โดย : ปิ่น บุตรี (pinn109@hotmail.com)
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน

แต๊กๆๆๆๆๆ...
ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้งชื่อ“รถอีแต๊ก”
รู้แต่ว่ารถชนิดนี้เป็นเพศเมีย และชื่อของมันช่างสะท้อนตัวตนบนความเป็นอีแต๊กได้เป็นอย่างดี เพราะเวลาที่มันแล่นควบตะบึงไปบนท้องถนน เสียงเครื่องยนต์ที่คำรามดัง“แต๊ก ๆๆๆ”นั้น ย่อมไม่เหมาะที่จะเรียกว่า รถอีแต๋น รถอีต็อก รถไอ้ติ๊ก หรือ รถลุงตู่ ด้วยประการทั้งปวง
วันนี้รถอีแต๊กนอกจากจะถูกใช้วิ่งงานด้านการเกษตรตามจุดประสงค์หลักแล้ว ในหลายพื้นที่ยังนำรถอีแต๊กมาวิ่งรับ-ส่ง นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวชุมชนบนภูบนดอยต่าง ๆ

เนื่องจากสมรรถนะของรถอีแต๊กมันสามารถบุกตะลุยไปได้(เกือบ)ทุกสภาพถนน แม้เส้นทางสมบุกสมบัน คดเคี้ยวสูงชัน บุกป่าฝ่าดง มันก็สามารถลุยไต่ขึ้นไปได้อย่างช้า ๆ แต่ทว่า...มั่นคง
ไม่เว้นแม้แต่บนถนนสายคอร์รัปชั่นที่(พวกมัน)โกงกินกันสะบั้นหั่นแหลกจนเป็นหลุมเป็นบ่อ ผุ ๆ พัง ๆ รถอีแต๊กก็สามารถวิ่งฟันฝ่าเหยียบย่ำไปบนเชื้อชั่วไม่ยอมตายได้อย่างไม่สะทกสะท้าน

สำหรับจังหวัด“เลย” ดินแดนแห่งทะเลภูเขาอันสวยงามนั้น วันนี้มีการนำรถอีแต๊กมาเป็นพาหนะ วิ่งรับ-ส่ง นักท่องเที่ยวสู่จุดหมายปลายทางกันเป็นจำนวนมาก
และนี่ก็คือ 8 แหล่งท่องเที่ยวประเภทภูรุ่นใหม่ในจังหวัดเลย(อายุไล่เรียงตั้งแต่ราว 5-6 ปีขึ้นมา) ที่นอกจากจะสวยทุกที่ มีดีทุกภูแล้ว ก็ยังมีรถอีแต๊กให้นั่งขึ้นไปพิชิตยอดภูกันอย่างสนุกเพลิดเพลิน และหัวสั่นหัวคลอนกระเด้งกระดอนไปตาม ๆ กัน
ภูป่าเปาะ

“ภูป่าเปาะ” ตั้งอยู่ที่บ้านผาหวาย ต.ปวนพุ อ.หนองหิน ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูค้อ-ภูกระแต ถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการนั่งรถอีแต๊กขึ้นเที่ยวชมภูของจังหวัดเลย
ภูป่าเปาะ ตั้งอยู่บนความสูงประมาณ 900 เมตร จากระดับน้ำทะเล บนนี้มีจุดชมวิวอยู่ 4 จุดหลัก ๆ ด้วยกัน สามารถชมทัศนียภาพได้รอบทิศทาง ทั้งวิวพระอาทิตย์ขึ้น ท้องทุ่งนาในมุมสูง และวิวขุนเขาอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ภูหลวง ภูกระดึง ภูผาจิต ภูผาม่าน สวนหินผางาม และ“ภูหอ” ซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญของที่นี่

ภูหอมีลักษณะเป็นภูเขายอดแหลมหัวตัดดูสวยงามเป็นเอกลักษณ์ จนหลาย ๆ คนจินตนาการ(ไปไกล) เปรียบภูหอเป็นดังภูเขาไฟฟูจิของประเทศญี่ปุ่น พร้อมกับยกภูหอให้เป็นดัง “ฟูจิเมืองเลย”
ขณะที่ภูป่าเปาะนั้นก็ได้รับฉายาว่า “ภูป่าเปาะ จุดชมวิวฟูจิเมืองเลย” ซึ่งก็คือภูหอนั่นเอง แต่กระนั้นก็ยังมีหลาย ๆ คนเข้าใจผิดคิดว่าภูป่าเปาะคือฟูจิเมืองเลย

อย่างไรก็ดีสำหรับภูหอแล้ว ขุนเขาลูกนี้นับว่ามีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของตัวเอง ดังนั้นการนำภูหอไปเปรียบเทียบกับภูเขาไฟฟูจิของประเทศญี่ปุ่นนั้น ปัจจุบันถือเป็นเรื่องเชยและล้าสมัยไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยที่“ไม่เท่”ด้วยประการทั้งปวง
ภูบ่อบิด

“ภูบ่อบิด” เป็นภูเขาอันโดดเด่นในตัวเมืองเลย ตั้งอยู่พื้นที่วน“อุทยานภูบ่อบิด” ต.ชัยพฤกษ์ อ.เมือง ภูบ่อบิดมีเส้นทางให้ขึ้นไปพิชิตยอดได้ 2 เส้นทาง คือ“เส้นทางเหนื่อยมาก” ซึ่งต้องเดินขึ้นบันไดสูงชันเลาะเลียบเขานับร้อยขั้นขึ้นไป และ“เส้นทางเหนื่อยน้อย” เนื่องจากมีรถอีแต๊กชุมชนวิ่งบริการไปจอดให้เดินขึ้น(บันได)ภูไปอีกไม่ไกล

ยอดภูบ่อบิดมีความสูง 514 เมตร จากระดับน้ำทะเล บนนี้มีการสร้างระเบียงริมผาไว้ให้ชมวิวทิวทัศน์กันทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก สามารถชมวิวสวย ๆ งาม ๆ ได้ทั้งยามพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก
รวมไปถึงเป็นจุดชม“ดาวบนดิน” ซึ่งก็คือแสงไฟจากบ้านเรือนและท้องถนนในตัวเมืองเลยที่ส่องแสงระยิบระยับ ในช่วงเช้ามืดและช่วงหัวค่ำของทุก ๆ วัน(ต้องลงจากยอดภูก่อน 19.30 น.)

นอกจากนี้ในยามเช้าตรู่ของวันที่ฟ้าเป็นใจ บนยอดภูบ่อบิดสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ดวงกลมโตเป็นไข่แดง ลอยทะลุโผล่ออกมาจากม่านขุนเขา คลอเคล้าไปด้วยทะเลหมอกขาวโพลนลอยอ้อยอิ่งท่ามกลางขุนเขาน้อย-ใหญ่ ดูสวยงามตราตรึงเป็นยิ่งนัก
ภูบักได

“ภูบักได” หรือ “ผาหลอกลวง” หรือ “ผาขี้ตั๋ว” ในภาษาอีสาน โดยผาที่ว่านี้ อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง บริหารจัดการโดยชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนปลาบ่า ต.ปลาบ่า อ.ภูเรือ

สำหรับจุดเด่นของภูบักได หรือผาหลอกลวงนี้ก็คือเป็นก้อนหินแบนๆ ยื่นออกมากลางอากาศ นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปยืนถ่ายรูปบนหินนั้น แล้วทำให้ดูเหมือนว่าช่างเป็นจุดชมวิวที่น่าหวาดเสียว น่ากลัวจะตกลงไป แต่ที่จริงแล้วหินก้อนนั้นอยู่สูงจากพื้นไม่กี่เมตร ตกลงไปอาจจะมีกลิ้งเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับตกเขาแน่นอน จึงได้ชื่อว่า “ผาหลอกลวง” นั่นเอง

การจะไปภูบักไดนี้ไม่ง่ายนัก เพราะต้องเดินทางไปด้วยรถอีแต๊ก 8 กิโลเมตร และเดินเท้าอีก 4 กิโลเมตร รวม 12 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ดีเส้นทางแม้จะไกลและเหนื่อย แต่ว่าก็แสนจะคุ้มค่าเมื่อมาถึงยังภูบักได ผาหลอกลวงอันลือลั่นของเมืองเลย
ภูลำดวน

"ภูลำดวน" เป็นจุดชมวิวน้องใหม่ของอำเภอปากชม อีกหนึ่งอำเภอชายแดนริมแม่น้ำโขงอันสงบงามของจังหวัดเลย
เดิมภูแห่งนี้ชาวบ้านเรียกขานกันว่า "ภูซำทอง" เพราะมีห้วยซำทองไหลผ่านใกล้ๆ อีกทั้งเมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดของชาวบ้าน แต่ต่อมาได้อนุญาตให้ใช้พื้นที่นี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยเปิดให้เป็นจุดชมวิวแห่งใหม่ของปากชม

สำหรับการขึ้นไปบนยอดภูลำดวนนั้นต้องนั่งรถอีแต๊กบริการของชุมชนฝ่าถนนดินลูกรังอันสูงชันขึ้นไปสูยอดเขา บนนั้นสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของโค้งแม่น้ำโขงได้อย่างสวยงาม จึงตั้งชื่อใหม่ให้จุดชมวิวแห่งนี้ว่า "ภูลำดวน" ตามชื่อของเจ้าของที่ดินแห่งนี้
ทิวทัศน์บนภูลำดวนนั้นสามารถชมวิวได้แบบ 360 องศา ด้านหน้ามองเห็นแม่น้ำโขงช่วงโค้งน้ำพอดี มีเกาะแก่งน้อยใหญ่อยู่กลางน้ำ มองเห็นบ้านเรือนของตัวอำเภอปากชมอยู่ทางขวามือ และเห็นบ้านเรือนของพี่น้องชาวลาวทางฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำโขง และเมื่อหันมามองทางซ้ายมือ ทางฝั่งไทยจะเห็นบ้านเรือนของบ้านคกไผ่ ของอำเภอปากชมเช่นกัน บริเวณนี้มีร้านอาหารริมแม่น้ำโขงให้บริการหลายร้าน

ปัจจุบันภูลำดวนมีไฮไลท์สำคัญ คือ “สกายวอล์ก” เป็นสะพานทางเดินชมวิวริมภูที่สร้างด้วยไม้ ยาวประมาณ 200 เมตรทอดยาว ทำให้ได้เห็นมุมมองของธรรมชาติในมุมสูงหันไปมองได้รอบตัว 360 องศา ดูสวยงามและมีเสน่ห์ไม่น้อย
ภูค้อ

“ภูค้อ” หรือ “ภูเป้ง” (ตั้งชื่อตามต้นค้อและต้นเป้งในอดีตพบเจอต้นไม้ 2 ชนิดนี้อยู่เป็นจำนวนมาก) เป็นส่วนหนึ่งของป่าชุมชนบ้านบุ่ง ต.นาแห้ว อ.นาแห้ว ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านได้จัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่ง พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว
สำหรับการขึ้นสู่ยอดภูค้อนั้นต้องใช้บริการรถอีแต๊กของชุมชน นั่งขึ้นเขาผ่านท้องนาท้องไร่ประมาณ 30 นาที - 1 ชม.(ตามระยะทางใกล้-ไกลของจุดพักแรมบนยอดภู)

ยอดภูค้อมีความสูงประมาณ 855 เมตรจากระดับน้ำทะเล ปัจจุบันมีจุดชมวิวหลักอยู่ 3 จุดด้วยกัน นำโดยจุดชมวิว “จุดที่ 3 ภูค้อ” ซึ่งมีการปรับปรุงพื้นที่เป็นลานกางเต็นท์ ดูดาว และแคมป์ปิ้งท่ามกลางบรรยากาศแห่งป่าไพร (นักท่องเที่ยวสามารถแจ้งล่วงหน้าให้ชุมชนบ้านบุ่งจัดเตรียมอาหารขึ้นไปบริการบนนี้ได้)

บนจุดที่ 3 ภูค้อ เมื่อมองลงไปจะเห็นวิวทิวทัศน์อันกว้างไกลของ อ.นาแห้ว และ เมืองแก่นท้าว แขวงไชยะบุลี แห่ง สปป.ลาว โดยมีแม่น้ำเหืองไหลผ่านเป็นพรมแดนระหง่างไทย-ลาว
นอกจากนี้บนจุดที่ 3 ภูค้อ ยังมีการทำระเบียงชมวิวให้นักท่องเที่ยวเฝ้ารอชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก ที่จะค่อย ๆ ก่อตัวลอยไหลตามร่องเขามารวมกันเป็นทะเลหมอกอันหนาตา โดยเฉพาะยามที่สายหมอกได้ค่อย ๆ ไหลลอยอ้อยอิ่งเปลี่ยนรูปร่างไปตามแรงลมที่พัดพานั้น มันดูปานประหนึ่งมีชีวิต จนหลาย ๆ คน ยกให้เป็น“ทะเลหมอกมีชีวิต”อันงดงามน่าประทับใจกระไรปานนั้น
ภูอีเลิศ

“ภูอีเลิศ” ตั้งอยู่ในเขตป่าชุมชนบ้านปากหมัน(ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าภูเปือย ภูขี้เถ้า และภูเรือ) ต.ปากหมัน อ.ด่านซ้าย บนผืนป่าที่มีความหลากหลาย ไล่เรียงจากต่ำไปสูง คือ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง และป่าริมหน้าผาที่พืชพรรณมีลักษณะเฉพาะตัว
ปัจจุบันการท่องเที่ยวภูอีเลิศมีการบริหารจัดการโดยชุมชนที่ค่อนข้างเป็นระบบ แบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ ชัดเจน บนยอดภูอีเลิศนักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถอีแต๊กของชุมชนขึ้นไปกางเต็นท์ ค้างแรม และแคมป์ปิ้งท่ามกลางบรรยากาศแห่งป่าดงพงไพร(แต่ต้องแจ้งทางชุมชนล่วงหน้าเพื่อจัดเตรียมรถ อาหาร รวมถึงสิ่งจำเป็นอื่น ๆ)

ยอดภูอีเลิศมีความสูง 620 เมตร จากระดับน้ำทะเล มีจุดชมวิวหลัก ๆ อยู่ 3 จุดตั้งอยู่ทางฝั่งทิศตะวันตกของภู ได้แก่ จุดชมวิวผาบักเกิด ผาอีเลิศ และ“แกรนด์แคนยอนภูอีเลิศ”ที่ชื่ออาจฟังไม่ค่อยเข้าพวกเท่าไหร่
สำหรับจุดชมวิวผาบักเกิด-ผาอีเลิศนั้น มาพร้อมกับตำนานเรื่องราวความรักของผู้ชายเจ้าชู้กับหญิงสาวผู้ยึดมั่นในความรัก ระหว่างผู้บ่าว-“บักเกิด”กับผู้สาว-“อีเลิศ” ที่สุดท้ายแล้วจบลงด้วยโศกนาฏกรรมรักอันแสนเศร้าด้วยการกระโดดหน้าผาตายของทั้งคู่ (อีเลิศกระโดดผาฆ่าตัวตายก่อน ต่อจากนั้นบักเกิดขึ้นมาตามหารู้ว่าอีเลิศฆ่าตัวตาย จึงกระโดดผาฆ่าตัวตายตาม)
ทั้งจุดชมวิวผาบักเกิดและผาอีเลิศ สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามกว้างไกลของ อ.ด่านซ้าย จ.เลย และวิวขุนเขาพรมแดนแห่งสปป.ลาว โดยมีหมู่บ้านกลางร่องหุบเขา ซึ่งในยามที่มีทะเลหมอกลอยเลื่อนไหลผ่านในระหว่างหุบเขานั้น ดูสวยงามและมีเอกลักษณ์เป็นยิ่งนัก

ส่วนจุดชมวิวแกรนด์แคนยอนภูอีเลิศนั้น มีลักษณะเป็นแนวหน้าผารูปร่างแปลกตา(ดูคล้ายหินหัวเต่า) บริเวณนี้สามารถมองย้อนกลับมาเห็นจุดชมวิวผาอีเลิศ และสามารถไปหามุมเก๋ ๆ นั่งชมวิวใต้เพิงผา(ที่เปรียบดังแกรนด์แคนยอน) รวมถึงมีมุมเหล่ามวลหมู่ดอกหญ้า(ตามฤดูกาล) ให้ผู้ที่ชื่นชอบถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลิน
ใครที่ว่าดอกหญ้าริมทางนั้นไร้ค่า หากมาเจอดอกหญ้าที่นี่ บางทีอาจจะลืมดอกไม้ประดับสีสันสวยงามตามห้างสรรพสินค้าไปเลยก็ได้
ภูผักหวาน

ภูผักหวาน ตั้งอยู่ที่บ้านห้วยเดื่อ ต.น้ำทูน อ.ท่าลี่ เดิมชาวบ้านเรียกที่นี่ว่า “ถ้ำหมี” แต่เนื่องจากบนยอดภูมีผักหวานป่าขึ้นอยู่เยอะ นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเลย จึงได้เปลี่ยนชื่อยอดเขาแห่งนี้เป็น “ภูผักหวาน” พร้อมพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนขึ้นมา

บนยอดภูผักหวานมีการสร้างระเบียงชมวิวที่ทำอย่างสวยงาม แข็งแรงมั่นคง บนนั้นนอกจากจะเป็นจุดชมทะเลหมอกยามเช้าอันงดงามแล้ว ยังเป็นจุดชมวิวอันสวยงาม โดยเฉพาะวิวทิวทัศน์ของแนวขุนเขาอันสวยงามกว้างไกลของ อ.ท่าลี่ ที่มีภูผาแง่มเป็นยอดแหลมเด่นขึ้นมา

นอกจากนี้ไม่ไกลจากยอดภูยังเป็นที่ตั้งของ“ถ้ำหมี” หรือ “ถ้ำประวัติศาสตร์” ที่เป็นทางเดินเลาะเลียบใต้เพิงผาอันสวยงาม มีพระพุทธรูป มีภาพเขียนสี(เซาะร่อง)ร่วมสมัย วาดรูปพระพุทธรูปปางต่าง ๆ และสัตว์ในตำนานพุทธประวัติอีกหลากหลาย รวมถึงมีหน้าผาที่ดูคล้าย“หน้ายักษ์” ที่ดูแล้ว“น่าฮัก” ไม่น้อยเลย
ภูชมลาว

ภูชมลาว ตั้งอยู่ที่บ้านนากระเซ็ง ต.อาฮี อ.ท่าลี่ (ไม่ไกลจากภูผักหวาน) เดิมภูแห่งนี้มีชื่อเรียกขานว่า“ภูฮวก” เนื่องจากมี“ไม้ฮวก”หรือ“ไม้รวก”(ไผ่ชนิดหนึ่ง)ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็นชื่อภูชมลาว เพราะบนยอดภูสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของฝั่งไทย-ลาว ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงได้อย่างชัดเจนสวยงามกว้างไกล
ยอดภูชมลาวแม้มีความสูงไม่มาก แค่ประมาณ 440 เมตร จากระดับน้ำทะเล แต่บนนี้ถือเป็นจุดชมวิวชั้นเยี่ยม โดยมีอยู่ 4 จุดหลักด้วยกัน ได้แก่ จุดชมวิว 1,2,3(มีการทำระเบียงไม้ไว้ให้ชมวิวทิวทัศน์กันใน 3 จุดนี้) และจุดชมวิวรวมใจที่สามารถมองเห็นวิวของ 2 แผ่นดิน ไทย-ลาว ได้อย่างชัดเจนสวยงาม

บนยอดภูชมลาวเมื่อมองออกไปนอกจากจะเห็นท้องทุ่งนา ป่าเขา วิวไทย-ลาว แล้ว ยังมีจุดสังเกตเด่น ๆ ให้ชมกันอีกอย่างเช่น พระธาตุสัจจะ(ไทย) ด่านบ้านนากระเซ็ง(ไทย) ภูผาแง่ม(ไทย) แม่น้ำเหือง สะพานมิตรภาพไทยลาว เมืองแก่นท้าว(สปป.ลาว) ภูกะทิ(สปป.ลาว) และ พระธาตุเชียงยืน(สปป.ลาว) เป็นต้น

ปัจจุบันบนยอดภูชมลาวยังไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปค้างแรม เนื่องจากทางชุมชนบ้านนากระเซ็งกำลังอยู่ในขั้นเตรียมการ แต่นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถอีแต๊กจากบ้านนากระเซ็งขึ้นไปชมวิวยามเย็น พระอาทิตย์ตก และวิวยามเช้า ทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น ในวันที่ฟ้าเป็นใจ บนนี้จะมองเห็นทะเลหมอกลอยอ้อยอิ่งสวยงาม เป็นทะเลหมอก 2 แผ่นดิน(ไทย-ลาว)ที่ดูสวยงามน่าตื่นตาน่าประทับใจไม่น้อย

นอกจากนี้ที่ภูชมลาวยังมีความพิเศษตรงที่ ที่นี่จะมีบริการกาแฟขี้ “เห็นอ้ม”หรือกาแฟขี้“ชะมด” โดยชะมดที่นี่มีความพิเศษกว่าที่ไหน ๆ คือเป็นชะมดตัวหอมเพราะมันกินมังสวิรัติ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์อันโดดเด่นของชาวชุมชน โดยจะนำกาแฟไปคั่วชงกันสด ๆ บนยอดภู เสิร์ฟใส่ในแก้วกระบอกไม้ไผ่ ให้นักท่องเที่ยวได้ “จิบกาแฟ(ขี้)เห็นอ้ม ชมวิวไทย-ลาว” กันอย่างน่าอภิรมย์

และนี่ก็คือ 8 แหล่งท่องเที่ยวประเภทภูรุ่นใหม่ในจังหวัดเลย(อายุไล่เรียงตั้งแต่ราว 5-6 ปีขึ้นมา) ที่นอกจากจะสวยทุกที่ มีดีทุกภูแล้ว ก็ยังมีรถอีแต๊กให้นั่งขึ้นไปพิชิตยอดภูกันอย่างสนุกเพลิดเพลิน ชวนให้ผู้มาเยือนเกิดความรู้สึก "รักเลย หลงเลย"
...ชนิดที่ยากจะลืมเลือน
....................................................................................................
สอบถามข้อมูลการเที่ยวชมทั้ง 8 ภู รุ่นใหม่ใน จ.เลย ค่าบริการรถอีแต๊ก และข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานเลย (รับผิดชอบพื้นที่ เลย,หนองบัวลำภู) โทร. .0 4281 2812 , 0 4281 1405
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
แต๊กๆๆๆๆๆ...
ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้งชื่อ“รถอีแต๊ก”
รู้แต่ว่ารถชนิดนี้เป็นเพศเมีย และชื่อของมันช่างสะท้อนตัวตนบนความเป็นอีแต๊กได้เป็นอย่างดี เพราะเวลาที่มันแล่นควบตะบึงไปบนท้องถนน เสียงเครื่องยนต์ที่คำรามดัง“แต๊ก ๆๆๆ”นั้น ย่อมไม่เหมาะที่จะเรียกว่า รถอีแต๋น รถอีต็อก รถไอ้ติ๊ก หรือ รถลุงตู่ ด้วยประการทั้งปวง
วันนี้รถอีแต๊กนอกจากจะถูกใช้วิ่งงานด้านการเกษตรตามจุดประสงค์หลักแล้ว ในหลายพื้นที่ยังนำรถอีแต๊กมาวิ่งรับ-ส่ง นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวชุมชนบนภูบนดอยต่าง ๆ
เนื่องจากสมรรถนะของรถอีแต๊กมันสามารถบุกตะลุยไปได้(เกือบ)ทุกสภาพถนน แม้เส้นทางสมบุกสมบัน คดเคี้ยวสูงชัน บุกป่าฝ่าดง มันก็สามารถลุยไต่ขึ้นไปได้อย่างช้า ๆ แต่ทว่า...มั่นคง
ไม่เว้นแม้แต่บนถนนสายคอร์รัปชั่นที่(พวกมัน)โกงกินกันสะบั้นหั่นแหลกจนเป็นหลุมเป็นบ่อ ผุ ๆ พัง ๆ รถอีแต๊กก็สามารถวิ่งฟันฝ่าเหยียบย่ำไปบนเชื้อชั่วไม่ยอมตายได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
สำหรับจังหวัด“เลย” ดินแดนแห่งทะเลภูเขาอันสวยงามนั้น วันนี้มีการนำรถอีแต๊กมาเป็นพาหนะ วิ่งรับ-ส่ง นักท่องเที่ยวสู่จุดหมายปลายทางกันเป็นจำนวนมาก
และนี่ก็คือ 8 แหล่งท่องเที่ยวประเภทภูรุ่นใหม่ในจังหวัดเลย(อายุไล่เรียงตั้งแต่ราว 5-6 ปีขึ้นมา) ที่นอกจากจะสวยทุกที่ มีดีทุกภูแล้ว ก็ยังมีรถอีแต๊กให้นั่งขึ้นไปพิชิตยอดภูกันอย่างสนุกเพลิดเพลิน และหัวสั่นหัวคลอนกระเด้งกระดอนไปตาม ๆ กัน
ภูป่าเปาะ
“ภูป่าเปาะ” ตั้งอยู่ที่บ้านผาหวาย ต.ปวนพุ อ.หนองหิน ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูค้อ-ภูกระแต ถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการนั่งรถอีแต๊กขึ้นเที่ยวชมภูของจังหวัดเลย
ภูป่าเปาะ ตั้งอยู่บนความสูงประมาณ 900 เมตร จากระดับน้ำทะเล บนนี้มีจุดชมวิวอยู่ 4 จุดหลัก ๆ ด้วยกัน สามารถชมทัศนียภาพได้รอบทิศทาง ทั้งวิวพระอาทิตย์ขึ้น ท้องทุ่งนาในมุมสูง และวิวขุนเขาอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ภูหลวง ภูกระดึง ภูผาจิต ภูผาม่าน สวนหินผางาม และ“ภูหอ” ซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญของที่นี่
ภูหอมีลักษณะเป็นภูเขายอดแหลมหัวตัดดูสวยงามเป็นเอกลักษณ์ จนหลาย ๆ คนจินตนาการ(ไปไกล) เปรียบภูหอเป็นดังภูเขาไฟฟูจิของประเทศญี่ปุ่น พร้อมกับยกภูหอให้เป็นดัง “ฟูจิเมืองเลย”
ขณะที่ภูป่าเปาะนั้นก็ได้รับฉายาว่า “ภูป่าเปาะ จุดชมวิวฟูจิเมืองเลย” ซึ่งก็คือภูหอนั่นเอง แต่กระนั้นก็ยังมีหลาย ๆ คนเข้าใจผิดคิดว่าภูป่าเปาะคือฟูจิเมืองเลย
อย่างไรก็ดีสำหรับภูหอแล้ว ขุนเขาลูกนี้นับว่ามีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของตัวเอง ดังนั้นการนำภูหอไปเปรียบเทียบกับภูเขาไฟฟูจิของประเทศญี่ปุ่นนั้น ปัจจุบันถือเป็นเรื่องเชยและล้าสมัยไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยที่“ไม่เท่”ด้วยประการทั้งปวง
ภูบ่อบิด
“ภูบ่อบิด” เป็นภูเขาอันโดดเด่นในตัวเมืองเลย ตั้งอยู่พื้นที่วน“อุทยานภูบ่อบิด” ต.ชัยพฤกษ์ อ.เมือง ภูบ่อบิดมีเส้นทางให้ขึ้นไปพิชิตยอดได้ 2 เส้นทาง คือ“เส้นทางเหนื่อยมาก” ซึ่งต้องเดินขึ้นบันไดสูงชันเลาะเลียบเขานับร้อยขั้นขึ้นไป และ“เส้นทางเหนื่อยน้อย” เนื่องจากมีรถอีแต๊กชุมชนวิ่งบริการไปจอดให้เดินขึ้น(บันได)ภูไปอีกไม่ไกล
ยอดภูบ่อบิดมีความสูง 514 เมตร จากระดับน้ำทะเล บนนี้มีการสร้างระเบียงริมผาไว้ให้ชมวิวทิวทัศน์กันทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก สามารถชมวิวสวย ๆ งาม ๆ ได้ทั้งยามพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก
รวมไปถึงเป็นจุดชม“ดาวบนดิน” ซึ่งก็คือแสงไฟจากบ้านเรือนและท้องถนนในตัวเมืองเลยที่ส่องแสงระยิบระยับ ในช่วงเช้ามืดและช่วงหัวค่ำของทุก ๆ วัน(ต้องลงจากยอดภูก่อน 19.30 น.)
นอกจากนี้ในยามเช้าตรู่ของวันที่ฟ้าเป็นใจ บนยอดภูบ่อบิดสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ดวงกลมโตเป็นไข่แดง ลอยทะลุโผล่ออกมาจากม่านขุนเขา คลอเคล้าไปด้วยทะเลหมอกขาวโพลนลอยอ้อยอิ่งท่ามกลางขุนเขาน้อย-ใหญ่ ดูสวยงามตราตรึงเป็นยิ่งนัก
ภูบักได
“ภูบักได” หรือ “ผาหลอกลวง” หรือ “ผาขี้ตั๋ว” ในภาษาอีสาน โดยผาที่ว่านี้ อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง บริหารจัดการโดยชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนปลาบ่า ต.ปลาบ่า อ.ภูเรือ
สำหรับจุดเด่นของภูบักได หรือผาหลอกลวงนี้ก็คือเป็นก้อนหินแบนๆ ยื่นออกมากลางอากาศ นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปยืนถ่ายรูปบนหินนั้น แล้วทำให้ดูเหมือนว่าช่างเป็นจุดชมวิวที่น่าหวาดเสียว น่ากลัวจะตกลงไป แต่ที่จริงแล้วหินก้อนนั้นอยู่สูงจากพื้นไม่กี่เมตร ตกลงไปอาจจะมีกลิ้งเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับตกเขาแน่นอน จึงได้ชื่อว่า “ผาหลอกลวง” นั่นเอง
การจะไปภูบักไดนี้ไม่ง่ายนัก เพราะต้องเดินทางไปด้วยรถอีแต๊ก 8 กิโลเมตร และเดินเท้าอีก 4 กิโลเมตร รวม 12 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ดีเส้นทางแม้จะไกลและเหนื่อย แต่ว่าก็แสนจะคุ้มค่าเมื่อมาถึงยังภูบักได ผาหลอกลวงอันลือลั่นของเมืองเลย
ภูลำดวน
"ภูลำดวน" เป็นจุดชมวิวน้องใหม่ของอำเภอปากชม อีกหนึ่งอำเภอชายแดนริมแม่น้ำโขงอันสงบงามของจังหวัดเลย
เดิมภูแห่งนี้ชาวบ้านเรียกขานกันว่า "ภูซำทอง" เพราะมีห้วยซำทองไหลผ่านใกล้ๆ อีกทั้งเมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดของชาวบ้าน แต่ต่อมาได้อนุญาตให้ใช้พื้นที่นี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยเปิดให้เป็นจุดชมวิวแห่งใหม่ของปากชม
สำหรับการขึ้นไปบนยอดภูลำดวนนั้นต้องนั่งรถอีแต๊กบริการของชุมชนฝ่าถนนดินลูกรังอันสูงชันขึ้นไปสูยอดเขา บนนั้นสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของโค้งแม่น้ำโขงได้อย่างสวยงาม จึงตั้งชื่อใหม่ให้จุดชมวิวแห่งนี้ว่า "ภูลำดวน" ตามชื่อของเจ้าของที่ดินแห่งนี้
ทิวทัศน์บนภูลำดวนนั้นสามารถชมวิวได้แบบ 360 องศา ด้านหน้ามองเห็นแม่น้ำโขงช่วงโค้งน้ำพอดี มีเกาะแก่งน้อยใหญ่อยู่กลางน้ำ มองเห็นบ้านเรือนของตัวอำเภอปากชมอยู่ทางขวามือ และเห็นบ้านเรือนของพี่น้องชาวลาวทางฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำโขง และเมื่อหันมามองทางซ้ายมือ ทางฝั่งไทยจะเห็นบ้านเรือนของบ้านคกไผ่ ของอำเภอปากชมเช่นกัน บริเวณนี้มีร้านอาหารริมแม่น้ำโขงให้บริการหลายร้าน
ปัจจุบันภูลำดวนมีไฮไลท์สำคัญ คือ “สกายวอล์ก” เป็นสะพานทางเดินชมวิวริมภูที่สร้างด้วยไม้ ยาวประมาณ 200 เมตรทอดยาว ทำให้ได้เห็นมุมมองของธรรมชาติในมุมสูงหันไปมองได้รอบตัว 360 องศา ดูสวยงามและมีเสน่ห์ไม่น้อย
ภูค้อ
“ภูค้อ” หรือ “ภูเป้ง” (ตั้งชื่อตามต้นค้อและต้นเป้งในอดีตพบเจอต้นไม้ 2 ชนิดนี้อยู่เป็นจำนวนมาก) เป็นส่วนหนึ่งของป่าชุมชนบ้านบุ่ง ต.นาแห้ว อ.นาแห้ว ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านได้จัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่ง พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว
สำหรับการขึ้นสู่ยอดภูค้อนั้นต้องใช้บริการรถอีแต๊กของชุมชน นั่งขึ้นเขาผ่านท้องนาท้องไร่ประมาณ 30 นาที - 1 ชม.(ตามระยะทางใกล้-ไกลของจุดพักแรมบนยอดภู)
ยอดภูค้อมีความสูงประมาณ 855 เมตรจากระดับน้ำทะเล ปัจจุบันมีจุดชมวิวหลักอยู่ 3 จุดด้วยกัน นำโดยจุดชมวิว “จุดที่ 3 ภูค้อ” ซึ่งมีการปรับปรุงพื้นที่เป็นลานกางเต็นท์ ดูดาว และแคมป์ปิ้งท่ามกลางบรรยากาศแห่งป่าไพร (นักท่องเที่ยวสามารถแจ้งล่วงหน้าให้ชุมชนบ้านบุ่งจัดเตรียมอาหารขึ้นไปบริการบนนี้ได้)
บนจุดที่ 3 ภูค้อ เมื่อมองลงไปจะเห็นวิวทิวทัศน์อันกว้างไกลของ อ.นาแห้ว และ เมืองแก่นท้าว แขวงไชยะบุลี แห่ง สปป.ลาว โดยมีแม่น้ำเหืองไหลผ่านเป็นพรมแดนระหง่างไทย-ลาว
นอกจากนี้บนจุดที่ 3 ภูค้อ ยังมีการทำระเบียงชมวิวให้นักท่องเที่ยวเฝ้ารอชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก ที่จะค่อย ๆ ก่อตัวลอยไหลตามร่องเขามารวมกันเป็นทะเลหมอกอันหนาตา โดยเฉพาะยามที่สายหมอกได้ค่อย ๆ ไหลลอยอ้อยอิ่งเปลี่ยนรูปร่างไปตามแรงลมที่พัดพานั้น มันดูปานประหนึ่งมีชีวิต จนหลาย ๆ คน ยกให้เป็น“ทะเลหมอกมีชีวิต”อันงดงามน่าประทับใจกระไรปานนั้น
ภูอีเลิศ
“ภูอีเลิศ” ตั้งอยู่ในเขตป่าชุมชนบ้านปากหมัน(ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าภูเปือย ภูขี้เถ้า และภูเรือ) ต.ปากหมัน อ.ด่านซ้าย บนผืนป่าที่มีความหลากหลาย ไล่เรียงจากต่ำไปสูง คือ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง และป่าริมหน้าผาที่พืชพรรณมีลักษณะเฉพาะตัว
ปัจจุบันการท่องเที่ยวภูอีเลิศมีการบริหารจัดการโดยชุมชนที่ค่อนข้างเป็นระบบ แบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ ชัดเจน บนยอดภูอีเลิศนักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถอีแต๊กของชุมชนขึ้นไปกางเต็นท์ ค้างแรม และแคมป์ปิ้งท่ามกลางบรรยากาศแห่งป่าดงพงไพร(แต่ต้องแจ้งทางชุมชนล่วงหน้าเพื่อจัดเตรียมรถ อาหาร รวมถึงสิ่งจำเป็นอื่น ๆ)
ยอดภูอีเลิศมีความสูง 620 เมตร จากระดับน้ำทะเล มีจุดชมวิวหลัก ๆ อยู่ 3 จุดตั้งอยู่ทางฝั่งทิศตะวันตกของภู ได้แก่ จุดชมวิวผาบักเกิด ผาอีเลิศ และ“แกรนด์แคนยอนภูอีเลิศ”ที่ชื่ออาจฟังไม่ค่อยเข้าพวกเท่าไหร่
สำหรับจุดชมวิวผาบักเกิด-ผาอีเลิศนั้น มาพร้อมกับตำนานเรื่องราวความรักของผู้ชายเจ้าชู้กับหญิงสาวผู้ยึดมั่นในความรัก ระหว่างผู้บ่าว-“บักเกิด”กับผู้สาว-“อีเลิศ” ที่สุดท้ายแล้วจบลงด้วยโศกนาฏกรรมรักอันแสนเศร้าด้วยการกระโดดหน้าผาตายของทั้งคู่ (อีเลิศกระโดดผาฆ่าตัวตายก่อน ต่อจากนั้นบักเกิดขึ้นมาตามหารู้ว่าอีเลิศฆ่าตัวตาย จึงกระโดดผาฆ่าตัวตายตาม)
ทั้งจุดชมวิวผาบักเกิดและผาอีเลิศ สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามกว้างไกลของ อ.ด่านซ้าย จ.เลย และวิวขุนเขาพรมแดนแห่งสปป.ลาว โดยมีหมู่บ้านกลางร่องหุบเขา ซึ่งในยามที่มีทะเลหมอกลอยเลื่อนไหลผ่านในระหว่างหุบเขานั้น ดูสวยงามและมีเอกลักษณ์เป็นยิ่งนัก
ส่วนจุดชมวิวแกรนด์แคนยอนภูอีเลิศนั้น มีลักษณะเป็นแนวหน้าผารูปร่างแปลกตา(ดูคล้ายหินหัวเต่า) บริเวณนี้สามารถมองย้อนกลับมาเห็นจุดชมวิวผาอีเลิศ และสามารถไปหามุมเก๋ ๆ นั่งชมวิวใต้เพิงผา(ที่เปรียบดังแกรนด์แคนยอน) รวมถึงมีมุมเหล่ามวลหมู่ดอกหญ้า(ตามฤดูกาล) ให้ผู้ที่ชื่นชอบถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลิน
ใครที่ว่าดอกหญ้าริมทางนั้นไร้ค่า หากมาเจอดอกหญ้าที่นี่ บางทีอาจจะลืมดอกไม้ประดับสีสันสวยงามตามห้างสรรพสินค้าไปเลยก็ได้
ภูผักหวาน
ภูผักหวาน ตั้งอยู่ที่บ้านห้วยเดื่อ ต.น้ำทูน อ.ท่าลี่ เดิมชาวบ้านเรียกที่นี่ว่า “ถ้ำหมี” แต่เนื่องจากบนยอดภูมีผักหวานป่าขึ้นอยู่เยอะ นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเลย จึงได้เปลี่ยนชื่อยอดเขาแห่งนี้เป็น “ภูผักหวาน” พร้อมพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนขึ้นมา
บนยอดภูผักหวานมีการสร้างระเบียงชมวิวที่ทำอย่างสวยงาม แข็งแรงมั่นคง บนนั้นนอกจากจะเป็นจุดชมทะเลหมอกยามเช้าอันงดงามแล้ว ยังเป็นจุดชมวิวอันสวยงาม โดยเฉพาะวิวทิวทัศน์ของแนวขุนเขาอันสวยงามกว้างไกลของ อ.ท่าลี่ ที่มีภูผาแง่มเป็นยอดแหลมเด่นขึ้นมา
นอกจากนี้ไม่ไกลจากยอดภูยังเป็นที่ตั้งของ“ถ้ำหมี” หรือ “ถ้ำประวัติศาสตร์” ที่เป็นทางเดินเลาะเลียบใต้เพิงผาอันสวยงาม มีพระพุทธรูป มีภาพเขียนสี(เซาะร่อง)ร่วมสมัย วาดรูปพระพุทธรูปปางต่าง ๆ และสัตว์ในตำนานพุทธประวัติอีกหลากหลาย รวมถึงมีหน้าผาที่ดูคล้าย“หน้ายักษ์” ที่ดูแล้ว“น่าฮัก” ไม่น้อยเลย
ภูชมลาว
ภูชมลาว ตั้งอยู่ที่บ้านนากระเซ็ง ต.อาฮี อ.ท่าลี่ (ไม่ไกลจากภูผักหวาน) เดิมภูแห่งนี้มีชื่อเรียกขานว่า“ภูฮวก” เนื่องจากมี“ไม้ฮวก”หรือ“ไม้รวก”(ไผ่ชนิดหนึ่ง)ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็นชื่อภูชมลาว เพราะบนยอดภูสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของฝั่งไทย-ลาว ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงได้อย่างชัดเจนสวยงามกว้างไกล
ยอดภูชมลาวแม้มีความสูงไม่มาก แค่ประมาณ 440 เมตร จากระดับน้ำทะเล แต่บนนี้ถือเป็นจุดชมวิวชั้นเยี่ยม โดยมีอยู่ 4 จุดหลักด้วยกัน ได้แก่ จุดชมวิว 1,2,3(มีการทำระเบียงไม้ไว้ให้ชมวิวทิวทัศน์กันใน 3 จุดนี้) และจุดชมวิวรวมใจที่สามารถมองเห็นวิวของ 2 แผ่นดิน ไทย-ลาว ได้อย่างชัดเจนสวยงาม
บนยอดภูชมลาวเมื่อมองออกไปนอกจากจะเห็นท้องทุ่งนา ป่าเขา วิวไทย-ลาว แล้ว ยังมีจุดสังเกตเด่น ๆ ให้ชมกันอีกอย่างเช่น พระธาตุสัจจะ(ไทย) ด่านบ้านนากระเซ็ง(ไทย) ภูผาแง่ม(ไทย) แม่น้ำเหือง สะพานมิตรภาพไทยลาว เมืองแก่นท้าว(สปป.ลาว) ภูกะทิ(สปป.ลาว) และ พระธาตุเชียงยืน(สปป.ลาว) เป็นต้น
ปัจจุบันบนยอดภูชมลาวยังไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปค้างแรม เนื่องจากทางชุมชนบ้านนากระเซ็งกำลังอยู่ในขั้นเตรียมการ แต่นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถอีแต๊กจากบ้านนากระเซ็งขึ้นไปชมวิวยามเย็น พระอาทิตย์ตก และวิวยามเช้า ทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น ในวันที่ฟ้าเป็นใจ บนนี้จะมองเห็นทะเลหมอกลอยอ้อยอิ่งสวยงาม เป็นทะเลหมอก 2 แผ่นดิน(ไทย-ลาว)ที่ดูสวยงามน่าตื่นตาน่าประทับใจไม่น้อย
นอกจากนี้ที่ภูชมลาวยังมีความพิเศษตรงที่ ที่นี่จะมีบริการกาแฟขี้ “เห็นอ้ม”หรือกาแฟขี้“ชะมด” โดยชะมดที่นี่มีความพิเศษกว่าที่ไหน ๆ คือเป็นชะมดตัวหอมเพราะมันกินมังสวิรัติ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์อันโดดเด่นของชาวชุมชน โดยจะนำกาแฟไปคั่วชงกันสด ๆ บนยอดภู เสิร์ฟใส่ในแก้วกระบอกไม้ไผ่ ให้นักท่องเที่ยวได้ “จิบกาแฟ(ขี้)เห็นอ้ม ชมวิวไทย-ลาว” กันอย่างน่าอภิรมย์
และนี่ก็คือ 8 แหล่งท่องเที่ยวประเภทภูรุ่นใหม่ในจังหวัดเลย(อายุไล่เรียงตั้งแต่ราว 5-6 ปีขึ้นมา) ที่นอกจากจะสวยทุกที่ มีดีทุกภูแล้ว ก็ยังมีรถอีแต๊กให้นั่งขึ้นไปพิชิตยอดภูกันอย่างสนุกเพลิดเพลิน ชวนให้ผู้มาเยือนเกิดความรู้สึก "รักเลย หลงเลย"
...ชนิดที่ยากจะลืมเลือน
....................................................................................................
สอบถามข้อมูลการเที่ยวชมทั้ง 8 ภู รุ่นใหม่ใน จ.เลย ค่าบริการรถอีแต๊ก และข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานเลย (รับผิดชอบพื้นที่ เลย,หนองบัวลำภู) โทร. .0 4281 2812 , 0 4281 1405
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager