xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนกาลเก่า เล่ารัตนโกสินทร์ ช่วง ร.๑- ร.๓ กับ “3 วัดเก่าคู่เมืองกรุง”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

Facebook :Travel @ Manager
พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง)
เมื่อไม่นานมานี้เรามีโอกาสได้ร่วมเดินทางกับ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี ในกิจกรรม “ย้อนกาลเก่า เล่ารัตนโกสินทร์ ยินผ่านวรรณกรรม” ช่วงรัชกาลที่ ๑-๓ ซึ่งสะท้อนให้เห็นช่วงเวลาแห่งการทำนุบำรุงฟื้นฟูบ้านเมืองที่ล่มสลายไปเพราะสงครามให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง ด้วยการดำเนินนโยบายการปกครองหลายประการ โดยมี อาจารย์จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะวัฒนธรรมร่วมเป็นวิทยากรให้ความรู้
พระอุโบสถวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
โดยจุดแรกที่ได้ไปคือที่ “วัดสระเกศ” มีชื่อเต็มว่า “วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร” ซึ่งเป็นวัดโบราณในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ “วัดสะแก” รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดสระเกศ” ซึ่งแปลว่า “ชำระพระเกศา” เนื่องจากเคยประทับทำพิธีพระกระยาสนาน เมื่อเสด็จกรีธาทัพกลับจากกัมพูชามาปราบจลาจลในกรุงธนบุรี และเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติใน พ.ศ.2325
หลวงพ่อพระประธาน
เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องแวะมาสักการะ “หลวงพ่อพระประธาน” ที่ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ โดยเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา สำหรับพระอุโบสถวัดสระเกศนั้น ถูกสร้างขึ้นใหม่แทนพระอุโบสถหลังเดิม และที่หน้าบันพระอุโบสถทั้งด้านหน้า-หลัง สลักลายกนก ลายก้านขดประดับกระจกสี ตรงกลางประดับรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ เมื่อได้มองแล้ว ความงดงามช่างประทับใจ
พระเจดีย์ใหญ่สีทอง
อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของที่วัดสระเกศฯ นี้ ก็คือการเดินขึ้นไปยัง “ภูเขาทอง” นั่นเอง โดยภูเขาทองแห่งนี้ รัชกาลที่ ๓ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นไว้เป็นปูชนียสถานในพระนครเหมือนดั่งที่กรุงเก่ามีวัดภูเขาทอง แต่เนื่องจากที่ตั้งนั้นอยู่ติดน้ำจึงได้เกิดการทรุดลงเสมอ ครั้นพอถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างใหม่ เมื่อ พ.ศ.2406 ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงให้เป็นภูเขา มีพระเจดีย์อยู่ด้านบน และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้บนยอด มีบันไดเวียนขึ้นลง 2 สาย และโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อจากภูเขาทองเป็น "บรมบรรพต" แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จ จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ทำการก่อสร้างพระบรมบรรพตจนแล้วเสร็จและงดงามมาจนถึงปัจจุบัน
พระเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
วิวทิวทัศน์กรุงเทพมุมสูง เมื่อมองจากบนภูเขาทอง
สำหรับบรรยากาศด้านบนภูเขาทองนั้น พื้นที่ตรงกลางจะเป็นที่ตั้งพระเจดีย์ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายใน และด้านบนก็เป็นที่ตั้งของพระเจดีย์ใหญ่สีทอง ข้างบนนี้ยังเป็นจุดชมวิวกรุงเทพฯ ที่สวยงามอีกจุดหนึ่งด้วย
บรรยากาศเงียบสงบภายในบริเวณวัดมหาธาตุ
จากนั้นเราเดินทางต่อมายัง "วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร" ที่เป็นวัดเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อ "วัดสลัก" แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อไรและใครเป็นคนสร้าง จากนั้นวัดนี้ได้เปลี่ยนชื่อมาหลายต่อหลายครั้งก่อนจะมาเป็นวัดมหาธาตุฯ โดยในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วัดสลักนี้มีอาณาบริเวณอยู่ใกล้กับพระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯ มหาสุรสิงหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ ๑ จึงโปรดเกล้าฯให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ขึ้น

จากนั้นรัชกาลที่ ๑ ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อวัดอีกครั้งหนึ่งเป็น "วัดมหาธาตุ" ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารทรงสวรรคต รัชกาลที่ 5 จึงทรงบริจาคพระราชทรัพย์อันเป็นส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดมหาธาตุจนสำเร็จ แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มสร้อยต่อชื่อวัดเพื่อเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชพระองค์นั้นว่า "วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์" ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้สืบต่อกันมาจนทุกวันนี้
พระศรีสรรเพชญ์
หลังจากทราบประวัติคร่าวๆ กันแล้ว เราก็ได้เข้ามาในพระอุโบสถ ที่มีความใหญ่โตถึงขนาดที่พระสงฆ์สามารถเข้าไปทำสังฆกรรมได้มากถึง 1,000 รูปเลยทีเดียว ส่วนภายในพระอุโบสถมี “พระศรีสรรเพชญ์” พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประดิษฐานอยู่ อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจของพระอุโบสถนี้ก็คือ ใบเสมาจะถูกฝังไว้บนกำแพงของพระอุโบสถ ไม่ได้อยู่ล้อมรอบเหมือนอย่างวัดอื่น
ใบเสมาที่ถูกฝังไว้บนกำแพงของพระอุโบสถ
พระพุทธเทวปฏิมากร
วัดสุดท้ายที่เราจะไปกันวันนี้ก็คือ “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร” หรือ “วัดโพธิ์” วัดเก่าแก่ซึ่งรัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดเก่า (เดิมคือ วัดโพธาราม) ขึ้นเพื่อเป็นพระอารามหลวง โดยเมื่อแล้วเสร็จ ก็ได้พระราชทานนามให้วัดว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาศ” ต่อในรัชกาลที่ ๔ ได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามท้ายวัดเป็น “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม”

สิ่งสำคัญอย่างแรกในวัดโพธิ์ก็คือ พระอุโบสถ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นที่ประดิษฐานของพระประธานคือ “พระพุทธเทวปฏิมากร” เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ที่ใต้ฐานชุกชีของพระพุทธรูปเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ (บางส่วน) ของบุรพกษัตริย์รัชกาลที่ ๑ อีกด้วย
พระพุทธไสยาส
จากนั้นมาที่ “วิหารพระพุทธไสยาส” ซึ่งรัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้ช่างสิบหมู่สร้างพระพุทธไสยาสหรือพระนอนขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างพระวิหารที่มีระเบียงเดินได้รอบในภายหลัง องค์พระพุทธไสยาสก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทองพระพักตร์สูง 15 เมตร ทอดพระองค์ยาว 46 เมตร ที่พระบาทสูง 3 เมตรยาว 5 เมตร พระบาทตกแต่งลายประดับมุกภาพมงคล 108 ที่รับคติมาจากชมพูทวีป ถือเป็นลายศิลปะไทยผสมจีน ผสมผสานกันอย่างประณีตศิลป์
พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล
อีกหนึ่งจุดน่าสนใจก็คือ “พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล” ซึ่งอยู่ในบริเวณกำแพงแก้วสีขาว ซุ้มประตูทางเข้า เป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์แบบจีน ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ เครื่องถ้วยหลากสี มีตุ๊กตาหินจีนประดับอยู่ประตูละคู่ พระมหาเจดีย์แต่ละองค์เป็นเจดีย์ย่อไม้สิบสอง องค์ประดับกระเบื้องเคลือบสีเขียวเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑ นามว่า “พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ” ใกล้กันคือ “พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน” ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๒ ส่วนพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๓ และที่ ๔ คือ “พระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขาร” และ “พระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย” ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลืองและสีขาบ (น้ำเงินเข้ม) ตามลำดับ
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager


กำลังโหลดความคิดเห็น