xs
xsm
sm
md
lg

มรดกโลก“ชิราคาวาโกะ”...หมู่บ้านในเทพนิยาย พนมไหว้แด่ธรรมชาติผู้ยิ่งใหญ่/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี (pinn109@hotmail.com)

Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
ชิราคาวาโกะ หมู่บ้านมรดกโลกอันงดงามทรงเสน่ห์ดุจดังหมู่บ้านในเทพนิยาย
ณ ที่ราบท่ามกลางขุนเขาสูงโอบล้อมแห่งเมืองชนบทเล็ก ๆ ทางทิศเหนือของจังหวัดกิฟุ ประเทศญี่ปุ่น มีหมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่อย่างเด่นทระนง และทรงเสน่ห์ด้วยงานสถาปัตยกรรมอันงดงามเป็นเอกลักษณ์ ดุจดัง “หมู่บ้านในนิทาน” หรือ “หมู่บ้านในเทพนิยาย

หมู่บ้านแห่งนี้มีภูมิปัญญาการก่อสร้างอันทึ่ง ที่มาพร้อมกับภาพความงามซึ่งจะผันเปลี่ยนไปตามฤดูกาล สร้างความงดงามประทับใจให้กับผู้มาเยือนเป็นยิ่งนัก
หมู่บ้านชิราคาวาโกะกับบ้านกัสโซซึคุริ มรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า
สำหรับหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือ หมู่บ้าน“ชิราคาวาโกะ” หนึ่งในมรดกโลกอันทรงคุณค่าของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่ใฝ่ฝันของนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก

รู้จักชิราคาวาโกะ

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ(Shirakawa-Go) มีชื่อเต็มว่า“กัสโชซึคุริโอกิมาฉิ ชิราคาวาโกะ” (ในอดีต)เป็นหมู่บ้านชาวนาที่สร้างทอดตัวขนานไปกับแม่น้ำโชคาวะ(Shokawa River) ในที่ราบท่ามกลางขุนเขาแวดล้อม ของจังหวัดกิฟุ แห่งภูมิภาคชูบุ(Chubu) ดินแดนรุ่มรวยวัฒนธรรมใจกลางญี่ปุ่น
บ้านกัสโซซึคุริ  ภูมิปัญญาการสร้างบ้านของชาวชิราคาวาโกะ
หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใช่หมู่บ้านชาวนาธรรมดา หากแต่เป็นหมู่บ้าน“มรดกโลก”เลื่องชื่อ ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อปี พ.ศ.2538(ค.ศ.1995) ควบคู่กับหมู่บ้านโกคายามา(Gokayama) จังหวัดโทยามา(Toyama)

ชิราคาวาโกะ เป็นหมู่บ้านมรดกโลกอายุเก่าแก่กว่า 250 ปี มีความโดดเด่นในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งก่อสร้างที่สำคัญของดินแดนอาทิตย์อุทัย นั่นก็คือ สถาปัตยกรรมแบบ “กัสโซซึคุริ”(Gassho-Zukuri) อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และดูทรงเสน่ห์กระไรปานนั้น

พนมมือไหว้ไปกับบ้านกัสโซซึคุริ
เส้นทางเดินเที่ยวชมหมู่บ้านมรดกโลก ชิราคาวาโกะ
กัสโซซึคุริ เป็นการสร้างบ้านด้วยภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนโบราณที่นี่ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ดีกับสภาพแวดล้อมของธรรมชาติ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะตกหนักสุมหนาทับถมกัน

บ้านแบบกัสโซซึคุริ เป็นบ้านไม้ขนาดใหญ่ 3-4 ชั้น(บ้านส่วนใหญ่กว้างประมาณ 10 เมตร ยาวประมาณ 18 เมตร) สร้างจากวัสดุธรรมชาติต่าง ๆ ในท้องถิ่น โดยไม่มีการตอกตะปู หากแต่ใช้วิธีการเข้าไม้ เข้าลิ่ม เข้าเดือย รวมถึงใช้เชือกที่ทำจากธรรมชาติมัดในหลาย ๆ จุด
บ้านกัสโซซึคุริที่ยังคงยืนหยัดนับจากอดีตสู่ปัจจุบัน
กัสโซซึคุริ เป็นบ้านรูปทรงสามเหลี่ยม หลังคายกสูงมีความหนาและลาดชันมาก(ประมาณ 60 องศา) เพราะในช่วงหน้าหนาวที่นี่มีหิมะตกหนัก หลังคาที่ทำจากฟางข้าว-หญ้าที่มัดสุมหนากันหลายชั้น จะช่วยป้องกันความหนาวยะเยือกเข้าสู่ภายในบ้าน

ขณะที่การทำหลังคาที่มีความลาดชันสูงนั้นจะช่วยป้องกันหิมะที่ตกหนัก ไม่ให้ตกทับถมสุมหนากันจนหลังคาพังถล่มลงมาเพราะรับน้ำหนักไม่ไหว(แต่ก็ต้องปีนขึ้นไปกวาดหิมะบนหลังคาลงมาบ้าง เพื่อไม่ให้มันมาเกาะแน่นจนทำให้หลังคาฟางกลายสภาพเป็นน้ำแข็ง) นับเป็นภูมิปัญญาโบราณที่สั่งสมสร้างสรรค์ออกมาให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน
บ้านกัสโซซึคุริ กับหลังคายกสูงคล้ายคนพนมมือไหว้
หลังคาบ้านกัสโซซึคุริรูปสามเหลี่ยมทรงสูงแบบนี้ มีลักษณะดูคล้ายกับคนพนมมือไหว้ ซึ่ง“กัสโซ” ในภาษาญี่ปุ่นนั้น มีความหมายว่า“พนมมือ” ซึ่งแต่ละบ้านจะเปลี่ยนหลังคาใหม่ในทุก ๆ 30- 40 ปี โดยแต่ละปีจะมีบ้านประมาณ 2-3 หลังทำการมุงหลังคาใหม่(ในช่วงฤดูใบไม้ผลิหลังหิมะละลายหมด)

โดยชาวบ้านชิราคาวาโกะ จะร่วมแรงร่วมใจกันมาช่วยกันมุงหลังคา ซึ่งเรียกกันว่า “ยูอิ”(Yui) กันอย่างขะมักเขม้นแข็งขัน (อารมณ์เดียวกับการช่วยกันลงแขกเกี่ยวขาวของบ้านเรา) ถือเป็นอีกหนึ่งภาพวิถีชีวิตอันโดดเด่นของชาวชิราคาวาโกะ ซึ่งเป็นที่ต้องตาโดนใจของนักเดินทางจากทั่วโลก

ใครที่ไปเที่ยวหมู่บ้านมรดกโลกชิราคาวาโกะ แล้วได้เจอภาพที่ชาวบ้านกำลังยูอิ ช่วยกันมุงหลังคานั้นถือว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่ง
บ้านกัสโซซึคุริ สร้างจากวัสดุธรรมชาติในท้องถิ่นโดยไม่มีการใช้ตะปู
นอกจากหลังคาสามเหลี่ยมรูปทรงพนมมืออันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์แล้ว บ้านกัสโซซึคุริยังมีภูมิปัญญาในการก่อสร้างที่น่าสนใจอีกหลากหลาย อาทิ การวางตัวบ้านที่เลือกรับลมฤดูร้อนช่วยให้บ้านเย็นสบายและอบอุ่นในฤดูหนาว, บ้านหลังคาทรงสูงช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยใต้หลังคาโดยเฉพาะใช้เก็บของและพืชผลทางการเกษตร, หน้าจั่วบ้านมีการเจาะช่องหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเทและช่วยรับแสงสว่างตามธรรมชาติ เป็นต้น

อย่างไรก็ดีบ้านกัสโซซึคุรินั้นมีข้อพึงระวังอย่างสูงในเรื่องของฟืนไฟ เพราะวัสดุต่าง ๆ ที่ใช้สร้างบ้าน โดยเฉพาะหญ้าฟางมุงหลังคานั้นติดไฟง่าย นักท่องเที่ยวที่เดินเที่ยวชมในหมู่บ้านแห่งนี้ ใครที่เป็นสิงห์อมควันก็จำเป็นต้องสูบบุหรี่เฉพาะในพื้นที่ที่เขาจัดไว้ให้ ห้ามสูบบุหรี่เรี่ยราดโดยเด็ดขาด เพราะนอกจากจะเป็นการรบกวนผู้อื่นแล้ว ยังอาจเป็นอันตรายต่อหมู่บ้านมรดกโลกแห่งนี้ด้วย

ความงาม 4 ฤดู แห่งชิราคาวาโกะ
ความงามที่กลมกลืนกับธรรมชาติของบ้านกัสโซซึคุริ  แห่งหมู่บ้านชิราคาวาโกะ
บ้านกัสโซซึคุริ มีข้อมูลว่า ในอดีตสมัยก่อนศตวรรษที่ 16 ที่ชิราคาวาโกะเคยมีบ้านแบบนี้อยู่ประมาณ 50 หลัง ก่อนจะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นเต็มหมู่บ้านรวมแล้วมากถึงราว 300 หลัง ซึ่งเดิมนั้นหมู่บ้านแห่งนี้อยู่กันแบบชุมชนปิด เพราะมีขุนเขาที่เป็นดังกำแพงธรรมชาติล้อมรอบ การติดต่อกับโลกภายนอกเป็นไปด้วยความยากลำบาก

กระทั่งในช่วงปี พ.ศ.2433(ค.ศ. 1890) รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตัดถนนเชื่อมกับโลกภาพนอก นั่นนับเป็นการเข้ามาของความเจริญทางด้านวัตถุ และสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่ ทำให้หมู่บ้านชิราคาวาโกะยุคหลังมีการก่อสร้างบ้านในแบบญี่ปุ่นร่วมสมัยเคียงคู่ไปกับบ้านกัสโซซึคุริ

ขณะที่บ้านกัสโซซึคุริหลายหลังที่เก่า เสื่อมสภาพ ชำรุดทรุดโทรม ก็ถูกดรื้อสร้างใหม่ในสไตล์ญี่ปุ่นร่วมสมัย ทำให้วันนี้มีบ้านกัสโซซึคุริหลงเหลืออยู่ที่ชิราคาวาโกะไม่ถึงครึ่ง(จากราว 300 หลัง) ประมาณร้อยกว่าหลังต้น ๆ
ชิราคาวาโกะ หมู่บ้านกลางหุบเขาแวดล้อม(มองจากจุดชมวิวชิโรยามา)
อย่างไรก็ดีชิราคาวาโกะก็ยังคงดูทรงเสน่ห์ไปด้วยบรรยากาศของหมู่บ้านเล็ก ๆ ในหุบเขาดุจดังหมู่บ้านในเทพนิยาย โดยความงดงามของหมู่บ้านมรดกโลกแห่งนี้ จะเปลี่ยนผันไปตามฤดูกาล คือ

-ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) : เป็นช่วงฤดูแห่งความสดใสเบิกบาน เพราะเต็มไปด้วยมวลหมู่ใบไม้ดอกไม้ที่ผลิบาน โดยเฉพาะดอกซากุระที่จะบานในช่วงสั้น ๆ ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ในช่วงเดือนเมษายน ใครที่ไปเยือนชิราคาวาโกะช่วงนี้จะได้พบกับภาพของหมู่บ้านมรดกโลกที่มีสีชมพูของดอกซากุระแทรกแซมดูความสวยงามโรแมนติกไม่น้อย

-ฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) : ชิราคาวาโกะจะดูสวยสดชื่นเขียวขจีจากต้นไม้ใบหญ้าและท้องทุ่งนา รวมถึงต้นข้าวที่ออกรวงเหลืองทอง ประดับตกแต่งหมู่บ้านชิราคาวาโกะ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีการฉีดน้ำขึ้นไปบนหลังคาบ้านเพื่อเพิ่มความเย็นให้กับตัวบ้านอันถือเป็นอีกหนึ่งภาพประทับใจของหมู่บ้านแห่งนี้
สีสันชิราคาวาโกะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง
-ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) : ถือเป็นฤดูแห่งสีสันคัลเลอร์ฟูล เพราะช่วงนี้ต้นไม้ใบหญ้าต่างเปลี่ยนสีจากเขียวเป็น แดง ส้ม เหลือง ย้อมประดับหมู่บ้านชิราคาวาโกะให้ดูสวยงามน่าประทับใจ ท่ามกลางฉากหลังแห่งขุนเขาแวดล้อมที่ก็กำลังเปลี่ยนสีไปตามฤดูกาลด้วยเช่นกัน

-ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) : ฤดูนี้แม้จะมีหิมะตกหนักและอากาศหนาวเหน็บเสียดแทงไปถึงกระดูก แต่ถือเป็นฤดูไฮไลท์ทางการท่องเที่ยวของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ กับภาพบรรยากาศของหมู่บ้านกลางหุบเขาที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะปกคลุมหนาทึบ ดูงดงามตราตรึง

นอกจากนี้ในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. ของทุกปีที่นี่ยังมีเทศกาล Shirakawa-Go-Light Up ซึ่งเป็นเทศกาลประดับไฟฤดูหนาวยามราตรี ที่ช่วยแต่งเติมสีสันให้หมู่บ้านชิราคาวาโกะดูงดงามดุจดังหมู่บ้านในเทพนิยาย และ เป็นที่ถวิลหาของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก

เดินทอดน่องท่องชิราคาวาโกะ
บรรยากาศหมู่บ้านชิราคาวาโกะยุคนี้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการท่องเที่ยว
จากหมู่บ้านชาวนาชุมชนเกษตรกรรมอันสงบงาม วันนี้ชื่อเสียงความงดงามและความโด่งดังของหมู่บ้านมรดกโลกแห่งนี้ ส่งผลให้ชิราคาวาโกะเปลี่ยนบทบาทเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ(แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอันดีเยี่ยม)

บ้านกัสโซซึคุริหลาย ๆ ครั้ง ถูกปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอย ทำเป็น ที่พัก เกสต์เฮาส์ โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของฝาก ของที่ระลึก นอกจากนี้ก็ยังมีบางส่วนเปิดบ้านเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเรียนรู้ ทำความรู้จักกับรูปแบบของบ้านกัสโซซึคุริแบบเจาะลึก
ชิราคาวาโกะ มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวกันกันไม่สร่างซาในแต่ละวัน
ขณะที่อีกหลาย ๆ บ้านที่มีคนอยู่อาศัยก็เลือกที่จะปิดบ้าน ขออยู่อย่างสงบเป็นส่วนตัว(นักท่องเที่ยวห้ามไปรบกวน) ถือเป็นความแตกต่างของชาวบ้านชิราคาวาโกะ ซึ่งชาวบ้านแต่ละคนต่างเลือกดำรงวิถีไปตามโลกที่เปลี่ยนไป ท่ามกลางบรรยากาศของหมู่บ้านมรดกโลกที่ชาวชุมชนได้ผสมผสานระหว่างวิถีชีวิตวัฒนธรรมดั้งเดิมกับวิถีความร่วมสมัยเข้าไว้ได้อย่างกลมกลืนลงตัว
ร้านขายของที่ระลึก ในรูปแบบสถาปัตยกรรมบ้านกัสโซซึคุริ
สำหรับผู้ที่มาเยือนชิราคาวาโกะ หากมีเวลาก่อนที่จะออกเดินทัวร์หมู่บ้าน ผมขอแนะนำให้ไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว แล้วขอแผนที่ของหมู่บ้านแห่งนี้(มีภาษาไทยให้ด้วย) เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบในการเดินชมหมู่บ้าน ซึ่งนอกจากจะทำให้ไม่หลงแล้ว ยังสามารถพุ่งเป้าไปยังจุดหมายนั้น ๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

อ้อ! แล้วก็อย่าลืมอ่านกฎ กติกา มารยาท ในการทัวร์หมู่บ้านแห่งนี้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องการทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทางนี่ พี่ไทยเราขึ้นชื่อในระดับตัวทอป ถึงขนาดทางต้องมีการติดป้ายภาษาไทยกำกับกันไว้เลยทีเดียว
อาคารกลางนา กับสถาปัตยกรรมแบบกัสโซซึคุริ
ชิราคาวาโกะแม้จะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ กลางหุบเขา แต่ก็มีมากมายหลายสิ่งให้เที่ยวชม โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบด้านสถาปัตยกรรมและวิถีวัฒนธรรมนั้น ที่นี่มีอะไรให้เดินดูและศึกษากันได้เป็นวัน ๆ

ส่วนนักท่องเที่ยวทั่วไป หรือผู้ที่ไปกับทัวร์ที่มีเวลาจำกัด ที่นี่ก็มีไฮไลท์เด่น ๆ ให้เลือกเที่ยวชมกัน ในบรรยากาศหมู่บ้านชนบทอันทรงเสน่ห์ของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น

-วัดเมียวเซนจิ วัดเก่าแก่ประจำหมู่บ้านอายุร่วม 200 ปี มีความแตกต่างจาวกัดทั่วไปตรงที่เป็นวัดที่ก่อสร้างด้วยสไตล์กัสโซซึคุริ(เหมือนบ้านของชาวบ้านที่นี่) นอกจากบรรยากาศของวัดอันสงบร่มรื่นแล้ว ยังมีพื้นที่บางส่วนเปิดให้ผู้สนใจเข้าเที่ยวชมในรูปแบบพิพิธภัณฑ์
แม่น้ำโชคาวะ เส้นเลือดหลักของชาวชิราคาวาโกะ(มองจากจุดชมวิวหิน 3 ก้อน)
-จุดชมวิวแม่น้ำโชคาวะเส้นเลือดหลักของที่นี่ที่มีทั้งจุดชมริมตลิ่งบริเวณก้อนหิน 3 ก้อน และจุดชมวิวบริเวณสะพานแขวนที่มีความยาวประมาณ 100 เมตร สร้างทอดข้ามแม่น้ำสายนี้ ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปที่สะพานแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก

-บ้านวาดาเกะ หรือ พิพิธภัณฑ์บ้านวาดะ(Wada House) อดีตบ้านของหนึ่งในตระกูลผู้มั่งคั่งและเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการบริหารหมู่บ้านชิราวาโกะ พิพิธภัณฑ์เป็นบ้านกัสโซซึคุริอันโอ่อ่าหรูหรา มีขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน มี 3 ชั้น แบ่งเป็นห้องต่าง ๆ เช่น ห้องนอน ห้องสำหรับครอบครัว ห้องรับแขกสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ ห้องบูชาพระ เป็นต้น
พิพิธภัณฑ์บ้านคันดะ(Kanda House)
-พิพิธภัณฑ์บ้านคันดะ(Kanda House) บ้านกัสโซซึคุริโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ให้คงอยู่ในสภาพเดิม พร้อมกับบรรยากาศแบบเดิม ๆ เป็นบ้านขนาดใหญ่ มีทั้ง 4 ชั้นด้วยกัน

ชั้นล่าง เป็นโถงรับแขก มีเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์พร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่หนุ่มมาดเท่ผู้เปี่ยมไปด้วยอัธยาศัยไมตรี มีมุมจิบน้ำชาสำหรับนักท่องเที่ยว ส่วนติด ๆ กันเป็นห้องครอบครัว มีเตาไฟโบราณตั้งเด่นอยู่กลางบ้าน กำลังต้มน้ำร้อนเดือดกรุ่นเอาไว้ชงบริการนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ก็ยังมีส่วนพื้นชั้นล่างที่เปิดเป็นช่องสู่ใต้ถุน(ดิน) ทำไว้สำหรับเก็บพืชผลทางการเกษตร
เตาไฟโบราณ กลางบ้านคันดะ
ต่อจากนั้นจะมีบันไดไม้ที่แคบและชันนำสู่ชั้น 2,3,4 (เวลาเดินขึ้น-ลง ต้องระมัดระวังให้ดี) ที่จัดแสดงอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของชาวบ้านในอดีต

นอกจากนี้ภายในบ้านเรายังได้เห็นถึงโครงสร้าง และรูปแบบการก่อสร้างบ้านกัสโซซึคุริ ซึ่งนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาในการก่อสร้างแล้ว ฝีมือการก่อสร้างของช่างชาวญี่ปุ่นนั้นก็เนี้ยบนิ้งน่าดูชมเป็นอย่างยิ่ง
บรรยากาศหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ในฤดูใบไม้ร่วง(มองจากจุดชวิวชิโรยามา)
-จุดชมวิวชิโรยามา(Shiroyama) ถือเป็นจุดท่องเที่ยวไฮไลท์สำคัญของหมู่บ้านแห่งนี้ ที่หากใครมาแล้วไม่ได้ขึ้นไปชมวิวหมู่บ้านที่นี่ก็เหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงหมู่บ้านชิราคาวาโกะโดยสมบูรณ์

จุดชมวิวชิโรยามาตั้งอยู่บนเนินเขา มีทั้งเส้นทางเดิน(ฟรี)และเส้นทางนั่งชัตเติ้ลบัส(เสียเงิน)ขึ้นไป จากบนนี้เมื่อมองลงไปจะเห็นภาพของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ที่นี่มีทั้งบ้านกัสโซซึคุริหลังคาทรงสามเหลี่ยมแหลมโดดเด่น กับบ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่นร่วมสมัยที่สรร้างอยู่ร่วมกันอย่างผสมกลมกลืน ท่ามกลางขุนเขาแวดล้อมดูสวยงามกว้างไกล
เส้นทางเดินขึ้นเนินสู่จุดชมวิวชิโรยามา
สำหรับผมภาพของบ้านกัสโซซึคุริแห่งหมู่บ้านชิราคาวาโกะ นอกจากจะตั้งเด่นทระนงดูทรงเสน่ห์แล้ว ภาพของหลังคาสามเหลี่ยมแหลมที่ดูคล้ายการพนมมือไหว้นั้น มันทำให้ผมอดคิดไปถึงการพนมมือไหว้คารวะต่อธรรมชาติผู้ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ

วันนี้แม้โลกจะเจริญก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีจะรุดหน้าก้าวล้ำไปไกล แต่สุดท้ายมนุษย์ก็ยังคงพ่ายแพ้ต่อธรรมชาติอยู่ดี
ชิราคาวาโกะ หมู่บ้านในเทพนิยายกับสถาปัตยกรรมแบบกัสโซซึคุริอันงดงามเป็นเอกลักษณ์
.....................................................................................................

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ตั้งอยู่ที่ เขตโอโนะ จ.กิฟุ ภูมิภาคชูบุ ประเทศญี่ปุ่น เปิดให้เที่ยวชมทุกวัน เวลา 09.00-17.00 น.

ทั้งนี้ทางหมู่บ้านได้ขอความร่วมมือสำหรับนักท่องเที่ยว ดังนี้ กรุณาสูบบุหรี่ในพื้นที่ที่จัดไว้ให้, พื้นที่ทั้งหมดในหมู่บ้านเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล หลายบ้านไม่เปิดรับนักท่องเที่ยว ดังนั้นกรุณาอย่าเข้าไปในบริเวณบ้านและสวน, เนื่องจากหมู่บ้านเป็นพื้นที่อนุรักษ์ จึงไม่มีรั้วที่ถนนและท่อ ดังนั้นกรุณาเดินด้วยความระมัดระวัง, ในหมู่บ้านไม่มีถังขยะ นักท่องเที่ยวต้องนำขยะกลับไปทิ้งข้างนอก

การเดินทาง มีรถบัสสาธารณะวิ่งบริการระหว่างหมู่บ้านสู่สถานีต่าง ๆ อาทิ คานาซาวา(Kanazawa),ทาคายามา(Takayama), นาโกยา(Nagoya) และ กิฟุ(Gifu)

นอกจากนี้ยังมีบริการ “บัตรพาสรถบัสด่วน โชริวโด” ซึ่งเป็นแพกเกจบัตรโดยสารรถบัสด่วนและรถบัสปกติสำหรับนักท่องเที่ยวแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง ที่มีความคุ้มค่าตอนการเดินทางเป็นอย่างมาก เพราะสามารถช่วยลดราคาตั๋วโดยสารจากราคาปกติได้มากถึง 48-52% คลิกอ่านเพิ่มเติมที่ เที่ยวญี่ปุ่นสุดคุ้มค่า ด้วย“บัตรพาสฯโชริวโด” ลดสูงสุดกว่า 50 %

หมายเหตุ : เทศกาล Shirakawa-Go-Light Up ปีนี้(2562) จัดขึ้น 6 วัน ได้แก่ 14,20,27 มกราคม และ 3,11,17 กุมภาพันธ์ เวลา 17.30-19.30 น.
....................................................................................................

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager


กำลังโหลดความคิดเห็น