xs
xsm
sm
md
lg

"เรือข้ามฟาก-เรือด่วนเจ้าพระยา" แล่นฝ่าสายน้ำและกาลเวลา ให้บริการคนไทยมากว่า 100 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

Facebook :Travel @ Manager
เรือด่วนเจ้าพระยา ให้บริการคนไทยมากว่า 50 ปี
ทุกเช้าวันจันทร์-ศุกร์ เป็นช่วงเวลาเร่งรีบที่ทุกคนต่างหาทางฝ่าการจราจรอันแสนจะติดขัดเพื่อไปให้ถึงที่ทำงานให้ทันเวลา

แต่สำหรับคนกรุงเทพฯ-นนทบุรี ที่มีบ้านหรือที่ทำงานอยู่ในย่านริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก็มี “เรือด่วนเจ้าพระยา” เป็นอีกหนึ่งขนส่งมวลชนที่จะพาผู้โดยสารฝ่าสายน้ำ ฝ่าคลื่นลม หลีกเลี่ยงวิกฤตจราจรทางบกไปสู่จุดหมายได้อย่างชิลๆ ชมวิวไปด้วย แถมได้รับลมแม่น้ำเย็นสบายระหว่างทางอีกต่างหาก

แต่รู้หรือไม่ว่า เรือข้ามฟากภายใต้ชื่อ “บริษัทสุภัทรา” และเรือด่วนเจ้าพระยา ได้ฝ่าฟันทำธุรกิจกลางแม่น้ำเจ้าพระยามาอย่างยาวนานถึงกว่า 100 ปี และกว่า 50 ปี มาแล้วตามลำดับ
สุภาพรรณ พิชัยรณรงค์สงคราม หัวเรือใหญ่ของบริษัทสุภัทรา เรือด่วนเจ้าพระยา และบริษัทในเครือ
ในวันนี้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ “สุภาพรรณ พิชัยรณรงค์สงคราม” ทายาทรุ่นที่ 3 ผู้ที่เป็นหัวเรือใหญ่ของ “สุภัทรา” และบริษัทต่างๆ ในเครือ ได้รับรู้ความเป็นมาที่น่าสนใจของเรือข้ามฟากและเรือด่วนเจ้าพระยาที่ต้องฟันฝ่าคลื่นลมแห่งธุรกิจและกาลเวลามาจนปัจจุบัน

ที่มาของ “สุภัทรา”

สุภาพรรณ พิชัยรณรงค์สงคราม เป็นบุตรสาวคนโตของคุณหญิงสุภัทรา สิงหลกะ และสอาด มีชูธน อดีตอธิบดีกรมโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สุภาพรรณเล่าว่า คุณยาย (คุณหญิงบุญปั่น สิงหลกะ) เป็นผู้ริเริ่มกิจการเดินเรือข้ามฟากในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งแต่เดิมเป็นเรือแจว เริ่มแรกข้ามจากพรานนกไปยังวัดมหาธาตุ

“เมื่อก่อนนี้น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยานิ่งไม่มีคลื่น เหมือนเป็นทะเลสาบ ยังไม่มีเรือโยงมากมายนัก เมื่อก่อนบ้านคุณยายเป็นเรือนแพอยู่ในน้ำบริเวณท่าวังหลัง แต่ตอนหลังเขาออกกฎหมายห้ามอยู่ในน้ำ ก็เลยมาซื้อที่ดินบริเวณใกล้ๆท่าวังหลังและอาศัยอยู่ที่นี่”
เรือยนต์ข้ามฟากลำแรก พ.ศ.2473-2474 (ภาพจากหนังสือ : ชีวิตคือการต่อสู้ จัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงสุภัทรา สิงหลกะ)
“ส่วนคุณแม่ (คุณหญิงสุภัทรา สิงหลกะ) ซึ่งเป็นลูกสาวคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 6 คน เป็นคนรับช่วงต่อกิจการเรือข้ามฟากจากคุณยาย เพราะพี่ชายต่างรับราชการ ส่วนพี่สาวแต่งงานกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ คุณแม่เองโดยประเพณีก็ต้องแต่งงาน แต่คุณแม่อยากจะเรียนหนังสือ แต่ก็ไม่มีเงิน ไม่มีใครสนับสนุนเพราะเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็เลยมาทำกิจการเรือข้ามฟากแทนคุณยายที่กำลังไม่สบาย แล้วนำเงินไปเรียนวิชากฎหมายที่ธรรมศาสตร์ เป็นผู้หญิงรุ่นแรกที่จบกฎหมายจากธรรมศาสตร์” สุภาพรรณ กล่าว

นอกจากจะเป็นผู้หญิงหัวก้าวหน้าที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนแล้ว ในด้านการทำธุรกิจคุณหญิงสุภัทราก็ยังสามารถบริหารได้ยอดเยี่ยม โดยได้ก่อตั้งบริษัท สุภัทรา จำกัด ขึ้นเพื่อดูแลกิจการเรือข้ามฟาก และได้พัฒนาปรับปรุงเรือให้เข้ากับยุคสมัย จากเรือแจวข้ามฟากได้พัฒนามาเป็นเรือยนต์ไม้ ก่อนจะกลายมาเป็นเรือยนต์เหล็ก คอยให้บริการรับส่งประชาชนมาจวบจนถึงทุกวันนี้
เรือข้ามฟาก เรือสุภาพรรณ 47 (ภาพจากหนังสือ : ชีวิตคือการต่อสู้ จัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงสุภัทรา สิงหลกะ)
เรือด่วนเจ้าพระยาในสมัยอดีต (ภาพจากหนังสือ : ชีวิตคือการต่อสู้ จัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงสุภัทรา สิงหลกะ)
จากเรือข้ามฟากสู่เรือด่วนเจ้าพระยา

จากยุคของเรือข้ามฟากมาสู่ยุคของเรือด่วน โดยในปี 2514 คุณหญิงสุภัทราได้รับโอนกิจการเรือด่วนจากองค์การ ร.ส.พ. มาดำเนินการในนามบริษัทสุภัทรา จำกัด และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ในปีเดียวกันนี้เอง สุภาพรรณ ซึ่งเป็นลูกสาวคนโตได้เข้ามารับช่วงต่อ ช่วยบริหารงานเป็นรุ่นที่ 3 โดยสุภาพรรณเล่าว่า

“ในยุคแรกเรือด่วนเจ้าพระยาวิ่งจากถนนตกไปเกียกกาย และตลาดขวัญไปพายัพเป็น 2 สาย แต่ตอนนั้นรัฐบาลทำเองในนามขององค์การ ร.ส.พ. สังกัดกระทรวงคมนาคม แต่ตอนหลังเรารับโอนมาแล้วตั้งเป็นบริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา แล้วปรับเส้นทางเป็นนนทบุรี-เกียกกาย จนปัจจุบันก็เป็นนนทบุรี-วัดราชสิงขร ในยุคแรกคนใช้บริการเรือด่วนไม่เยอะประมาณ 1,000 คนต่อวัน ค่าโดยสารในยุคนั้นก็ 1-3 บาท แล้วก็ขึ้นมาเป็น 2-5 บาท ช่วงนั้นน้ำมันประมาณลิตรละ 2 บาท”

“เมื่อก่อนนี้รถไม่ค่อยจะติด เรือด่วนเจ้าพระยาก็ถือว่าเป็นการเดินทางที่เป็นทางเลือก คนไม่ได้นิยมอะไรมากนัก มีแต่คนที่อยู่ชายน้ำหรือทำงานชายน้ำมาใช้บริการ จนถึงประมาณปี 2530 ช่วงนั้นการจราจรเริ่มติดขัดขึ้นมากคนก็จะเริ่มใช้บริการเรือด่วนมากขึ้น จากจำนวนผู้โดยสาร 8,000-9,000 คน ก็ขึ้นมาถึง 60,000 คน” สุภาพรรณ กล่าว
ผู้โดยสารกำลังลงเรือข้ามฟาก วังหลัง-ท่าพระจันทร์
แน่นอนว่า ความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองก็ส่งผลกับทั้งเรือด่วนและเรือข้ามฟาก เช่น เมื่อไรที่มีสะพานข้ามแม่น้ำ เรือข้ามฟากก็อยู่ลำบาก ในส่วนของเรือด่วนนั้นสุภาพรรณกล่าวว่า “ปัจจุบันจำนวนผู้โดยสารเรือด่วนเจ้าพระยาอยู่ที่ประมาณ 30,000-40,000 คนต่อวัน บางคนอาจมองว่าประชากรก็เพิ่มขึ้นตลอดทำไมผู้โดยสารไม่เพิ่ม นั่นเพราะประชากรริมน้ำไม่ได้เพิ่ม พื้นที่ย่านเกาะรัตนโกสินทร์ก็สร้างตึกสูงไม่ได้ ความเจริญจะลงไปอยู่ทางใต้แถวราชวงศ์ โอเรียนเต็ล สาทร สะพานกรุงเทพที่ตอนนี้มีตึกขึ้นสูงเยอะ อีกอย่างหนึ่งคือสถานที่ราชการที่อยู่ในละแวกริมน้ำย้ายออกไป เมื่อก่อนนี้รับคนจากนนท์เข้ามาทำงานกระทรวงกลาโหม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข แต่ตอนนี้ย้ายออกไปหมด”

แม้จะเป็นขนส่งมวลชนทางเลือก แต่สุภาพรรณกล่าวถึงจุดเด่นและข้อดีของเรือด่วนเจ้าพระยานั่นก็คือความตรงเวลาและไม่มีปัญหารถติด
เรือข้ามฟากลอยกลางแม่น้ำเจ้าพระยา
“เรือของเราเร็ว ไม่ใช่ว่าวิ่งเร็ว แต่เร็วเพราะมันไม่ติดอะไรทั้งนั้น ผู้โดยสารที่จะมาทำงานสามารถกะเวลาได้ว่า ถ้าอยู่นนทบุรีจะไปสาทรต้องมาลงเรือกี่โมง เรือออกตอนไหน ซึ่งเรือด่วนจากนนทบุรีไปสะพานตากสินจะใช้เวลาประมาณ 45 นาที แต่ถ้ารถเมล์ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ซึ่งถ้ารถติดก็กะเวลาไม่ได้ ไปทำงานสาย”

แต่ทั้งนี้ก็ยังมีความไม่สะดวกบางอย่าง เช่น การเชื่อมต่อระหว่างเรือด่วนกับรถเมล์ เพราะท่าเรือด่วนจะอยู่ด้านในริมแม่น้ำ แต่รถเมล์ส่วนใหญ่จะอยู่แถวสี่แยกหรือถนนใหญ่ ก็ต้องเดินหรือใช้มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ปัจจุบันมีจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าเพียงจุดเดียวคือสถานีรถไฟฟ้า BTS สะพานตากสิน

สุภาพรรณกล่าวสรุปว่า “การเดินทางทางน้ำไม่เคยเป็นพระเอก จะเป็นพระรองตลอด วันไหนที่ทางบกไม่เวิร์คเขาจะหันมาทางน้ำ แต่เดี๋ยวนี้ทางบกก็ไม่เคยเวิร์คนะ (หัวเราะ)”
เรือด่วนเจ้าพระยาธงส้ม มุ่งหน้าท่าเรือสะพานปิ่นเกล้า
เรือท่องเที่ยวธงฟ้าแบบใหม่ที่เพิ่งออกให้บริการ
บทบาทใหม่สู่เรือท่องเที่ยวอันทันสมัย

แม้ผู้โดยสารที่เดินทางไปทำงานจะไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่กลุ่มที่โตมากขึ้นคือกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยว เนื่องจากความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเรือด่วนเจ้าพระยาก็คือในเส้นทางจะผ่านสถานที่สำคัญใจกลางเกาะรัตนโกสินทร์ อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นวัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง วัดโพธิ์ฯ วัดอรุณฯ เยาวราช ฯลฯ ทั้งยังสะดวกสบายด้วยการเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า BTS

และปัจจุบันมีศูนย์การค้าริมน้ำเปิดให้บริการเป็นจำนวนมาก อาทิ เอเชียทีค ตลาดยอดพิมาน ท่ามหาราช และล่าสุดคือไอคอนสยาม ก็ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติจำนวนมากต่างเลือกการเดินทางท่องเที่ยวโดยเรือด่วนเจ้าพระยาเพื่อเชื่อมต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้
สง่างามกลางแม่น้ำเจ้าพระยา
สุภาพรรณ กล่าวว่า “ในอดีตฝรั่งมาลงเรือด่วนเจ้าพระยาไม่มากนัก และเราก็ไม่ได้ดีไซน์เรือสำหรับฝรั่งเพราะหลังคาเตี้ยเกินไป พูดคุยกันก็ไม่รู้เรื่องเพราะคนของเราไม่ได้เตรียมพร้อมด้านนี้ ฝรั่งก็ไม่รู้จะไปไหนดีขึ้นลงผิดๆ ถูกๆ จนช่วงหลังได้พัฒนาให้มีความพร้อมมากขึ้น ทั้งคนและเรือที่ดีไซน์ให้สูงใหญ่ขึ้น จนตอนหลังนักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้น เราก็เลยเปิดบริษัทแยกกันไปเลยคือบริษัทเจ้าพระยา ทัวร์ริสท์ โบ๊ท จำกัด หรือเรือธงฟ้า”

ปัจจุบันมีเรือท่องเที่ยวที่เพิ่งต่อขึ้นใหม่ออกให้บริการ 3 ลำด้วยกัน เป็นเรือแบบคาตามารันสองชั้น ชั้นบนเป็นดาดฟ้าให้นักท่องเที่ยวได้ชมวิวกันแบบเต็มๆ ตา หน้าตาของเรือทันสมัยน่านั่งได้บรรยากาศเหมือนเรือท่องเที่ยวของต่างประเทศ มีไกด์ภาษาต่างประเทศประจำเรือ มีมาตรฐานความปลอดภัยครบถ้วน แถมยังราคาไม่แพงอีกด้วย จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น
เข้ารับนักท่องเที่ยวที่ท่ามหาราช
เรือด่วนทำด้วยใจ แต่วอนรัฐรับกลับไปดูแล

ถือว่าเป็นหนึ่งในวงการเรือแห่งแม่น้ำเจ้าพระยามาโดยตลอด แต่เรือด่วนเจ้าพระยาถือเป็นขนส่งมวลชนที่ไม่สามารถปรับราคาขึ้นตามใจได้ ดังนั้นเมื่อถามถึงผลกำไร สุภาพรรณกล่าวว่า “ทำเรือด่วนไม่เคยมีกำไร มีแต่ขาดทุน เดี๋ยวนี้ก็ยังขาดทุนตลอด กําไรค่าโดยสารเรือด่วนเป็นมาร์จิ้นที่เล็กมาก และรัฐยังบังคับให้เราต้องมีเรือประจำทาง มีราคาสำหรับเด็กนักเรียน 11, 13, 15 บาท มีการกำหนดและบังคับเราหลายอย่าง อย่างเคยให้ลงเรือฟรีในวันเลือกตั้ง ทั้งที่จริงๆ ก็เลือกกันใกล้ๆ บ้าน”

“แต่ถ้าเป็นวันสำคัญหรือเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมือง อย่างช่วงที่ในหลวง ร.๙ ทรงพระประชวรเราก็เปิดให้ประชาชนข้ามเรือฟรีเพื่อมาลงนามถวายพระพร ช่วงวันสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๙ หรืองานพระราชพิธีต่างๆ เราเปิดเรือข้ามฟากฟรีหมด เพราะเราถือว่าเราเป็นประชาชน เราทำถวายพระองค์ด้วยใจ” สุภาพรรณ กล่าว

“มองในแง่ความเป็นเอกชน ทำธุรกิจแล้วยังขาดทุนทำไมถึงทำต่อ จริงๆ ก็ไม่อยากทำต่อ อยากจะให้รัฐบาลมารับเอาไปทำมากกว่า เพราะรัฐเป็นผู้ดูแลท่าเรือทั้งหมดและมีงบประมาณ เหมือนกับที่ทำเรือในคลอง เขาจะลงทุนยังไงก็ได้ เก็บผู้โดยสารบาทเดียวก็ได้ หรือไม่เก็บเลยก็ได้ แต่การหากำไรมันสำคัญกับภาคเอกชน ถ้าอยากจะให้เราช่วยประชาชนเต็มที่รัฐบาลก็ต้องมาสนับสนุน ไม่ใช่ให้ตรึงราคาอย่างเดียวแต่ไม่มีเงินสนับสนุน”
รับส่งผู้โดยสารทุกวันไม่เว้นวันหยุด
“กิจการเรือด่วนเจ้าพระยาที่เราทำมาตลอดอาจจะเป็นเพราะมีความรู้สึกเหมือนเป็นจิตวิญญาณ เพราะถ้าคุณมีที่ดินริมแม่น้ำคุณทำคอนโดรวยกว่าเยอะเลย ที่ดินริมแม่น้ำเหมือนทองที่ใครๆ ก็อยากได้ ส่วนเราทำแต่ท่าเรือ เดินเรือเราไม่ได้อะไรเลย แต่ดิฉันก็ไม่รู้ว่าความคิดแบบนี้มันจะอยู่อีกนานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นระหว่างทางที่เราทำเรือด่วน เราก็เลยไปทำร้านอาหาร ไปทำโรงแรม ทำศูนย์การค้า ซึ่งตรงนี้เราพิสูจน์ตัวเองว่าเราทำได้ดี แต่กับเรือด่วนเราไม่สามารถทำใจตามใจตัวเองได้ (หัวเราะ)”

“ตอนนี้คนดูแลเรือด่วนคือดิฉันซึ่งเป็นรุ่นที่ 3 ส่วนรุ่นที่ 4 คือลูกสาว (ปิ๋ม ณัฐปรี พิชัยรณรงค์สงคราม) ที่จะมารับช่วงต่อ แต่ปัจจุบันเขาดูแลโครงการท่ามหาราชอยู่ ซึ่งเขาก็ชอบมาก แต่การมาทำเรือด่วนเพื่อให้เกิดการพัฒนาบ้านเมืองในข้อจำกัดต่างๆ เขาก็อาจจะไม่อยากทำแล้ว ก็อยากให้รัฐบาลเข้ามาเทคโอเวอร์ไปเลย แล้วให้เรารับจ้างขับ รับจ้างต่อเรือก็ได้ เพราะเรามีอู่ต่อเรือ เรามีคนที่ชำนาญการขับเรือ ตอนนี้เรือที่วิ่งรับส่งคนของโรงแรมต่างๆ ก็เป็นคนของเราที่รับจ้างขับทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องขับเรือเราสบายมาก” สุภาพรรณ กล่าว

มองอนาคตเรือด่วนเจ้าพระยา

เป็นเวลาเกือบ 100 ปีสำหรับการก่อตั้งบริษัท สุภัทรา จำกัด และเกือบ 50 ปี สำหรับบริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ซึ่งถือว่าเป็นเวลานานพอควรทีเดียวสำหรับการดำเนินธุรกิจ โดยสุภาพรรณกล่าวถึงแผนในอนาคตว่า อยากปรับปรุงเรือด่วนให้เป็นเรือปรับอากาศและเรือประหยัดพลังงาน โดยในขณะนี้เรือยังเป็นเรือไม้ แต่หากเปลี่ยนเป็นเรืออลูมิเนียมจะลดน้ำหนักลงได้มากและจะลดการใช้พลังงานได้ด้วย อีกทั้งความเร็วเรือจะเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยลดระยะเวลาให้ผู้โดยสารที่เดินทางไปทำงานได้ด้วย หากสร้างเป็นเรือคาตามารัน 2 ชั้น ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นและไม่โคลง มีห้องน้ำในเรือ มีความปลอดภัยสูง ซึ่งก็มีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาช่วยออกแบบให้ รวมถึงในอนาคตก็จะสามารถเชื่อมต่อกับทั้งรถไฟฟ้าและรถใต้ดิน โดยสามารถใช้ตั๋วร่วมกัน
้เรือด่วนกำลังมุ่งเข้าจอดท่าเรือพระอาทิตย์
ค่าโดยสารเรือธงส้ม 15 บาทตลอดสาย
และยังมองไปถึงธุรกิจเรือท่องเที่ยวในแถบอยุธยา ปทุมธานี ซึ่งสามารถเดินทางไปถึงได้ในระยะเวลาประมาณ 2.30 ชั่วโมงด้วยเรือปรับอากาศไฮสปีดโบท และมองไกลไปเรือท่องเที่ยวทางทะเล โดยมีต่างชาติสนใจมาร่วมลงทุนทำเรือที่ใช้พลังงานไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์

“ถ้าท่าน(รัฐบาล)เลี้ยงเราได้ เรา(เรือด่วน)จะอยู่รับใช้ท่าน แต่ถ้าท่านมีข้อจำกัดเยอะเราก็ต้องฝากท่านดูแลเอง แล้วเราจะออกทะเลแล้ว” สุภาพรรณ กล่าวปิดท้ายพร้อมเสียงหัวเราะ

ใครยังไม่เคยใช้บริการ ต้องลอง!

เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่เคยใช้บริการเรือด่วนเจ้าพระยา และเรือท่องเที่ยว บางคนไม่เคยขึ้นเพราะไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่จำเป็นต้องผ่าน บ้างก็ไม่กล้านั่งเพราะห่วงเรื่องความปลอดภัย บ้างก็ไม่รู้วิธีขึ้นลง ในส่วนนี้จึงขอแนะนำราคา วิธีขึ้นลง และท่าเรือที่สามารถเดินทางไปได้กัน
จากท่าเรือนนทบุรี-สาทร ใช้เวลาราว 45 นาที
สำหรับเรือด่วนเจ้าพระยา มีให้บริการหลายแบบ ได้แก่ เรือประจำทาง ไม่มีธง (นนทบุรี-วัดราชสิงขร) ให้บริการเฉพาะจันทร์-ศุกร์ เฉพาะช่วง 06.45-07.30 น. และ 16.00-16.30 ออกทุก 20-25 นาที ราคา 11-13-15 บาท เรือธงส้ม (นนทบุรี-วัดราชสิงขร) ให้บริการทุกวัน ในวันธรรมช่วงชั่วโมงเร่งด่วนจะออกทุกๆ 5-10 นาที ส่วนช่วงเวลาปกติจะออกทุก 15-20 นาที ราคา 15 บาทตลอดสาย เรือธงเหลือง (นนทบุรี-สาทร) ให้บริการเฉพาะจันทร์-ศุกร์ ออกทุกๆ 8-10 นาที ราคา 20 บาทตลอดสาย เรือธงเขียว (ปากเกร็ด-สาทร) ให้บริการวันจันทร์-เสาร์ เฉพาะช่วงเช้าและเย็น ออกทุก 15-30 นาที ราคา 32 บาท 

* * ทั้งนี้ เรือธงแต่ละแบบต่างก็มีช่วงเวลาออก และรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกัน รวมไปถึงแต่ละธงก็จะจอดท่าไม่เท่ากัน เช่น เรือไม่มีธงจะจอดครบทุกท่า (แต่ไม่มีให้บริการตลอดวัน) ส่วนธงส้มจะจอดให้บริการที่ท่าเรือที่น้อยกว่าเรือไม่มีธง แต่ครอบคลุมท่าเรือสำคัญหลักๆ ทั้งหมด ส่วนเรือธงเหลืองจะจอดเฉพาะท่าใหญ่ๆ ทำให้ใช้เวลาน้อยกว่าเรือธงส้ม อีกทั้งยังมีเรือเสริมต่างๆ ทั้งนี้ขอให้ศึกษาเส้นทางการเดินเรือได้จาก http://www.chaophrayaexpressboat.com/th/home/ หรือสอบถามจากพนักงานที่ท่าเรือได้ และสำหรับการจ่ายค่าตั๋วโดยสาร หากท่าเรือใดมีพนักงานขายตั๋วอยู่ที่ท่าเรือก็สามารถซื้อได้บนท่าเรือเลย แต่หากไม่มีพนักงานก็สามารถจ่ายค่าตั๋วกับพนักงานเก็บเงินบนเรือได้เช่นกัน
บรรยากาศภายในเรือธงส้ม แต่ช่วงเวลาเร่งรีบก็คนเยอะไม่แพ้รถเมล์
ส่วนเรือท่องเที่ยวธงฟ้า ยินดีต้อนรับทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยแบ่งตั๋วออกเป็น 4 แบบ 4 ราคา ได้แก่ ตั๋ว All Day All Night Pass ใช้ได้ตลอดวัน สามารถขึ้นลงกี่เที่ยวก็ได้ตามใจ ตั้งแต่เวลา 09.00-20.30 น. ราคา 300 บาท/คน ตั๋ว One Day River Pass ขึ้นลงกี่เที่ยวก็ได้ตั้งแต่เวลา 09.00-17.30 น. ราคา 200 บาท/คน ตั๋ว One Night River Pass ขึ้นลงกี่เที่ยวก็ได้ตั้งแต่เวลา 15.00-20.30 น. ราคา 200 บาท/คน และ ตั๋ว Single Journey Ticket ขึ้น-ลง ได้ที่ท่าเรือใดท่าเรือหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ซ้ำได้ ราคา 60 บาท/คน

ทั้งนี้เรือท่องเที่ยวธงฟ้าจะจอดที่ท่าพระอาทิตย์ ท่ารถไฟ ท่ามหาราช ท่าวัดอรุณ ท่าปากคลองตลาด ท่าราชวงศ์ ล้ง 1919 ไอคอนสยาม ท่าสาทร และสำหรับท่าเอเชียทีค จะจอดเฉพาะเวลาหลัง 16.40-18.40 น. เท่านั้น เรียกได้ว่าสามารถล่องชมความงามของสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ในกรุงเทพฯ ได้ทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน อีกทั้งบนเรือยังมีผู้บรรยายคอยให้คำแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อีกด้วย

สำหรับนโยบายความปลอดภัย เรือด่วนเจ้าพระยามีการอบรมพนักงานเรื่องความปลอดภัย บนเรือมีเสื้อชูชีพใต้เก้าอี้และมีห่วงยางชูชีพบนเรือ มีประกันชีวิตผู้โดยสาร และพนักงานบนเรือต้องว่ายน้ำเก่งและมีหน้าที่ต้องช่วยเหลือผู้โดยสารทุกคน

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager


กำลังโหลดความคิดเห็น