Facebook :Travel @ Manager

ประเทศไทยของเรานั้น เป็นดินแดนแห่งวัฒนธรรมและประเพณีที่มีอยู่อย่างมากมายและหลากหลาย โดยแต่ละประเพณีนั้นก็ต่างมีความงดงามของขนบธรรมเนียมและพิธีการปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป และบางประเพณีก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะและไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “ประเพณีบวชนาคช้าง” ประเพณีพื้นบ้านอันขึ้นชื่อของจังหวัดสุรินทร์

“ประเพณีบวชนาคช้าง” นับเป็นอีกหนึ่งประเพณีที่มีเอกลักษณ์ เป็นประเพณีที่จัดขึ้นที่บ้านตากลาง ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นประเพณีพื้นบ้านของชาวกูย หรือ ชาวกวย ซึ่งเป็นชาวบ้านที่มีวิถีชีวิตระหว่างคนกับช้าง ที่ได้สืบทอดวิถีชีวิตจากบรรพบุรุษมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี และที่บ้านตากลางแห่งนี้ก็เป็นที่รู้จักของผู้คนในชื่อ “หมู่บ้านช้าง” นั่นเอง

การบวชนาคช้างนั้นไม่ได้เป็นการนำช้างมาบวช แต่เป็นการบวชของผู้ชายในหมู่บ้าน อีกทั้งยังมีขั้นตอนในการดำเนินพิธีที่แตกต่าง ซึ่งสามารถเห็นได้แค่ที่บ้านตากลางแห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวกูยแล้ว หากลูกหลานคนใดต้องการจะบวชเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ ซึ่งไม่ว่าจะออกไปทำงานต่างถิ่นที่ใดก็ต้องกลับมาบวชที่บ้านตากลางแห่งนี้เท่านั้น หากบวชที่อื่นก็ไม่ถือว่าการบวชนั้นสำเร็จ ประเพณีนี้จึงเป็นประเพณีสำคัญของทุกๆ คนในหมู่บ้าน

นายสายฟ้า ศาลางาม ชาวบ้านในหมู่บ้านช้าง เล่าให้ฟังว่า “ในวันแรก (ขึ้น 13 ค่ำเดือน 6) จะมีการทำพิธีปลงผมนาค และทำพิธีบายศรีทำขวัญนาคที่บ้านของนาคแต่ละคน ที่เรียกว่าพิธี “ปะรำทำขวัญนาค” และในวันที่สอง (ขึ้น 14 ค่ำเดือน 6) ก็จะเป็นการทำบายศรีหมู่ที่วัด และตั้งขบวนแห่นาคขึ้นหลังช้าง เพื่อไปไหว้เจ้าปู่ที่วังทะลุ ส่วนวันสุดท้าย (ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6) จะทำพิธีบวชพระ ที่วัดแจ้งสว่าง และจากนั้นพระทุกรูปสามารถไปจำพรรษาตามวัดที่ต้องการได้”

โดยประเพณีบวชนาคช้างจะถูกจัดขึ้นในช่วงวันขึ้น 13-15 ค่ำเดือน 6 ของทุกๆ ปี ซึ่งในปี 2562 นี้ ตรงกับวันที่ 16-18 พ.ค. และมีผู้เข้าร่วมบวชด้วยกันทั้ง 16 คน หนึ่งในนั้นมี นายชินยะ โคนโด นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ที่เดินทางมาเที่ยวที่หมู่บ้านช้าง และสนใจอยากเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ด้วย
สำหรับ “เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ” ของนาคตามแบบประเพณีบวชนาคช้างของชาวกูยที่มีมาแต่โบราณนั้น จะเน้นให้มีสีสันสดใส จะเว้นอยู่สีเดียวคือสีดำ และเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับแต่ละชิ้นนั้นก็ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งและแตกต่างกันออกไปอีก

โดยนาคจะต้องแต่งหน้าทาปาก นุ่งโสร่งสวมเสื้อขาวสว่าง คลุมผ้าสี และสวมกระโจมนาคหรือชฎานาค ซึ่งแต่ละชิ้นนั้นก็จะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไป อาทิ “ผ้าหลากสี” เปรียบดังแสงรุ้ง 7 สีของผู้มีบุญวาสนา “เสื้อสีขาวสว่าง” คือการไม่หมกมุ่นในที่มืด และ “กระโจมนาค” หรือ “ชฎานาค” ที่ทำจากไม้ไผ่และตกแต่งด้วยกระดาษสี ห้อยนุ่นไว้ด้านข้างนั้น มีความหมายว่า ยอดที่แหลมเปรียบดั่งสมองอันหลักแหลมในการศึกษาพระธรรม ส่วน “นุ่น” ที่ห้อยไว้ด้านข้างของกระโจมนาค ถูกใช้แทนต่างหู เปรียบได้ว่าอย่าได้เป็นคนหูเบา
นอกจากนั้นช้างแต่ละเชือกจะถูกควาญช้างตกแต่งลวดลายลงบนผิวหนังอย่างสวยงามด้วยปูนขาวและขมิ้น แต่ในปัจจุบันก็มีการนำชอล์กสีมาวาดลวดลายด้วยเช่นกัน และก่อนนาคขึ้นสู่หลังช้างก็ต้องมีการทำพิธีคารวะพ่อแม่และช้างอีกด้วย

และก่อนที่จะแห่นาค จะมีการการทำพิธีบวงสรวงบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ "ศาลปะกำ" ศาลศักดิ์สิทธิ์ของชาวกูย ภายในศูนย์คชศึกษา โดยจะมีหมอช้างเป็นผู้นำในการประกอบพิธี และทำนายว่างานพิธีจะสำเร็จด้วยดีหรือไม่ ซึ่งการทำนายก็คือดูจากกระดูกอ่อนคางไก่ หากตั้งตรงแปลว่าพิธีจะสำเร็จด้วยดี


จากนั้นจะเข้าสู่ไฮไลต์เด่นของประเพณีบวชนาคช้างนั้น คือช่วงเวลาของการแห่นาคช้าง เพราะถือได้ว่าเป็นพิธีการที่ยิ่งใหญ่ โดยจะเริ่มต้นขบวนแห่กันที่ศูนย์คชศึกษาช้าง ไปประกอบพิธีอุปสมบทบริเวณวังทะลุ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำมูลและแม่น้ำชีไหลมาบรรจบกันนั้น รวมระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร โดยขบวนนาคช้างจะประกอบไปด้วยช้างมากมายที่เป็นพาหนะสำหรับพระสงฆ์และนาคทุกคนของหมู่บ้าน โดยมีเหล่าญาติพี่น้องเพื่อนพ้องของนาคก็จะมาร่วมขบวนแห่ด้วยเช่นกัน


นับได้ว่าประเพณีบวชนาคช้างนั้น เป็นประเพณีที่มีทั้งความสวยงามและยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์ที่ไม่สามารถชมได้ที่ไหน และคู่ควรกับการอนุรักษ์รักษาไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็นประเพณีพื้นบ้านอันงดงามที่บรรพบุรุษสร้างไว้
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
ประเทศไทยของเรานั้น เป็นดินแดนแห่งวัฒนธรรมและประเพณีที่มีอยู่อย่างมากมายและหลากหลาย โดยแต่ละประเพณีนั้นก็ต่างมีความงดงามของขนบธรรมเนียมและพิธีการปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป และบางประเพณีก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะและไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “ประเพณีบวชนาคช้าง” ประเพณีพื้นบ้านอันขึ้นชื่อของจังหวัดสุรินทร์
“ประเพณีบวชนาคช้าง” นับเป็นอีกหนึ่งประเพณีที่มีเอกลักษณ์ เป็นประเพณีที่จัดขึ้นที่บ้านตากลาง ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นประเพณีพื้นบ้านของชาวกูย หรือ ชาวกวย ซึ่งเป็นชาวบ้านที่มีวิถีชีวิตระหว่างคนกับช้าง ที่ได้สืบทอดวิถีชีวิตจากบรรพบุรุษมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี และที่บ้านตากลางแห่งนี้ก็เป็นที่รู้จักของผู้คนในชื่อ “หมู่บ้านช้าง” นั่นเอง
การบวชนาคช้างนั้นไม่ได้เป็นการนำช้างมาบวช แต่เป็นการบวชของผู้ชายในหมู่บ้าน อีกทั้งยังมีขั้นตอนในการดำเนินพิธีที่แตกต่าง ซึ่งสามารถเห็นได้แค่ที่บ้านตากลางแห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวกูยแล้ว หากลูกหลานคนใดต้องการจะบวชเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ ซึ่งไม่ว่าจะออกไปทำงานต่างถิ่นที่ใดก็ต้องกลับมาบวชที่บ้านตากลางแห่งนี้เท่านั้น หากบวชที่อื่นก็ไม่ถือว่าการบวชนั้นสำเร็จ ประเพณีนี้จึงเป็นประเพณีสำคัญของทุกๆ คนในหมู่บ้าน
นายสายฟ้า ศาลางาม ชาวบ้านในหมู่บ้านช้าง เล่าให้ฟังว่า “ในวันแรก (ขึ้น 13 ค่ำเดือน 6) จะมีการทำพิธีปลงผมนาค และทำพิธีบายศรีทำขวัญนาคที่บ้านของนาคแต่ละคน ที่เรียกว่าพิธี “ปะรำทำขวัญนาค” และในวันที่สอง (ขึ้น 14 ค่ำเดือน 6) ก็จะเป็นการทำบายศรีหมู่ที่วัด และตั้งขบวนแห่นาคขึ้นหลังช้าง เพื่อไปไหว้เจ้าปู่ที่วังทะลุ ส่วนวันสุดท้าย (ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6) จะทำพิธีบวชพระ ที่วัดแจ้งสว่าง และจากนั้นพระทุกรูปสามารถไปจำพรรษาตามวัดที่ต้องการได้”
โดยประเพณีบวชนาคช้างจะถูกจัดขึ้นในช่วงวันขึ้น 13-15 ค่ำเดือน 6 ของทุกๆ ปี ซึ่งในปี 2562 นี้ ตรงกับวันที่ 16-18 พ.ค. และมีผู้เข้าร่วมบวชด้วยกันทั้ง 16 คน หนึ่งในนั้นมี นายชินยะ โคนโด นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ที่เดินทางมาเที่ยวที่หมู่บ้านช้าง และสนใจอยากเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ด้วย
สำหรับ “เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ” ของนาคตามแบบประเพณีบวชนาคช้างของชาวกูยที่มีมาแต่โบราณนั้น จะเน้นให้มีสีสันสดใส จะเว้นอยู่สีเดียวคือสีดำ และเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับแต่ละชิ้นนั้นก็ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งและแตกต่างกันออกไปอีก
โดยนาคจะต้องแต่งหน้าทาปาก นุ่งโสร่งสวมเสื้อขาวสว่าง คลุมผ้าสี และสวมกระโจมนาคหรือชฎานาค ซึ่งแต่ละชิ้นนั้นก็จะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไป อาทิ “ผ้าหลากสี” เปรียบดังแสงรุ้ง 7 สีของผู้มีบุญวาสนา “เสื้อสีขาวสว่าง” คือการไม่หมกมุ่นในที่มืด และ “กระโจมนาค” หรือ “ชฎานาค” ที่ทำจากไม้ไผ่และตกแต่งด้วยกระดาษสี ห้อยนุ่นไว้ด้านข้างนั้น มีความหมายว่า ยอดที่แหลมเปรียบดั่งสมองอันหลักแหลมในการศึกษาพระธรรม ส่วน “นุ่น” ที่ห้อยไว้ด้านข้างของกระโจมนาค ถูกใช้แทนต่างหู เปรียบได้ว่าอย่าได้เป็นคนหูเบา
นอกจากนั้นช้างแต่ละเชือกจะถูกควาญช้างตกแต่งลวดลายลงบนผิวหนังอย่างสวยงามด้วยปูนขาวและขมิ้น แต่ในปัจจุบันก็มีการนำชอล์กสีมาวาดลวดลายด้วยเช่นกัน และก่อนนาคขึ้นสู่หลังช้างก็ต้องมีการทำพิธีคารวะพ่อแม่และช้างอีกด้วย
และก่อนที่จะแห่นาค จะมีการการทำพิธีบวงสรวงบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ "ศาลปะกำ" ศาลศักดิ์สิทธิ์ของชาวกูย ภายในศูนย์คชศึกษา โดยจะมีหมอช้างเป็นผู้นำในการประกอบพิธี และทำนายว่างานพิธีจะสำเร็จด้วยดีหรือไม่ ซึ่งการทำนายก็คือดูจากกระดูกอ่อนคางไก่ หากตั้งตรงแปลว่าพิธีจะสำเร็จด้วยดี
จากนั้นจะเข้าสู่ไฮไลต์เด่นของประเพณีบวชนาคช้างนั้น คือช่วงเวลาของการแห่นาคช้าง เพราะถือได้ว่าเป็นพิธีการที่ยิ่งใหญ่ โดยจะเริ่มต้นขบวนแห่กันที่ศูนย์คชศึกษาช้าง ไปประกอบพิธีอุปสมบทบริเวณวังทะลุ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำมูลและแม่น้ำชีไหลมาบรรจบกันนั้น รวมระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร โดยขบวนนาคช้างจะประกอบไปด้วยช้างมากมายที่เป็นพาหนะสำหรับพระสงฆ์และนาคทุกคนของหมู่บ้าน โดยมีเหล่าญาติพี่น้องเพื่อนพ้องของนาคก็จะมาร่วมขบวนแห่ด้วยเช่นกัน
นับได้ว่าประเพณีบวชนาคช้างนั้น เป็นประเพณีที่มีทั้งความสวยงามและยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์ที่ไม่สามารถชมได้ที่ไหน และคู่ควรกับการอนุรักษ์รักษาไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็นประเพณีพื้นบ้านอันงดงามที่บรรพบุรุษสร้างไว้
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager