xs
xsm
sm
md
lg

"โมโกจู" สวยสุดใจ พิชิตหินเรือใบ สัมผัสธรรมชาติยิ่งใหญ่แห่งป่าแม่วงก์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

Facebook :Travel @ Manager
หินเรือใบ สัญลักษณ์ของยอดเขาโมโกจู
หนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักเดินป่าหลายๆ คนตั้งเป้าว่าต้องเดินทางไปให้ถึง หนึ่งในเส้นทางเดินป่าที่ว่ากันว่าจองยากเย็นเสียเหลือเกิน นั่นก็คือ "เส้นทางเดินป่าระยะไกล โมโกจู" แห่งอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ที่มีพื้นที่ครอบคลุม 2 จังหวัด คือนครสวรรค์และกำแพงเพชร แม้จะต้องใช้เวลาเดินทางค้างแรมในป่าถึง 5 วัน 4 คืน และยังมีเส้นทางเดินที่ทั้งไกลและโหดหิน แต่ก็ยังมีนักนิยมไพรจำนวนมากที่มุ่งหน้ามายังอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ และยอมเดินเท้าเป็นระยะทางหลายสิบกิโลเพื่อขึ้นไปยังยอดโมโกจู เพื่อไปสัมผัสกับหินเรือใบบนยอดเขาด้วยตาตัวเองสักครั้ง
ลูกหาบจอมพลังในเส้นทาง 16 ก.ม. แรก
วันที่ 1 : สู่แคมป์แม่กระสา 16 ก.ม.

วันแรกของการเดินทาง เราเริ่มต้นจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ บริเวณ ก.ม. 65 ของถนนสายคลองลาน-อุ้มผาง เข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่และจัดการชั่งน้ำหนักข้าวของจำพวกเต็นท์และเสบียงอาหารต่างๆ ที่จะให้ลูกหาบช่วยกันแบกไปยังแคมป์แต่ละแห่ง ส่วนสัมภาระส่วนตัวของแต่ละคนต่างก็แบกของใครของมัน หนักมากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่ความบ้าสมบัติ

จากนั้นก่อนจะเริ่มต้นออกเดินทาง เราเข้าไปฟังบรรยายสรุปสั้นๆ เกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ และเป็นการสรุปย่อเส้นทางที่เราจะต้องเจอตลอด 5 วัน 4 คืนนี้ ซึ่งแม้จะเตรียมใจมาแล้ว แต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ที่รู้ว่าวันนี้เส้นทางที่เราจะต้องผ่านไปนั้นมีระยะทางไกลถึง 16 ก.ม. เลยทีเดียว

และแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางกันจริงๆ เสียที ระยะแรกเราออกเดินด้วยความเบิกบาน เส้นทางในช่วงแรกเป็นเส้นทางลูกรังราบสลับเนินเล็กๆ ขึ้นบ้างลงบ้างสลับกันไป สองข้างทางเป็นป่าหญ้าสลับกับป่าไผ่มีดอกไม้แปลกตา ก่อนความเบิกบานจะค่อยๆ หุบเมื่อเจอ “มอขี้แตก” ซึ่งเป็นเนินขึ้นเขาชันยาวหลายกิโลที่ต้องใช้พลังไม่น้อยในการขึ้นแต่ละเนิน เราใช้เวลาในการเดินบ้าง พักบ้าง บ่นบ้าง กว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง จึงพ้นมอขี้แตกมาได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ถึงครึ่งของระยะทางที่เราต้องเดินในวันนี้
ป่าไผ่ก่อนเข้าสู่แคมป์แม่กระสา
พ้นจากมอขี้แตกมาสภาพป่าเริ่มเปลี่ยนไปเป็นป่าไผ่หนาแน่นและมีลำห้วยเล็กๆ ให้เดินข้าม เราแวะกินข้าวกลางวันที่เตรียมมากันในบริเวณลำห้วยนี้ให้เต็มท้องเพื่อเก็บแรงเดินให้มากที่สุด จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเดินบ้างพักบ้างข้ามห้วยขึ้นลงเนินมาแบบไม่ได้นับ ร่างกายรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าแต่ในที่สุดเราก็มาถึงแคมป์แม่กระสาจนได้ในที่สุด ใช้เวลาไปราวๆ 6 ช.ม. ด้วยกัน

และสิ่งที่สดชื่นที่สุดของวันนี้ก็คือการได้ลงไปแช่น้ำเย็นเจี๊ยบที่คลองแม่กระสาที่ไหลรินอยู่ด้านหลังแคมป์ ให้สายน้ำเย็นจากธรรมชาติที่ต้นไม้และผืนดินร่วมกันสร้างขึ้นนี้ช่วยผ่อนคลายร่างกายที่เมื่อยล้าจากการเดินทาง 16 ก.ม. และช่วยเรียกความสดชื่นให้กับพวกเราได้เป็นอย่างดี
เดินข้ามห้วยระหว่างเส้นทางในวันที่ 2
วันที่ 2 : สู่แคมป์และน้ำตกแม่เรวา 10 ก.ม.

นอนหลับกันแบบเต็มอิ่มจากความเหนื่อยล้า เช้านี้เราจึงตื่นมาแบบสดชื่น ช่วยกันทำข้าวเช้ากินกันและเก็บข้าวเก็บของแบบชิลๆ เตรียมตัวเดินทางต่อไปยัง “แคมป์แม่เรวา” ที่ห่างออกไปเพียง 4 ก.ม. เส้นทางในวันนี้เป็นทางราบเดินสบาย เรียกว่าได้พักผ่อนจากการเดินทางไกล (มาก) เมื่อวานนี้

เราเดินข้ามคลองแม่กระสา ข้ามคลองแม่กี ผ่านป่าไผ่และบริเวณที่เป็นหมู่บ้านเก่าของชาวกะเหรี่ยงที่อพยพย้ายออกไปเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ยังคงเห็นร่องรอยของเสาเรือนอยู่ท่ามกลางป่าไผ่ ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นก็มาถึงแคมป์แม่เรวา ซึ่งมีคลองแม่เรวาอันร่มรื่นที่เราจะใช้ดื่ม กิน และอาบกันอยู่ด้านหลังแคมป์
น้ำตกแม่เรวากลางป่า
ในช่วงบ่ายหลังจากกินข้าวกลางวันกันเรียบร้อย เราออกเดินทางระยะสั้นๆ ไปเที่ยว “น้ำตกแม่รีวา” หรือน้ำตกแม่เรวา ระยะทางไปกลับรวมประมาณ 6 ก.ม. ใช้เวลาเดินไปกลับประมาณ 3 ชั่วโมง น้ำตกแม่รีวาเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ 5 ชั้น ความสูงประมาณ 100 เมตร ไหลเป็นสายขาวยาวไขว้สลับเป็นรูปตัว S ตกลงมายังแอ่งกว้างขวางที่เบื้องล่าง น้ำตกนี้เป็นต้นน้ำของคลองแม่เรวา ซึ่งไหลผ่านไปยังบริเวณแคมป์ที่พักของเรา และคลองแม่เรวานี้ก็ไหลต่อไปเป็นต้นน้ำของลำน้ำแม่วงก์ที่หล่อเลี้ยงชีวิตชาวนครสวรรค์

จากนั้นเราเดินเท้ากลับไปยังแคมป์แม่เรวา กลับไปอาบน้ำเย็นสดชื่นของคลองแม่เรวา เตรียมหุงหาอาหาร กินข้าวและนอนเอาแรง เพราะหนทางของวันพรุ่งนี้ไม่ได้ชิลล์เหมือนที่ผ่านๆ มาสักนิดเดียว
เส้นทางสุดชันใน 8 ก.ม.
วันที่ 3 : สู่แคมป์ตีนดอยและยอดโมโกจู 9 ก.ม.

เส้นทางวันนี้ถือเป็นไฮไลท์ของการเดินป่าในคราวนี้ก็ว่าได้ เพราะเป็นวันที่เราจะเดินเท้าขึ้นสู่ยอดโมโกจูกันแล้ว หลังจากรีบทำอาหารและกินข้าวเช้าจนเต็มท้อง ก็รีบเก็บข้าวเก็บของเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางกันในระยะทาง 8 ก.ม. เหมือนไม่ไกลมากแต่แสนจะเหน็ดเหนื่อยเพราะกว่า 80% ของเส้นทางเป็นทางชันขึ้นเขาและบุกป่าฝ่าดงมากขึ้นไปอีก

ระหว่างเส้นทางที่แสนชัน สองข้างทางยังคงเป็นป่าไผ่และมีสิ่งน่าสนใจที่พี่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ชี้ชวนให้ดู อย่างเช่น กลิ่นสเปรย์ของเสือที่ฉีดทิ้งไว้ที่ต้นไม้เพื่อแสดงอาณาเขต ร่องรอยของมูลสัตว์ หรือรอยเท้าสัตว์ที่ทิ้งรอยไว้ให้เราดู ยิ่งดูก็ยิ่งรู้ว่าป่าแม่วงก์นั้นอุดมสมบูรณ์อย่างที่เขาว่ากันจริงๆ
แคมป์ตีนดอย
ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าผ่านไป เรายังคงไต่ระดับความสูงขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง เราเดินบ้างพักบ้างจนมาถึงบริเวณที่เรียกว่า “มอยาว” เป็นเนินยาวที่ “ตะลอนเที่ยว” รู้สึกว่าเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด หลังจากผ่านมอยาวมาได้ก็มาเจอกับเนิน 45 องศาที่ชันจนต้องเกาะปีนป่ายพาตัวเองขึ้นมาได้ทีละขั้น ในใจเริ่มรู้ซึ้งถึงความโหดหินของโมโกจู ขณะที่ร่างกายอ่อนล้าแต่ใจยังสั่งให้อดทนเดินต่อไป

จนได้เวลาราวๆ เที่ยง พวกเรามาถึงบริเวณที่เรียกว่าคลองหนึ่งซึ่งเป็นหุบเขามีลำห้วยเล็กๆ ไหลผ่าน ซึ่งถือว่ามาได้ครึ่งทางแล้ว เราพักกินข้าวกลางวันที่เตรียมมากันบริเวณนี้ก่อนจะผจญกับทางชันกันต่อ จากคลองหนึ่งเราเดินมาถึงคลองสองซึ่งเป็นลำห้วยแห่งสุดท้ายที่เราจะได้เจอก่อนเดินทางสู่แคมป์ตีนดอยและยอดเขาโมโกจู ทุกคนต่างเอาขวดน้ำออกมาเติมให้เต็มเพื่อเก็บไว้ดื่มกินแก้กระหาย

และเส้นทางจากคลองสองไปยังแคมป์ตีนดอยนี่เองที่เรียกว่าโหดหินที่สุดก็ว่าได้ เพราะเนินชันบางช่วงอาจชันได้ถึง 70 องศา ดีว่ามีต้นไม้ให้เกาะเกี่ยวเหนี่ยวตัวเองขึ้นไปได้ ดังนั้นในที่สุดต่างคนต่างก็ลากสังขารมาจนถึงแคมป์ตีนดอย ที่พักในคืนที่ 3 นี้ของเรากันจนได้ ใช้เวลารวมตั้งแต่ออกเดินทางจนมาถึงแคมป์ราว 8 ชั่วโมงด้วยกัน
แสงยามเย็นบนยอดเขา
แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด แต่ภารกิจของเราในวันนี้ก็ยังไม่จบ เพราะทุกคนต่างก็อยากจะไปชมบรรยากาศของพระอาทิตย์ตกดินบนยอดโมโกจูและถ่ายรูปกับหินเรือใบอันเป็นสัญลักษณ์ของยอดเขาแห่งนี้กันก่อน โดยเราต้องเดินจากแคมป์ตีนดอยขึ้นไปอีกราว 1 ก.ม.

หลังจากเดินอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใบหญ้ามาตลอด 3 วัน วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ออกมาสู่ที่โล่งกว้างมองเห็นท้องฟ้าและแสงอาทิตย์ได้อย่างชัดเจนเพราะบนยอดเขามีแต่ต้นหญ้าและไม้พุ่มเตี้ยๆ เนื่องจากลมแรง วิวเบื้องหน้าช่างตอกย้ำความยิ่งใหญ่และงดงามของธรรมชาติที่หากคนอื่นๆ มาต่างวันต่างเวลาก็จะได้ชมความงามแตกต่างกันไป แต่ “ตะลอนเที่ยว” ได้เห็นทะเลหมอกสีขาวจรดขอบฟ้ากว้างไกล ส่วนเบื้องบนดวงอาทิตย์ยังคงสาดแสงส่องผ่านท้องฟ้าสีน้ำเงิน งดงามด้วยฝีมือของธรรมชาติสร้างสรรค์ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยที่ผ่านมาแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง
ทะเลหมอกเป็นปุยฟุ้ง
แสงสุดท้ายบนยอดโมโกจู
เราได้ชม “หินเรือใบ” สัญลักษณ์ของโมโกจูอย่างใกล้ชิด ตัวฐานของหินเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมียอดด้านบนเป็นทรงแหลมพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดูไปก็คล้ายใบเรือ และกลายเป็นสัญลักษณ์ของยอดเขาโมโกจูที่ใครๆ ก็ต้องมาถ่ายรูปคู่กับหินธรรมดาที่ไม่ธรรมดาก้อนนี้
รับแสงแรกของวันที่กำลังขึ้นเหนือขอบฟ้า
วันที่ 4 : รับพระอาทิตย์ก่อนลงจากยอดเขา 12 ก.ม.

เรากลับมาพักผ่อนกันที่แคมป์ตีนดอยรอคอยเวลาเช้ามืดที่จะได้ขึ้นไปเยือนยอดเขาโมโกจูอีกครั้งเพื่อชมแสงแรกของวัน เช้านี้หินเรือใบรอต้อนรับเราด้วยอากาศแจ่มใส แสงแรกของวันปรากฏขึ้นตรงเส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออกและแต่งแต้มให้ทั่วทั้งทิวเขากลายเป็นสีทอง มองเห็นวิวแบบ 360 องศา เห็นคลื่นภูเขาน้อยใหญ่ทอดตัวไล่เรียงกันไปตลอดแนว เห็นพื้นที่ป่าทั้งฝั่งของ อช.แม่วงก์ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จ.ตาก ที่ต่อเนื่องเป็นผืนเดียวกัน ผืนป่าเขียวขจีเบื้องล่างไม่มีริ้วรอยเว้าแหว่งของการตัดไม้ทำลายป่าจึงมองดูคล้ายทะเลบร็อคโคลี่ไล่เฉดสีเขียวกันไปจนทั่วบริเวณ

เราเก็บภาพความประทับใจของทิวทัศน์โดยรอบอันงดงาม ภาพของหินเรือใบและยอดเขาโมโกจูผ่านกล้องถ่ายรูปและผ่านสายตาประทับไว้ในความทรงจำ ก่อนจะถึงเวลาที่ต้องอำลายอดโมโกจูลงสู่ผืนดินเบื้องล่าง ก่อนจะกลับมาที่แคมป์ เก็บข้าวของและออกเดินทางกลับตามเส้นทางเดิม โดยเดินรวดเดียวเพื่อมาพักแรมในคืนที่ 4 ที่แคมป์แม่กระสา รวมระยะทาง 12 ก.ม. ที่ขาและเข่าต้องรับน้ำหนักในขณะเดินลงเขา ทำเอาหลายคนเดินเป๋ไปเหมือนกัน
หินเรือใบยามเช้า
วันที่ 5 : ลาแล้วโมโกจู 16 ก.ม.

หลังจากคืนสุดท้ายในป่าแม่วงก์ที่แคมป์แม่กระสา เราออกเดินเป็นระยะทาง 16 ก.ม. สุดท้ายกลับสู่ที่ทำการอุทยานฯ อีกครั้ง ตลอด 5 วัน 4 คืน ที่ผ่านมา ธรรมชาติได้สร้างความประทับใจอย่างมากมายให้กับ “ตะลอนเที่ยว” ไม่ว่าจะเป็นความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ความงดงามของและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ น้ำใจและมิตรภาพของเพื่อนร่วมทาง การดูแลและช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่อุทยานทุกท่านและลูกหาบทุกคน ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้เป็นความประทับใจที่เมื่อนึกถึง “โมโกจู” ขึ้นมาเมื่อไร ก็จะกลายเป็นความสุขความทรงจำที่ไม่มีวันเลือนหายไป
ทิวทัศน์ยามเช้าและคลื่นภูเขาด้านล่าง


อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีพื้นที่ 558,750 ไร่ ครอบคลุม 2 จังหวัดคือ นครสวรรค์ กำแพงเพชร ภายในอุทยานฯ นอกจากยอดเขาโมโกจูแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ อาทิ น้ำตกแม่กระสา น้ำตกแม่กี จุดชมวิวมออีหืด แก่งลานนกยูง กิจกรรมล่องแก่ง ปั่นจักรยาน และช่องเย็น สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี

สำหรับกิจกรรมการเดินป่าระยะไกลประจำปี 2561-2562 ทางอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ได้เปิดให้จองทางอีเมล์ โดยมีผู้จองเต็มหมดแล้ว ทั้งนี้ข้อมูลเรื่องราคาสำหรับผู้ที่เตรียมตัวเดินทางในปีต่อๆ ไป มีดังนี้ ทางอุทยานฯ กำหนดให้นักท่องเที่ยวผู้สนใจจองช่วงการเดินทางทริปโมโกจูผ่านทางอีเมลของทางอุทยานฯ เท่านั้น ไม่รับจองทางโทรศัพท์หรือการเดินทางมาจองด้วยตัวเองไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น ราคาเหมาจ่าย 13,500 บาท/กลุ่ม แต่ละกลุ่มต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 6 คน และไม่เกิน 12 คน ไม่รวมค่าลูกหาบและค่าเสบียง หากต้องการลูกหาบให้ติดต่อทางอุทยานฯแม่วงก์ เพื่อจัดเตรียมลูกหาบไว้ให้ จำกัดกลุ่มละไม่เกิน 3 คน โดยมีอัตราค่าตอบแทน 600 บาท/ลูกหาบ 1 คน/วัน (ลูกหาบแบกสัมภาระไม่เกิน 20 กก./คน) และต้องเตรียมอาหารอย่างเพียงพอสำหรับลูกหาบด้วย

ผู้ที่สนใจกิจกรรมเดินป่าระยะไกล สามารถดูรายละเอียดได้ที่ เฟซบุ๊ก : อุทยานแห่งชาติแม่วงก์  นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถสอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ที่พัก ในจังหวัดสุโขทัย กำแพงเพชร เชื่อมโยงกับอุทยานฯ แม่วงก์ ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุโขทัย (รับผิดชอบพื้นที่สุโขทัย, กำแพงเพชร) โทร. 0-5561-6228-9, 0-5561-6366


กำลังโหลดความคิดเห็น