Facebook :Travel @ Manager

“เกียวโต” (Kyoto) เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะอดีตเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น ถ้าหากถามว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดีในเกียวโต หลายคนคงจะนึกถึงภาพเมืองเก่า วัด ศาลเจ้า และปราสาทเก่า ที่เป็นร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองเมื่อครั้งยังมีฐานะเป็นเมืองหลวง อีกทั้งยังมีวัดและศาลเจ้ามากมายที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ทำให้เกียวโตนั้นกลายเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของญี่ปุ่น
แต่นอกจากในตัวเมืองเกียวโตที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์แล้ว ในส่วนอื่นๆ ของจังหวัดนี้ก็ยังแบ่งความน่าสนใจออกเป็นดินแดนต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นดินแดนแห่งทะเลทางตอนเหนือ ดินแดนแห่งป่าทางตอนกลาง ดินแดนแห่งชาทางตอนใต้ และดินแดนแห่งไผ่ที่เคยเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงเก่า
ด้วยโอกาสอันดีที่เราได้ร่วมทริปไปกับ สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว ร่วมมือกับ Kyoto by the Sea, Kyoto in Forests และ Kyoto infused with tea ที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ของเกียวโต ทำให้เราได้สัมผัสเกียวโตในมุมที่แตกต่างออกไป

ดินแดนแห่งชา
ดินแดนทางตอนใต้ของจังหวัดเกียวโต ที่เรียกว่าเขตยามาชิโร ถือว่าเป็นดินแดนแห่งชา เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตชาขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น และอยู่คู่กับวัฒนธรรมชาของญี่ปุ่นมายาวนานกว่า 800 ปี นอกจากนี้ ในดินแดนแถบนี้ยังมีวัดและศาลเจ้าที่ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกอีกหลายแห่งด้วย
หากเดินทางมาในเขตยามาชิโร ก็จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ไร่ชาที่ปกคลุมไปทั่วเนินเขา อย่างที่ “ไร่ชาอิชิเทระ” ในตำบลวาซูกะ ถือว่าเป็นไฮไลต์ของที่นี่ จากความงดงามของไร่ชาที่เขียวขจี อีกทั้งยังอยู่ในพื้นที่สำคัญของแหล่งผลิตชาอุจิ ชาขึ้นชื่อของเกียวโต

สำหรับ “ชาอุจิ” นั้นถือเป็นชาขึ้นชื่อของญี่ปุ่น เป็นชาระดับพรีเมียม มีราคาแพง โดยจะต้องเป็นชาที่ปลูกขึ้นในเมืองอุจิ จังหวัดเกียวโต มักจะถูกเก็บเพื่อนำไปทำเป็นชามัทฉะ (ชาที่ถูกเลี้ยงในร่มก่อนจะนำไปบดเป็นผงด้วยหินอย่างพิถีพิถัน) และ ชาเกียวคุโระ (ถือว่าเป็นชาราคาแพง คุณภาพดีเยี่ยม ซึ่งมาจากการเลี้ยงในร่มเพื่อรักษาสารอาหารให้ได้มากที่สุด และเก็บเกี่ยวได้ทีละน้อย) ซึ่งชาสองชนิดนี้เป็นชาที่มีราคาแพงที่สุดในหมวดชาเขียวของญี่ปุ่น



หากอยากลองชิมมัทฉะแท้ๆ ชงสดๆ ก็สามารถมาลิ้มลองได้ที่ “d:matcha Kyoto Cafe” ซึ่งที่นี่เปิดให้มาทดลองชงมัทฉะแบบต่างๆ ได้ด้วยมือของตัวเอง โดยจะมีพนักงานแนะนำวิธีการชงให้ หรือลองชิมเครื่องดื่ม ขนม และอาหารที่ปรุงจากชา พร้อมกับชมวิวไร่ชาสวยๆ ที่ด้านนอกได้ด้วย หรือจะเป็นที่ “KYOTO WAZUKASO” ที่นี่ก็เป็นทั้งที่พักและร้านอาหารที่จะเสิร์ฟเมนูอาหารที่ปรุงจากชาญี่ปุ่น โดยรอบๆ ก็จะเห็นวิวไร่ชาตามเนินเขาด้วยเช่นกัน


อย่างที่บอกไปว่าในเขตยามาชิโรนั้นมีวัดและศาลเจ้าหลายแห่ง รวมถึงสภานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เริ่มจาก “วัดโจรุริจิ” (Joruri-ji Temple) วัดแห่งนี้เชื่อว่าสร้างขึ้นในช่วงยุคนารา (ประมาณศตวรรษที่ 8) แต่สำหรับวิหารหลักนั้นสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1047 ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปพระอมิตาภพุทธะในอิริยาบทนั่งสมาธิ 9 องค์ และยังมีเจดีย์สามชั้น ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของยากุชิ เนียวไร (เทพแห่งยารักษาโรค หรือ พระไภษัชยคุรุ)
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักก็คือสวนญี่ปุ่นแบบโบราณ ที่สร้างขึ้นเลียนแบบพุทธเกษตรแดนสุขาวดี โดยอารามและสวนในลักษณะนี้นิยมสร้างกันในยุคเฮอัง (หลังจากยุคนารา) เนื่องจากยุคสมัยนั้นเต็มไปด้วยความฟุ้งเฟ้อ และความตกต่ำของจิตใจมนุษย์ จนผู้คนในยุคนั้นเชื่อว่าพระพุทธศาสนาของพระศากยมุนีเสื่อมถอยลงแล้ว ทางรอดเพียงประการเดียวคือภาวนาอ้อนวอนเพื่อไปเกิดในพุทธเกษตรสุขาวดีของพระอมิตาภพุทธะ ปัจจุบันสวนสุขาวดีเหลืออยู่เพียง 2 แห่งคือที่วัดเบียวโดอิน ที่เมืองอุจิ และที่วัดโจรุริจิ แห่งนี้


จากวัดโจรุริจิ มาต่อกันที่ “Keihanna Commemorative Park” เป็นสวนที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการจัดตั้ง Keihanna Science City (Kansai Science City) โดยภายในสวนถูกออกแบบและตกแต่งเป็นพื้นที่ต่างๆ เช่น สวนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม สวนหินที่จัดตกแต่งเป็นพิเศษ สวนป่าต้นปาล์มตามป่าภูเขาในชนบท ซึ่งในแต่ละช่วงของปีก็จะมีความสวยงามที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่จะเห็นทั้งใบไม้สีแดงและสีเหลืองสลับกันไป
อีกจุดเด่นของสวนแห่งนี้ก็คือที่ สะพาน Kangetsukyo เป็นสะพานไม้ที่มีความสูง 123 เมตร (สูงจากระดับน้ำ 10 เมตร) และกว้าง 4 เมตร ผู้เข้าชมสามารถชมทิวทัศน์มุมกว้างของสวนจากสะพานได้ โดยสามารถมองเห็นทั้งทุ่งนาที่จำลองมาจากภูมิประเทศจริงของญี่ปุ่น บ่อน้ำที่ตกแต่งให้สามารถเดินข้ามไปได้ เป็นต้น


และหากว่ามาเยือนในเขตยามาชิโรแห่งนี้ ต้องไม่พลาดที่จะมาเยือน “วัดเบียวโดอิน” เพราะที่นี่มีความงดงาม เป็นส่วนหนึ่งของอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เกียวโตโบราณ และได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกอีกด้วย
“วัดเบียวโดอิน” (Byodoin Temple) เป็นวัดที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโจโด (พุทธศาสนามหายานนิกายสุขาวดี) ที่โดดเด่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ มีความแตกต่างจากสถาปัตยกรรมที่เห็นได้ในวัดญี่ปุ่นทั่วไปตรงที่การสร้างนั้นยึดเอาแนวคิดทางพระพุทธศาสนามาเป็นแนวคิดหลักแล้วมีการเชื่อมโยงให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยตัวพระอารามของวัดเบียวโดอินและสวน จัดตกแต่งเพื่อสะท้อนภาพของแดนสุขาวดี และยังมีอิทธิพลต่อการก่อสร้างวัดในช่วงเวลาต่อๆ มา


วัดเบียวโดอินสร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ.998 โดยใช้เป็นบ้านพักตากอากาศของนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล ฟุจิวาร่า โนะ มิชินากะ โดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้เป็นศาสนสถานแต่อย่างไร แต่ในภายหลังลูกชายของเขาได้เปลี่ยนแปลงเบียวโดอินให้กลายเป็นวัด และมีคำสั่งให้ก่อสร้าง “ศาลาหงส์” (Phoenix Hall) ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นที่สุดของวัด ชื่อ "ศาลาหงส์" นั้นไม่ใช่ชื่อที่ได้รับการขนานนามอย่างเป็นทางการ แต่ทันทีที่อาคารเสร็จสมบูรณ์ในปี 1053 ชื่อโฮโอโดะ (Hoodo) หรือศาลาหงส์ก็กลายเป็นชื่อที่ถูกเรียกขานกันจนติดปาก จากรูปทรงของอาคารและรูปปั้นหงส์หรือนกฟินิกส์สองตัวที่อยู่บนหลังคา ปัจจุบันภาพศาลาแห่งนี้ถูกนำไปพิมพ์ลวดลายลงบนด้านหลังของเหรียญ 10 เยนของญี่ปุ่น ส่วนนกฟินิกส์ที่อยู่บนหลังคา ก็ถูกนำไปพิมพ์ลวดลายลงบนธนบัตร 10,000 เยน
ภายในศาลาหงส์มีพระพุทธรูปพระอมิตาภพุทธะ ผู้ซึ่งใบหน้ารับแสงอาทิตย์ยามเช้า รอบรูปปั้นพระอมิตาภพุทธะมีภาพพระโพธิสัตว์ในหลายปาง เช่น เล่นดนตรี อ่านบทสวด รูปปั้นขนาดเล็กเหล่านี้ดูร่าเริงมีชีวิตชีวา ตรงกันข้ามกับความสงบนิ่งของพระอมิตาภพุทธะ ว่ากันว่ารูปปั้นเหล่านี้เป็นผลงานของพระและนักปั้นชื่อ โจโจ
จากบริเวณศาลาหงส์ ใกล้ๆ กันยังมีพิพิธภัณฑ์โฮโชคัง ที่เก็บรวบรวมสมบัติอื่นๆ ของวัดเบียวโดอิน อาทิ ระฆังใบดั้งเดิมของวัด บานประตูที่มีการลงสี และเครื่องประดับหลังคารูปนกฟินิกส์คู่ (ด้านในพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ)


เดินชมวัดเบียวโดอินจนอิ่มใจ เสร็จแล้วลองเดินลัดเลาะไปที่ริม “แม่น้ำอุจิ” (Uji River) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของเมืองอุจิ ทิวทัศน์ทั้งสองฝั่งก็สวยงาม มีบริการล่องเรือในแม่น้ำ และสองฟากฝั่งของแม่น้ำยังเต็มไปด้วยโรงน้ำชา ร้านอาหาร และร้านจำหน่ายชาอุจิ สินค้าขึ้นชื่อของเมืองนี้ อย่างที่ร้าน “Fukujuen Uji Kissakan” ที่เป็นทั้งร้านอาหารและคาเฟ่ มีเมนูอาหารที่ทำจากชา มีชาหลากหลายชนิดให้ลองชิม โดยเฉพาะชาอุจิ และไอศกรีมชาเขียว นอกจากนี้ยังมีการสาธิตวิธีการทำชามัทฉะโดยนักท่องเที่ยวสามารถลงมือทดลองใช้โม่หินบดชาเขียวได้ด้วยตัวเอง
สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในเกียวโตยังมีอีกมาก สามารถติดตามชมได้ในตอนต่อไป
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
“เกียวโต” (Kyoto) เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะอดีตเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น ถ้าหากถามว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดีในเกียวโต หลายคนคงจะนึกถึงภาพเมืองเก่า วัด ศาลเจ้า และปราสาทเก่า ที่เป็นร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองเมื่อครั้งยังมีฐานะเป็นเมืองหลวง อีกทั้งยังมีวัดและศาลเจ้ามากมายที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ทำให้เกียวโตนั้นกลายเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของญี่ปุ่น
แต่นอกจากในตัวเมืองเกียวโตที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์แล้ว ในส่วนอื่นๆ ของจังหวัดนี้ก็ยังแบ่งความน่าสนใจออกเป็นดินแดนต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นดินแดนแห่งทะเลทางตอนเหนือ ดินแดนแห่งป่าทางตอนกลาง ดินแดนแห่งชาทางตอนใต้ และดินแดนแห่งไผ่ที่เคยเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงเก่า
ด้วยโอกาสอันดีที่เราได้ร่วมทริปไปกับ สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว ร่วมมือกับ Kyoto by the Sea, Kyoto in Forests และ Kyoto infused with tea ที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ของเกียวโต ทำให้เราได้สัมผัสเกียวโตในมุมที่แตกต่างออกไป
ดินแดนแห่งชา
ดินแดนทางตอนใต้ของจังหวัดเกียวโต ที่เรียกว่าเขตยามาชิโร ถือว่าเป็นดินแดนแห่งชา เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตชาขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น และอยู่คู่กับวัฒนธรรมชาของญี่ปุ่นมายาวนานกว่า 800 ปี นอกจากนี้ ในดินแดนแถบนี้ยังมีวัดและศาลเจ้าที่ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกอีกหลายแห่งด้วย
หากเดินทางมาในเขตยามาชิโร ก็จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ไร่ชาที่ปกคลุมไปทั่วเนินเขา อย่างที่ “ไร่ชาอิชิเทระ” ในตำบลวาซูกะ ถือว่าเป็นไฮไลต์ของที่นี่ จากความงดงามของไร่ชาที่เขียวขจี อีกทั้งยังอยู่ในพื้นที่สำคัญของแหล่งผลิตชาอุจิ ชาขึ้นชื่อของเกียวโต
สำหรับ “ชาอุจิ” นั้นถือเป็นชาขึ้นชื่อของญี่ปุ่น เป็นชาระดับพรีเมียม มีราคาแพง โดยจะต้องเป็นชาที่ปลูกขึ้นในเมืองอุจิ จังหวัดเกียวโต มักจะถูกเก็บเพื่อนำไปทำเป็นชามัทฉะ (ชาที่ถูกเลี้ยงในร่มก่อนจะนำไปบดเป็นผงด้วยหินอย่างพิถีพิถัน) และ ชาเกียวคุโระ (ถือว่าเป็นชาราคาแพง คุณภาพดีเยี่ยม ซึ่งมาจากการเลี้ยงในร่มเพื่อรักษาสารอาหารให้ได้มากที่สุด และเก็บเกี่ยวได้ทีละน้อย) ซึ่งชาสองชนิดนี้เป็นชาที่มีราคาแพงที่สุดในหมวดชาเขียวของญี่ปุ่น
หากอยากลองชิมมัทฉะแท้ๆ ชงสดๆ ก็สามารถมาลิ้มลองได้ที่ “d:matcha Kyoto Cafe” ซึ่งที่นี่เปิดให้มาทดลองชงมัทฉะแบบต่างๆ ได้ด้วยมือของตัวเอง โดยจะมีพนักงานแนะนำวิธีการชงให้ หรือลองชิมเครื่องดื่ม ขนม และอาหารที่ปรุงจากชา พร้อมกับชมวิวไร่ชาสวยๆ ที่ด้านนอกได้ด้วย หรือจะเป็นที่ “KYOTO WAZUKASO” ที่นี่ก็เป็นทั้งที่พักและร้านอาหารที่จะเสิร์ฟเมนูอาหารที่ปรุงจากชาญี่ปุ่น โดยรอบๆ ก็จะเห็นวิวไร่ชาตามเนินเขาด้วยเช่นกัน
อย่างที่บอกไปว่าในเขตยามาชิโรนั้นมีวัดและศาลเจ้าหลายแห่ง รวมถึงสภานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เริ่มจาก “วัดโจรุริจิ” (Joruri-ji Temple) วัดแห่งนี้เชื่อว่าสร้างขึ้นในช่วงยุคนารา (ประมาณศตวรรษที่ 8) แต่สำหรับวิหารหลักนั้นสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1047 ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปพระอมิตาภพุทธะในอิริยาบทนั่งสมาธิ 9 องค์ และยังมีเจดีย์สามชั้น ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของยากุชิ เนียวไร (เทพแห่งยารักษาโรค หรือ พระไภษัชยคุรุ)
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักก็คือสวนญี่ปุ่นแบบโบราณ ที่สร้างขึ้นเลียนแบบพุทธเกษตรแดนสุขาวดี โดยอารามและสวนในลักษณะนี้นิยมสร้างกันในยุคเฮอัง (หลังจากยุคนารา) เนื่องจากยุคสมัยนั้นเต็มไปด้วยความฟุ้งเฟ้อ และความตกต่ำของจิตใจมนุษย์ จนผู้คนในยุคนั้นเชื่อว่าพระพุทธศาสนาของพระศากยมุนีเสื่อมถอยลงแล้ว ทางรอดเพียงประการเดียวคือภาวนาอ้อนวอนเพื่อไปเกิดในพุทธเกษตรสุขาวดีของพระอมิตาภพุทธะ ปัจจุบันสวนสุขาวดีเหลืออยู่เพียง 2 แห่งคือที่วัดเบียวโดอิน ที่เมืองอุจิ และที่วัดโจรุริจิ แห่งนี้
จากวัดโจรุริจิ มาต่อกันที่ “Keihanna Commemorative Park” เป็นสวนที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการจัดตั้ง Keihanna Science City (Kansai Science City) โดยภายในสวนถูกออกแบบและตกแต่งเป็นพื้นที่ต่างๆ เช่น สวนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม สวนหินที่จัดตกแต่งเป็นพิเศษ สวนป่าต้นปาล์มตามป่าภูเขาในชนบท ซึ่งในแต่ละช่วงของปีก็จะมีความสวยงามที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่จะเห็นทั้งใบไม้สีแดงและสีเหลืองสลับกันไป
อีกจุดเด่นของสวนแห่งนี้ก็คือที่ สะพาน Kangetsukyo เป็นสะพานไม้ที่มีความสูง 123 เมตร (สูงจากระดับน้ำ 10 เมตร) และกว้าง 4 เมตร ผู้เข้าชมสามารถชมทิวทัศน์มุมกว้างของสวนจากสะพานได้ โดยสามารถมองเห็นทั้งทุ่งนาที่จำลองมาจากภูมิประเทศจริงของญี่ปุ่น บ่อน้ำที่ตกแต่งให้สามารถเดินข้ามไปได้ เป็นต้น
และหากว่ามาเยือนในเขตยามาชิโรแห่งนี้ ต้องไม่พลาดที่จะมาเยือน “วัดเบียวโดอิน” เพราะที่นี่มีความงดงาม เป็นส่วนหนึ่งของอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เกียวโตโบราณ และได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกอีกด้วย
“วัดเบียวโดอิน” (Byodoin Temple) เป็นวัดที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโจโด (พุทธศาสนามหายานนิกายสุขาวดี) ที่โดดเด่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ มีความแตกต่างจากสถาปัตยกรรมที่เห็นได้ในวัดญี่ปุ่นทั่วไปตรงที่การสร้างนั้นยึดเอาแนวคิดทางพระพุทธศาสนามาเป็นแนวคิดหลักแล้วมีการเชื่อมโยงให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยตัวพระอารามของวัดเบียวโดอินและสวน จัดตกแต่งเพื่อสะท้อนภาพของแดนสุขาวดี และยังมีอิทธิพลต่อการก่อสร้างวัดในช่วงเวลาต่อๆ มา
วัดเบียวโดอินสร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ.998 โดยใช้เป็นบ้านพักตากอากาศของนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล ฟุจิวาร่า โนะ มิชินากะ โดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้เป็นศาสนสถานแต่อย่างไร แต่ในภายหลังลูกชายของเขาได้เปลี่ยนแปลงเบียวโดอินให้กลายเป็นวัด และมีคำสั่งให้ก่อสร้าง “ศาลาหงส์” (Phoenix Hall) ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นที่สุดของวัด ชื่อ "ศาลาหงส์" นั้นไม่ใช่ชื่อที่ได้รับการขนานนามอย่างเป็นทางการ แต่ทันทีที่อาคารเสร็จสมบูรณ์ในปี 1053 ชื่อโฮโอโดะ (Hoodo) หรือศาลาหงส์ก็กลายเป็นชื่อที่ถูกเรียกขานกันจนติดปาก จากรูปทรงของอาคารและรูปปั้นหงส์หรือนกฟินิกส์สองตัวที่อยู่บนหลังคา ปัจจุบันภาพศาลาแห่งนี้ถูกนำไปพิมพ์ลวดลายลงบนด้านหลังของเหรียญ 10 เยนของญี่ปุ่น ส่วนนกฟินิกส์ที่อยู่บนหลังคา ก็ถูกนำไปพิมพ์ลวดลายลงบนธนบัตร 10,000 เยน
ภายในศาลาหงส์มีพระพุทธรูปพระอมิตาภพุทธะ ผู้ซึ่งใบหน้ารับแสงอาทิตย์ยามเช้า รอบรูปปั้นพระอมิตาภพุทธะมีภาพพระโพธิสัตว์ในหลายปาง เช่น เล่นดนตรี อ่านบทสวด รูปปั้นขนาดเล็กเหล่านี้ดูร่าเริงมีชีวิตชีวา ตรงกันข้ามกับความสงบนิ่งของพระอมิตาภพุทธะ ว่ากันว่ารูปปั้นเหล่านี้เป็นผลงานของพระและนักปั้นชื่อ โจโจ
จากบริเวณศาลาหงส์ ใกล้ๆ กันยังมีพิพิธภัณฑ์โฮโชคัง ที่เก็บรวบรวมสมบัติอื่นๆ ของวัดเบียวโดอิน อาทิ ระฆังใบดั้งเดิมของวัด บานประตูที่มีการลงสี และเครื่องประดับหลังคารูปนกฟินิกส์คู่ (ด้านในพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ)
เดินชมวัดเบียวโดอินจนอิ่มใจ เสร็จแล้วลองเดินลัดเลาะไปที่ริม “แม่น้ำอุจิ” (Uji River) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของเมืองอุจิ ทิวทัศน์ทั้งสองฝั่งก็สวยงาม มีบริการล่องเรือในแม่น้ำ และสองฟากฝั่งของแม่น้ำยังเต็มไปด้วยโรงน้ำชา ร้านอาหาร และร้านจำหน่ายชาอุจิ สินค้าขึ้นชื่อของเมืองนี้ อย่างที่ร้าน “Fukujuen Uji Kissakan” ที่เป็นทั้งร้านอาหารและคาเฟ่ มีเมนูอาหารที่ทำจากชา มีชาหลากหลายชนิดให้ลองชิม โดยเฉพาะชาอุจิ และไอศกรีมชาเขียว นอกจากนี้ยังมีการสาธิตวิธีการทำชามัทฉะโดยนักท่องเที่ยวสามารถลงมือทดลองใช้โม่หินบดชาเขียวได้ด้วยตัวเอง
สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในเกียวโตยังมีอีกมาก สามารถติดตามชมได้ในตอนต่อไป
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager