ้าศรีธรรมโสกราช เป็นผู้ทรงสร้างวัดนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1318 ภายหลังที่ได้สร้างพระบรมธาตุแล้ว 18 ปี สถานที่สร้างวัดนี้เป็นทำเลใจกลางเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยนั้น มีพระประสงค์ที่จะให้ภิกษุ ฝ่ายมหายานจำพรรษาเป็นแห่งแรก วัดนี้เป็นต้นกำเนิดของวัดทั้งหลายในเมืองนคร
และวัดแห่งนี้ยังมีความเกี่ยวเนื่องกับ "หลวงปู่ทวด" ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ ในอดีตท่านได้เดินทางมาศึกษาพระธรรม ณ วัดเสมาเมือง ตั้งแต่ขณะเป็นเณรจนอายุท่านครบบวช หลวงปู่ทวดได้พำนักอยู่ในวิหารที่มีลักษณะเหมือนเรือสำเภาจนชาวบ้านเรียกติดปากว่า “วิหารสำเภา” จนถึงทุกวันนี้
จากนั้นมายัง “บ้านท่านขุนรัฐวุฒิวิจารย์” เป็นเรือนปั้นหยายกพื้น หลังคาสูง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2445 โดยนายเขียน มาลยานนท์ ซึ่งได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็น “ขุนรัฐวุฒิวิจารณ์” นายอำเภอเมืองกลาย ภายหลังได้ยกที่ดินและบ้านหลังนี้ให้แก่นายโกวิท ตรีสัตยพันธุ์ (หลาน) เมื่อปีพ.ศ. 2482 ซึ่งต่อมาได้ใช้บ้านและที่ดินเปิดเป็นโรงเรียนรัฐวุฒิวิทยาและเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนนครวิทยา และได้ปิดตัวลงเมื่อปี พ.ศ. 2529
และต่อมานายสำราญ ตรีสัตยพันธุ์ ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งของตระกูลตรีสัตยพันธุ์ ได้ซื้อบ้านและที่ดินแปลงนี้มาดำเนินการบูรณะปรับปรุง ซ่อมแซม เพื่ออนุรักษ์ไว้เป็นบ้านโบราณของจังหวัด พร้อมกับเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้มาชมความงามของเรือนไทยโบราณหลังนี้ และเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาสำหรับผู้ที่มีความสนใจอย่างแท้จริง
มาปิดท้ายที่ “พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านหนังตะลุง” ที่ตั้งอยู่ที่ ต.ในเมือง อ.เมือง โดยหนังตะลุงถือเป็นสุดยอดศิลป์แห่งการแสดงของภาคใต้ โดย อ.สุชาติ ทรัพย์สิน ศิลปินแห่งชาติ ภายในพิพิธภัณฑ์หนังตะลุงบ้าน อ.สุชาติ เป็นอาคารไม้ 2 ชั้น สิ่งแรกที่เห็นแล้วตะลึงคือ ตัวหนังตะลุงที่เก่าแก่ มีอายุถึง 200 ปี ซึ่งตัวหนังนั้นเป็นหนังมุสลิม และตัวหนังตะลุงอีสาน นอกจากจะมีหนังตะลุงไทยแล้ว ที่นี่ยังได้เก็บหนังตะลุงจากประเทศอื่นๆ ไว้อีกด้วย
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager