xs
xsm
sm
md
lg

"หินสามวาฬ" อลังการวาฬแหวกว่ายกลางป่าบึงกาฬ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

Facebook :Travel @ Manager
หินสามวาฬ แห่งภูสิงห์ บึงกาฬ
แหล่งท่องเที่ยวของบึงกาฬที่เพิ่งเป็นที่รู้จักเมื่อไม่นานนัก แต่ขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดชมหากได้มาเยือนก็คือ “หินสามวาฬ” ที่ตั้งอยู่ใน “ภูสิงห์” หรือเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู ต.โคกก่อง อ.เมือง จ.บึงกาฬ ซึ่งอยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้

พื้นที่ป่าภูสิงห์กว่า 1.2 หมื่นไร่ เป็นป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง และป่าละเมาะเขา ด้านบนไม่มีแหล่งน้ำและเต็มไปด้วยผาหินทรายที่มีอายุกว่า 75 ล้านปีขึ้นไป จึงไม่มีสัตว์ใหญ่ แต่เรากลับพบทั้งวาฬและช้างที่ป่าภูสิงห์?!?

ผู้ที่จะไปเยือนภูสิงห์สามารถติดต่อเหมารถของทางป่าไม้ที่มีบริการนำนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมจุดต่างๆ บนภูสิงห์ โดยมีค่าใช้จ่ายเพียง 500 บาท/คัน นั่งไปเที่ยวกันได้ถึง 10 คน และพาไปแวะเที่ยวกันถึง 10 จุด ใช้เวลาราว 4 ชั่วโมงด้วยกัน ซึ่งถือว่าถูกมากๆ และขอแนะนำให้ใช้บริการเพราะพื้นที่ด้านบนถนนค่อนข้างแคบ และบางช่วงเป็นทางดินและหินก้อนโตๆ แต่สำหรับขาลุยที่ขับรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อมาก็สามารถขับขึ้นไปท่องเที่ยวได้เอง แต่ต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก ช่วงทางเลี้ยวทางแคบอย่าลืมบีบแตรส่งสัญญาณเพื่อความปลอดภัย
รถขับเคลื่อนสี่ล้อพาขึ้นไปยังจุดชมวิวต่างๆ บนภูสิงห์
ลานธรรมภูสิงห์
สำหรับจุดท่องเที่ยวทั้ง 10 จุดที่เราจะได้ไปเที่ยวกันนั้น เริ่มจากจุดแรก “ลานธรรมภูสิงห์” เป็นลานหินกว้างที่มีเพิงหินใหญ่ตั้งอยู่ดูคล้ายสิงโตหมอบอันเป็นที่มาของชื่อ "ภูสิงห์" ด้านหน้าเพิงหินเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป “หลวงพ่อพระสิงห์” ให้ได้กราบไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัย

บริเวณนี้ยังมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในยุคที่มีการสู้รบระหว่างรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์ โดย พคท. ใช้ที่นี่เป็นฐานที่มั่นและหลบภัย โดยอยู่ใกล้ๆ กับ "ถ้ำใหญ่" จุดท่องเที่ยวที่สองในเส้นทาง โดยภายในถ้ำเป็นถ้ำโล่งกว้างจุคนได้นับร้อย เป็นที่อยู่อาศัยของ พคท. ในยุคนั้น โดยยังคงเหลือร่องรอยของห้องปฐมพยาบาล และที่หลบภัยอยู่ด้วย (การเที่ยวถ้ำใหญ่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง)
ก้อนหินใหญ่เหมือนวาฬจริงๆ
จากนั้นมาที่ “หินสามวาฬ” อันเป็นไฮไลท์ของภูสิงห์ ที่ได้ชื่อว่าหินสามวาฬนั้นไม่ต้องแปลกใจ เพราะก้อนหินที่เรายืนอยู่นี้มองปราดเดียวก็บอกได้เลยว่ารูปร่างเหมือนวาฬจริงๆ แถมยังเป็นวาฬพ่อแม่ลูกสามตัวอยู่เคียงข้างกัน ตัวพ่อใหญ่สุดอยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยแม่และลูกน้อย ยิ่งถ้ามองมาจากบนฟ้าก็จะเห็นก้อนหินวาฬทั้งสามแหวกว่ายอยู่กลางป่าน่ารักมากๆ

เราสามารถขึ้นไปยืนชมวิวได้ทั้งที่หินวาฬแม่ (ก้อนริมทางซ้าย) และหินวาฬพ่อ (ก้อนกลาง) ส่วนหินวาฬลูกก้อนที่เล็กที่สุดที่อยู่ทางริมขวานั้นไม่มีทางให้เดินขึ้นไป แต่ลูกที่ชมวิวได้สวยสุดๆ ก็คือบนหินวาฬพ่อ เพราะนอกจากจะได้ชมวิวทิวทัศน์แล้วยังได้เห็นหินวาฬแม่ในมุมที่เหมือนวาฬสุดๆ อีกด้วย
ทางซ้ายคือวาฬแม่ ทางขวาคือวาฬพ่อ

ทิวทัศน์เมื่อมองออกไปเบื้องหน้านั้นสวยงามยิ่งนัก ชมวิวได้รอบทิศโดยไม่มีอะไรบดบัง ด้านล่างเป็นสวนยางพาราเขียวขจี ส่วนด้านหน้ามองไปไกลๆ จะเห็นแม่น้ำโขงโค้งตัวทอดยาวอยู่ลิบๆ มองเลยไปอีกจะเห็นเห็นทิวเขาของฝั่ง สปป.ลาว ลมเย็นๆ ปะทะใบหน้าสดชื่น

ที่หินสามวาฬยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามมากอีกด้วย โดยดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงด้านหน้าเลย ถ้ามาถูกช่วงถูกเวลาก็จะได้พบกับความงามยามเช้า และหากสภาพอากาศเป็นใจก็จะเห็นสายหมอกลอยเอื่อยเรี่ยทิวเขาเพิ่มความงามยิ่งขึ้นไปอีก โดยหากอยากมาชมพระอาทิตย์ก็จะต้องมาแต่เช้ามืด โดยรถเที่ยวแรกจะให้บริการราวๆ 04.30 น. ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนล่วงหน้านะจ๊ะ
มองเห็นแม่น้ำโขงไกลๆ
ถ่ายรูปที่จุดชมวิวถ้ำฤาษี
จากนั้นจะเป็นจุดชมวิวเล็กๆ น้อยๆ ที่แต่ละแห่งอยู่ห่างกันไม่มาก ขับรถเดี๋ยวเดียวก็ถึง และมีจุดเด่นให้ถ่ายรูปกันได้สนุก ได้แก่

“จุดชมวิวถ้ำฤาษี” เป็นจุดต่อไปที่สามารถเดินเท้าจากหินสามวาฬมายังหน้าผาอีกด้านหนึ่ง จุดชมวิวบริเวณนี้เป็นลานหินกว้าง ด้านหน้าโล่งรับลมชมวิวแม่น้ำโขงได้คล้ายบริเวณหินสามวาฬเช่นกัน
ยืนชมวิวบนหินหัวช้าง
“หินหัวช้าง” หินก้อนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับช้างตัวใหญ่ๆ กำลังยืนหันหลังให้เรา เมื่อเดินไปตามก้อนหินก็ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังปีนขึ้นจากหลังช้างไปยืนอยู่บนหัวของช้างจริงๆ
กำแพงหินภูสิงห์สูงใหญ่
“กำแพงหินภูสิงห์” บริเวณนี้เป็นก้อนหินสูงเรียบเหมือนกำแพงขนาดใหญ่ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน แถมยังมีลวดลายแปลกตาดูยิ่งใหญ่ไม่น้อย
ลูบหัวช้างที่หินช้าง
“หินช้าง” เป็นช้างอีกหนึ่งตัวที่ภูสิงห์ คราวนี้เป็นช้างที่โผล่ขึ้นมากลางป่ากำลังหันข้างให้เรา ตรงบริเวณนี้ใครอยากถ่ายรูปเล่นแบบกำลังลูบหัวช้างหรือลูบหลังช้างก็แอ็คท่าโพสต์กันได้ตามใจ
ประตูภูสิงห์
“ประตูภูสิงห์” เป็นก้อนหินใหญ่สองก้อนตั้งขนาบข้างกันอยู่ดูคล้ายช่องประตูหินขนาดใหญ่
“หัวใจภูสิงห์” เป็นก้อนหินที่ติดค้างอยู่ระหว่างก้อนหินสองก้อน มองดีๆ จะดูคล้ายรูปหัวใจที่อยู่ระหว่างช่องหิน จนได้ชื่อว่าหัวใจแห่งภูสิงห์นั่นเอง
จุดชมวิวส้างร้อยบ่อ
“จุดชมวิวส้างร้อยบ่อ” ซึ่งคำว่า "ส้าง" ก็หมายถึงหลุมหรือบ่อ เพราะบริเวณนี้เป็นลานหินเล็กๆ ริมหน้าผาที่มีลักษณะเป็นหลุมเป็นบ่อเล็กๆ มากมาย ตรงจุดนี้ยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกยามเย็นได้อย่างงดงามอีกด้วย




ภูสิงห์ เปิดให้เข้าเที่ยวชมได้ทุกวันตลอดทั้งปี การเดินทางจากตัวเมืองบึงกาฬใช้ถนนหมายเลข 212 (บึงกาฬ-นครพนม) วิ่งมาประมาณ 20 กม.จะถึง ต.โคกก่อง เป็นสามแยกให้เลี้ยวขวาไปทาง อ.ศรีวิไล จากนั้นขับต่อมาอีกประมาณ 3-4 กม. จะพบทางแยกให้เลี้ยวซ้ายเข้ามายังที่ทำการภูสิงห์ หากใครใช้ GPS นำทางมาให้เสิร์ชโดยใช้คำว่า "ภูสิงห์ หินสามวาฬ" หรือชื่อสำนักสงฆ์ "จิตตภาวดีคีรีบรรพต" เพราะหากเสิร์ชว่าหินสามวาฬเฉยๆ GPS จะพาไปอยู่จุดใต้หน้าผาหินสามวาฬ ซึ่งไม่มีทางรถขึ้นไปได้ สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางหรือการเหมารถได้ที่โทร.08 8536 2717


สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager


กำลังโหลดความคิดเห็น