Facebook :Travel @ Manager
พูดถึงอำเภอแกลง ในจังหวัดระยองแล้ว เชื่อว่าชื่อของสุนทรภู่คงจะลอยมาในความคิดของหลายๆ คนเป็นสิ่งแรก แต่แท้จริงแล้วอำเภอนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมาก โดยเฉพาะในตำบลปากน้ำประแส ตำบลเล็กๆ น่าอยู่แถมยังมีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย
แหล่งท่องเที่ยวในชุมชน "ปากน้ำประแส" นั้นมีหลากหลายด้วยกัน ด้วยความที่เป็นชุมชนปากแม่น้ำชายฝั่งทะเล สภาพพื้นที่แถบนี้จึงเป็นป่าชายเลนที่ชาวบ้านร่วมกันฟื้นฟูและอนุรักษ์ไว้จนอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายของพืชพันธุ์ป่าชายเลน ทั้งต้นโกงกาง แสม ลำพู ฯลฯ แต่ที่พิเศษสุดต้องยกให้ “ทุ่งโปรงทอง” ทุ่งกว้างที่มีต้นโปรงขึ้นเบียดกันแน่นเต็มพื้นที่
หลังจากเดินทางมาถึงบริเวณที่จอดรถหน้าทางเข้า “ทุ่งโปรงทอง” แล้ว จะต้องเดินทางเข้าไปอีกหน่อย แต่ถ้าใครอยากจะประหยัดพลังงานร่างกาย ก็จะมีรถบริการรับส่งใช้ยานพาหนะเป็นรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง พาหนะที่ใช้ในชีวิตประจำวันของคนปากน้ำประแส ขับพานักท่องเที่ยวไปชมแหล่งท่องเที่ยวที่นี่ โดยคิดค่าบริการ 5 บาทต่อคนต่อเที่ยว
เมื่อเดินผ่านสะพานไม้เพื่อเข้าไปชมทุ่งโปรงทองที่อยู่ด้านใน จะเห็นเสน่ห์ของใบต้นโปรงที่มีสีเขียวอมหลืองสดใส เมื่ออยู่รวมกันเป็นจำนวนมากจึงทำให้ท้องทุ่งแห่งนี้กลายเป็นสีทองสว่างไสว ยิ่งถ้าอยู่กลางแสงแดดแล้วก็จะยิ่งเพิ่มความงามขึ้นอีก สมกับชื่อที่ชาวบ้านเรียกว่าทุ่งโปรงทองเสียจริงๆ
ทางชุมชนปากน้ำประแสได้ทำสะพานไม้ไว้ให้เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน สะพานนี้มีความยาวกว่า 1 กิโลเมตร ทอดผ่านป่าชายเลน ทุ่งโปรงทอง และยาวต่อไปจนถึงชายทะเล แต่ปัจจุบันสะพานไม้ได้ชำรุดจึงไม่สามารถเดินไปถึงบริเวณอนุสรณ์เรือหลวงประแสได้ ซึ่งอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม คาดว่าจะเสร็จในอีกไม่นานนี้
ที่ปากน้ำประแสบริเวณชายหาดประแส ยังมี “อนุสรณ์เรือรบหลวงประแส” เป็นความภาคภูมิใจของชาวตำบลปากน้ำประแสที่ได้มีส่วนร่วมในการตั้งอนุสรณ์เรือหลวงประแส ไว้ ณ บริเวณปากน้ำประแส โดยเรือรบหลวงประแสได้เข้าร่วมรบในสงครามเกาหลีเมื่อปี 2493 ในการรบครั้งนี้กองทัพเรือต้องสูญเสียเรือรบหลวงประแส (ลำที่ 1) ไป ต่อมาไทยจึงได้ติดต่อซื้อเรือจากประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 2 ลำ หนึ่งในนั้นคือเรือรบหลวงประแส (ลำที่ 2) และได้นำออกไปปฏิบัติการในสงครามเกาหลีอีกครั้ง
ต่อมาเมื่อปลดประจำการจากกองทัพเรือ ทางเทศบาลตำบลปากน้ำประแสจึงขอรับเรือรบหลวงประแสมาตั้งเป็นอนุสรณ์ในปี 2546 เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวของท้องถิ่น โดยนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมบรรยากาศของเรือรบ ไปลองชมห้องต่างๆ ภายในตัวเรือ ไปลองเล็งกระบอกปืนส่องข้าศึก รวมทั้งไปสัมผัสบรรยากาศของหาดประแสจากมุมสูงกันได้อีกด้วย
จากนั้นเดินทางมายัง “วัดสมมติเทพฐาปนาราม” วัดเก่าแก่ของตำบลปากน้ำประแส โดยมีประวัติความเป็นมาว่าเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก ขึ้นประทับที่ตำบลปากน้ำประแส ฝั่งแหลมสนเมืองแกลง เสด็จมาใกล้เจดียสถาน ทรงพระราชดำริว่า “ตำบลปากน้ำแหลมสนนี้สมควรเป็นที่สร้างอารามได้” จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระแกลงแกล้วกล้า (มั่ง) ผู้ว่าราชการเมืองแกลงสร้างอารามขึ้นใกล้เจดีย์ และพระราชทานนามว่า “วัดสมมติเทพฐาปนาราม” พร้อมพระราชทานที่ดินสร้างวัดจำนวน 10 ไร่ 2 งาน
เมื่อหลวงแกลงแกล้วกล้า (มั่ง) ได้รับพระราชโองการให้สร้างวัดนั้น ในระยะแรกได้ก่อสร้างกุฏิเจ้าอาวาสขึ้น 1 หลัง หอสวดมนต์ 1 หลัง หอฉัน 1 หลัง กุฏิสงฆ์ 1 หลัง และได้ทำการก่อสร้างอยู่ 2 ปี จึงแล้วเสร็จ ทางวัดได้ทำการผูกพัทธสีมาครั้งแรก (พ.ศ.2445) กระทรวงธรรมการได้ส่งธรรมาสน์และพระบรมรูปหล่อรัชกาลที่ ๕ มาไว้สำหรับพระอารามหลวงพระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างไว้ และยังมีของพระราชทานอื่น ๆ อีก
ต่อมาในปี พ.ศ.2512 ได้มีการดำเนินการสร้างอุโบสถหลังใหม่ 1 หลัง โดยอาศัยกำลังทรัพย์จากแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ซึ่งชาวบ้านในหมู่บ้านและทั่วไปที่รู้จักวัดแห่งนี้จะนิยมเรียกสั้นๆ ว่า วัดหลวงหรือวัดแหลมสน โดยตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำประแส
ไม่ไกลจากวัดสมมติเทพฐาปนาราม จะมี “จุดชมวิวแหลมสน” มีศาลาให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ บรรยากาศโดยรอบเป็นต้นสนทำให้บริเวณนั้นมีความร่มรื่น และยังสามารถเดินเล่นริมหาดได้ด้วย สำหรับเวลาที่เหมาะแก่การมานั่งเล่นรับลมเย็นๆ ก็ควรจะเป็นช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ซึ่งวิวจาดจุดนี้จะสามารถมองเห็นเรือหลวงประแสที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ หากมองไปทางซ้ายก็จะพบกับสะพานประแสสิน ที่ทอดยาวข้ามระหว่างสองฝั่งของแม่น้ำประแส
อีกหนึ่งจุดชมวิวที่สำคัญอย่าง “สะพานประแสสิน” ในช่วงยามเย็นจะมีผู้คนแวะเวียนกันมาเดิน-วิ่ง ออกกำลังกายรับลมเย็นๆ บนสะพานที่มีระยะทางยาวประมาณ 2 กิโลเมตร หรือจะมาชมวิวของปากน้ำประแสได้ทั้งสองฝั่งของถนน แต่ต้องระวังรถที่วิ่งผ่านไปมาด้วย
หากใครอยากสัมผัสวิถีชีวิตของคนปากน้ำประแสได้ลึกซึ้งกว่านักท่องเที่ยวคนอื่น ให้ลองมาพักผ่อนที่โฮมสเตย์ของที่นี่ด้วยสัก 1-2 คืน ซึ่งมีโฮมสเตย์ให้เลือกหลากหลาย เพื่อจะได้มีเวลาในการเดินเล่นชมชุมชน เช่น ได้ชมตลาดเช้าในตัวตำบล เห็นวิถีชีวิตและอาหารการกินในพื้นถิ่น อีกทั้งบรรยากาศของบ้านเรือนในตลาดก็ยังมีความคลาสสิคไม่น้อย ยังสามารถเห็นเรือนแถวไม้เก่าแก่สวยๆ หลายหลัง ถูกใจคนชอบบรรยากาศเก่าๆ ยิ่งนัก
อีกหนึ่งสถานที่สำคัญของชุมชนก็คือ “วัดตะเคียนงาม” วัดสำคัญในชุมชน ที่มีความโดดเด่นตรงต้นตะเคียนใหญ่ อายุกว่า 500 ปี อายุขนาดนี้ไม่ต้องพูดถึงความสูงใหญ่ ต้นตะเคียนถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของวัดแห่งนี้ โดยในสมัยก่อนชาวประมงจะใช้ต้นตะเคียนใหญ่เป็นจุดเป้าหมายในการนำเรือกลับเข้าฝั่ง เรียกว่าใช้ต้นตะเคียนแทนเข็มทิศกันเลย อีกทั้งภายในวัดตะเคียนงามยังมีศาลเจ้าแม่ตะเคียนให้ชาวบ้านและผู้มาเยือนได้กราบสักการะกันอีกด้วย
แหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดก็คือ “ศาลกรมหลวงชุมพรฯ” หรือ “เสด็จเตี่ย” ผู้ทรงเป็นที่เคารพนับถือของชาวเรือไม่ว่าภาคไหนๆ พระองค์ได้ชื่อว่าเป็น "พระบิดาแห่งทหารเรือ" และก่อนที่ชาวประมงจะออกเรือไปหาปลาก็จะต้องมากราบสักการะขอพรจากท่านให้อยู่รอดปลอดภัยและเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
พูดถึงอำเภอแกลง ในจังหวัดระยองแล้ว เชื่อว่าชื่อของสุนทรภู่คงจะลอยมาในความคิดของหลายๆ คนเป็นสิ่งแรก แต่แท้จริงแล้วอำเภอนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมาก โดยเฉพาะในตำบลปากน้ำประแส ตำบลเล็กๆ น่าอยู่แถมยังมีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย
แหล่งท่องเที่ยวในชุมชน "ปากน้ำประแส" นั้นมีหลากหลายด้วยกัน ด้วยความที่เป็นชุมชนปากแม่น้ำชายฝั่งทะเล สภาพพื้นที่แถบนี้จึงเป็นป่าชายเลนที่ชาวบ้านร่วมกันฟื้นฟูและอนุรักษ์ไว้จนอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายของพืชพันธุ์ป่าชายเลน ทั้งต้นโกงกาง แสม ลำพู ฯลฯ แต่ที่พิเศษสุดต้องยกให้ “ทุ่งโปรงทอง” ทุ่งกว้างที่มีต้นโปรงขึ้นเบียดกันแน่นเต็มพื้นที่
หลังจากเดินทางมาถึงบริเวณที่จอดรถหน้าทางเข้า “ทุ่งโปรงทอง” แล้ว จะต้องเดินทางเข้าไปอีกหน่อย แต่ถ้าใครอยากจะประหยัดพลังงานร่างกาย ก็จะมีรถบริการรับส่งใช้ยานพาหนะเป็นรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง พาหนะที่ใช้ในชีวิตประจำวันของคนปากน้ำประแส ขับพานักท่องเที่ยวไปชมแหล่งท่องเที่ยวที่นี่ โดยคิดค่าบริการ 5 บาทต่อคนต่อเที่ยว
เมื่อเดินผ่านสะพานไม้เพื่อเข้าไปชมทุ่งโปรงทองที่อยู่ด้านใน จะเห็นเสน่ห์ของใบต้นโปรงที่มีสีเขียวอมหลืองสดใส เมื่ออยู่รวมกันเป็นจำนวนมากจึงทำให้ท้องทุ่งแห่งนี้กลายเป็นสีทองสว่างไสว ยิ่งถ้าอยู่กลางแสงแดดแล้วก็จะยิ่งเพิ่มความงามขึ้นอีก สมกับชื่อที่ชาวบ้านเรียกว่าทุ่งโปรงทองเสียจริงๆ
ทางชุมชนปากน้ำประแสได้ทำสะพานไม้ไว้ให้เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน สะพานนี้มีความยาวกว่า 1 กิโลเมตร ทอดผ่านป่าชายเลน ทุ่งโปรงทอง และยาวต่อไปจนถึงชายทะเล แต่ปัจจุบันสะพานไม้ได้ชำรุดจึงไม่สามารถเดินไปถึงบริเวณอนุสรณ์เรือหลวงประแสได้ ซึ่งอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม คาดว่าจะเสร็จในอีกไม่นานนี้
ที่ปากน้ำประแสบริเวณชายหาดประแส ยังมี “อนุสรณ์เรือรบหลวงประแส” เป็นความภาคภูมิใจของชาวตำบลปากน้ำประแสที่ได้มีส่วนร่วมในการตั้งอนุสรณ์เรือหลวงประแส ไว้ ณ บริเวณปากน้ำประแส โดยเรือรบหลวงประแสได้เข้าร่วมรบในสงครามเกาหลีเมื่อปี 2493 ในการรบครั้งนี้กองทัพเรือต้องสูญเสียเรือรบหลวงประแส (ลำที่ 1) ไป ต่อมาไทยจึงได้ติดต่อซื้อเรือจากประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 2 ลำ หนึ่งในนั้นคือเรือรบหลวงประแส (ลำที่ 2) และได้นำออกไปปฏิบัติการในสงครามเกาหลีอีกครั้ง
ต่อมาเมื่อปลดประจำการจากกองทัพเรือ ทางเทศบาลตำบลปากน้ำประแสจึงขอรับเรือรบหลวงประแสมาตั้งเป็นอนุสรณ์ในปี 2546 เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวของท้องถิ่น โดยนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมบรรยากาศของเรือรบ ไปลองชมห้องต่างๆ ภายในตัวเรือ ไปลองเล็งกระบอกปืนส่องข้าศึก รวมทั้งไปสัมผัสบรรยากาศของหาดประแสจากมุมสูงกันได้อีกด้วย
จากนั้นเดินทางมายัง “วัดสมมติเทพฐาปนาราม” วัดเก่าแก่ของตำบลปากน้ำประแส โดยมีประวัติความเป็นมาว่าเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก ขึ้นประทับที่ตำบลปากน้ำประแส ฝั่งแหลมสนเมืองแกลง เสด็จมาใกล้เจดียสถาน ทรงพระราชดำริว่า “ตำบลปากน้ำแหลมสนนี้สมควรเป็นที่สร้างอารามได้” จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระแกลงแกล้วกล้า (มั่ง) ผู้ว่าราชการเมืองแกลงสร้างอารามขึ้นใกล้เจดีย์ และพระราชทานนามว่า “วัดสมมติเทพฐาปนาราม” พร้อมพระราชทานที่ดินสร้างวัดจำนวน 10 ไร่ 2 งาน
เมื่อหลวงแกลงแกล้วกล้า (มั่ง) ได้รับพระราชโองการให้สร้างวัดนั้น ในระยะแรกได้ก่อสร้างกุฏิเจ้าอาวาสขึ้น 1 หลัง หอสวดมนต์ 1 หลัง หอฉัน 1 หลัง กุฏิสงฆ์ 1 หลัง และได้ทำการก่อสร้างอยู่ 2 ปี จึงแล้วเสร็จ ทางวัดได้ทำการผูกพัทธสีมาครั้งแรก (พ.ศ.2445) กระทรวงธรรมการได้ส่งธรรมาสน์และพระบรมรูปหล่อรัชกาลที่ ๕ มาไว้สำหรับพระอารามหลวงพระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างไว้ และยังมีของพระราชทานอื่น ๆ อีก
ต่อมาในปี พ.ศ.2512 ได้มีการดำเนินการสร้างอุโบสถหลังใหม่ 1 หลัง โดยอาศัยกำลังทรัพย์จากแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ซึ่งชาวบ้านในหมู่บ้านและทั่วไปที่รู้จักวัดแห่งนี้จะนิยมเรียกสั้นๆ ว่า วัดหลวงหรือวัดแหลมสน โดยตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำประแส
ไม่ไกลจากวัดสมมติเทพฐาปนาราม จะมี “จุดชมวิวแหลมสน” มีศาลาให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ บรรยากาศโดยรอบเป็นต้นสนทำให้บริเวณนั้นมีความร่มรื่น และยังสามารถเดินเล่นริมหาดได้ด้วย สำหรับเวลาที่เหมาะแก่การมานั่งเล่นรับลมเย็นๆ ก็ควรจะเป็นช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ซึ่งวิวจาดจุดนี้จะสามารถมองเห็นเรือหลวงประแสที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ หากมองไปทางซ้ายก็จะพบกับสะพานประแสสิน ที่ทอดยาวข้ามระหว่างสองฝั่งของแม่น้ำประแส
อีกหนึ่งจุดชมวิวที่สำคัญอย่าง “สะพานประแสสิน” ในช่วงยามเย็นจะมีผู้คนแวะเวียนกันมาเดิน-วิ่ง ออกกำลังกายรับลมเย็นๆ บนสะพานที่มีระยะทางยาวประมาณ 2 กิโลเมตร หรือจะมาชมวิวของปากน้ำประแสได้ทั้งสองฝั่งของถนน แต่ต้องระวังรถที่วิ่งผ่านไปมาด้วย
หากใครอยากสัมผัสวิถีชีวิตของคนปากน้ำประแสได้ลึกซึ้งกว่านักท่องเที่ยวคนอื่น ให้ลองมาพักผ่อนที่โฮมสเตย์ของที่นี่ด้วยสัก 1-2 คืน ซึ่งมีโฮมสเตย์ให้เลือกหลากหลาย เพื่อจะได้มีเวลาในการเดินเล่นชมชุมชน เช่น ได้ชมตลาดเช้าในตัวตำบล เห็นวิถีชีวิตและอาหารการกินในพื้นถิ่น อีกทั้งบรรยากาศของบ้านเรือนในตลาดก็ยังมีความคลาสสิคไม่น้อย ยังสามารถเห็นเรือนแถวไม้เก่าแก่สวยๆ หลายหลัง ถูกใจคนชอบบรรยากาศเก่าๆ ยิ่งนัก
อีกหนึ่งสถานที่สำคัญของชุมชนก็คือ “วัดตะเคียนงาม” วัดสำคัญในชุมชน ที่มีความโดดเด่นตรงต้นตะเคียนใหญ่ อายุกว่า 500 ปี อายุขนาดนี้ไม่ต้องพูดถึงความสูงใหญ่ ต้นตะเคียนถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของวัดแห่งนี้ โดยในสมัยก่อนชาวประมงจะใช้ต้นตะเคียนใหญ่เป็นจุดเป้าหมายในการนำเรือกลับเข้าฝั่ง เรียกว่าใช้ต้นตะเคียนแทนเข็มทิศกันเลย อีกทั้งภายในวัดตะเคียนงามยังมีศาลเจ้าแม่ตะเคียนให้ชาวบ้านและผู้มาเยือนได้กราบสักการะกันอีกด้วย
แหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดก็คือ “ศาลกรมหลวงชุมพรฯ” หรือ “เสด็จเตี่ย” ผู้ทรงเป็นที่เคารพนับถือของชาวเรือไม่ว่าภาคไหนๆ พระองค์ได้ชื่อว่าเป็น "พระบิดาแห่งทหารเรือ" และก่อนที่ชาวประมงจะออกเรือไปหาปลาก็จะต้องมากราบสักการะขอพรจากท่านให้อยู่รอดปลอดภัยและเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager