xs
xsm
sm
md
lg

“พิพิธภัณฑ์สุขสะสม” ชมของเก่าเล่าเรื่องสนุก ละลานตาของสะสม 300,000 ชิ้น

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ภายในพิพิธภัณฑ์สุขสะสม เต็มไปด้วยของเล่นและของสะสมล้ำค่า

Facebook :Travel @ Manager




ในย่านพุทธมณฑลสาย 2 มีพิพิธภัณฑ์น่าสนใจที่ไม่อยากให้พลาดชม นั่นคือ “พิพิธภัณฑ์สุขสะสม” ซึ่งเป็นที่รวบของเก่ากว่า 300,000 ชิ้น ที่เก็บสะสมโดย “เฮียเม้ง” หรือนายชัยโรจน์ เจริญทวีสิทธิ์ นักสะสมผู้รักและหลงใหลในของเก่า ของเล่นเก่า เอกสารเก่า หนังสือพิมพ์เก่า โปสเตอร์โฆษณาเก่าๆ รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ในยุคเก่าๆ และได้ใช้เวลากว่า 30 ปี ในการเก็บสะสมของเหล่านี้ ซึ่งคนรักของเก่านั้นมีมาก แต่คนที่รักและสะสมจริงจังจนมีของเก่าจำนวนนับแสนชิ้นได้ต้องถือว่าไม่ธรรมดา

แต่คนที่ทำให้เกิด “พิพิธภัณฑ์สุขสะสม” ขึ้นมาได้ก็คือลูกชายของเฮียเม้ง หรือคุณกอล์ฟ ธีรวัฒน์ เจริญทวีสิทธิ์ ที่เห็นของเก่าที่คุณพ่อตั้งใจสะสมมาทีละชิ้นๆ มองเห็นคุณค่าและเรื่องราวของมันเมื่อเรียนจบจึงตั้งใจที่จะสร้างพิพิธภัณฑ์เพื่อให้เป็นของขวัญแก่คุณพ่อในวัย 60 ปี จนเป็นจุดกำเนิดของพิพิธภัณฑ์สุขสะสมขึ้น
คุณกอล์ฟ ธีรวัฒน์ เจริญทวีสิทธิ์ เจ้าของพิพิธภัณฑ์
วันนี้ที่มาเยือนพิพิธภัณฑ์สุขสะสม คุณกอล์ฟเป็นคนพาเดินชมด้วยตัวเองและอธิบายถึงของแต่ละตัวอย่างคล่องแคล่ว พิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็น 5 โซนด้วยกัน แต่ละโซนก็มีของดีของเด่นแบบที่หาที่ไหนไม่ได้ เริ่มจากโซนแรกที่เราต้องเดินผ่านประตูสีชมพูสดใสเหมือนประตูของโดราเอมอนเข้ามาสู่โซนที่ 1 “ชื่นชมวิวัฒนาการของเล่นย้อนยุค” โซนนี้จัดแสดงของเล่นโบราณไปจนถึงของสมัยใหม่แบบที่นักสะสมมาเห็นต้องน้ำลายหก บางชิ้นอายุเป็นร้อยปีก็มี
รถแทรกเตอร์ไอน้ำเยอรมันรุ่นเดียวกับที่ในหลวง ร.๘ และในหลวง ร.๙ เคยทรงเล่นเมื่อยังทรงพระเยาว์
แต่ชิ้นที่เป็นไฮไลท์ต้องยกให้ “รถแทรกเตอร์ไอน้ำเยอรมัน” ที่ถูกผลิตขึ้นใน ค.ศ.1930 เพื่อสอนให้เด็กๆ ในเรื่องการทำงานของเครื่องจักรไอน้ำ ความสำคัญก็คือของเล่นชิ้นนี้เป็นรุ่นเดียวกับที่ในหลวงรัชกาลที่ ๘ และในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้ทรงเล่นเมื่อยังทรงพระเยาว์ ซึ่งถือเป็นของเล่นที่ส่งเสริมความรู้ทางด้านวิศวกรรมและเครื่องจักรเป็นอย่างยิ่ง

ในบริเวณนี้มีของเล่นที่ทำจากดีบุกซึ่งเป็นของเล่นในยุคแรกๆ มาจนถึงของเล่นกระดาษ ของเล่นไม้ ของเล่นเซลลูลอยด์ ของเล่นสังกะสี ของเล่นยาง ฯลฯ ที่เป็นของเล่นจากหลายๆ ประเทศ ทั้งเยอรมัน อังกฤษ อเมริกา จีน ญี่ปุ่น ใครรักและสะสมของเล่นบอกเลยว่าอยู่ในมุมนี้ได้เป็นวัน
ของเล่นละลานตา
โซนที่ 2 “ปลุกความสุขกับของใช้ร่วมสมัย”
มาดูต่อในโซนที่ 2 “ปลุกความสุขกับของใช้ร่วมสมัย” บริเวณนี้จัดแสดงของใช้โบราณยุครัชกาลที่ ๑-๖ ที่ออกจะเป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันแต่เป็นในยุคอดีต ทั้งนาฬิกาหน้าตาโบราณ โทรศัพท์บ้านสมัยคุณตาคุณยายยังสาว วิทยุเครื่องโตๆ และเครื่องเล่นแผ่นเสียง รวมไปถึงถ้วยโถโอชามปิ่นโตหลากสีสัน

แต่ที่เป็นไฮไลท์ก็คือ “พิมพ์ดีดภาษาไทยตัวแรกของสยาม” โดยเมื่อก่อนนี้เราไม่มีเครื่องพิมพ์ดีด ทางการต้องจ้างฝรั่งให้พิมพ์เอกสารให้ แต่เนื่องจากคนต่างชาติก็ไม่เข้าใจตัวอักษรไทย บางครั้งพิมพ์ตกหล่น สะกดไม่ถูกต้อง รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดเกล้าฯ ให้โรงงานจากอเมริกาผลิตพิมพ์ดีดภาษาไทยให้ 17 เครื่อง แต่เนื่องจากพยัญชนะไทยที่มีมากถึง 44 ตัว ไม่สามารถใส่ได้ครบ จำเป็นต้องตัดออก 2 ตัว คือ ฃ. ฃวด กับ ฅ.ฅน นั่นเอง
บล็อกแสตมป์ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ทำในประเทศฝรั่งเศส
นอกจากนั้นแล้ว ในโซนนี้ยังจัดจำลองมุมของห้างร้านต่างๆ อาทิ ร้านขายแผ่นเสียงห้าง ต.เง๊กชวน ห้างรัตนมาลา ห้างแห่งแรกๆ ในไทย ธนาคารสยามกัมมาจล ไปรษณียาคาร เป็นต้น ซึ่งก็มีบล็อกทำแสตมป์ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่จ้างฝรั่งเศสทำให้ มีเรื่องราวแรกเริ่มของรถราง

เดินขึ้นบันไดมาที่ชั้นสอง โซนที่ 3 “สื่อสิ่งพิมพ์บรรยายเล่าเรื่องไทย” จัดแสดงสิ่งพิมพ์โบราณยุครัชกาลที่ ๓-๙ ที่สะท้อนถึงความเป็นมาในแต่ละยุคสมัย ตรงนี้ยังรวมของสะสมประเภทหีบห่อของยาสีฟัน ยาสระผม ผงซักฟอก และไขความรู้ที่บางคนอาจเคยสงสัยว่าทำไมเราต้องเรียกสิ่งของเหล่านี้ว่า “ยา” นั่นก็เพราะว่า สินค้าเหล่านี้ที่เป็นสารเคมีมาจากต่างประเทศเมื่อก่อนนี้จะขายในร้านขายยา ต้องให้คนขายอธิบายการใช้ก่อน อย่างเมื่อก่อนนี้เมื่อนำยาซักฟอก (ผงซักฟอก) มาขายในเมืองไทยใหม่ๆ ก็มีการโฆษณาว่ากัดผ้าได้ขาวยิ่งกว่าสบู่ซักผ้า แต่คนก็ไม่กล้าจะเอามือจุ่มลงไปซักเพราะกลัวกัดมือ เลยต้องนำเข้าเครื่องซักผ้าเครื่องแรกของประเทศไทยที่ผลิตในอเมริกาเข้ามาเพื่อให้ยาซักฟอกขายได้
หน้ากล่องไม้ขีดไฟที่เต็มไปด้วยเรื่องราว
ส่วนผงซักฟอกยี่ห้อแรกๆ ที่คนไทยรู้จักและถูกนำชื่อมาเรียกจนกลายเป็นคำติดปากว่า “แฟ้บ” นั้น แท้จริงแล้วเป็นผงซักฟอกยี่ห้อ “Fast And Better” ที่อาจจะออกเสียงยากสำหรับคนไทย ต่อมาก็เลยถูกย่อให้เหลือแค่ FAB หรือแฟ้บนั้นเอง

โซนนี้ยังมีของน่าสนใจอีกเพียบ ทั้งกล่องไม้ขีดไฟที่มีหน้ากล่องหลากหลายลวดลายน่าสะสม หนังสือพิมพ์และนิตยสารเก่าที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ได้ดีเยี่ยม ทั้งยังมีภาพเก่าของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ และพระบรมวงศานุวงศ์ที่หาชมได้ยาก แต่ที่แปลกและน่าทึ่งก็คือ “ใบอนุญาตให้มีภรรยา” ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ที่ทรงเห็นความสำคัญของการมีผัวเดียวเมียเดียว และมีพระราชประสงค์ที่จะให้การสมรสเป็นเครื่องยกสถานภาพของสตรีให้ทัดเทียมบุรุษ จึงทรงกำหนดให้ข้าราชการในพระราชสำนักที่ต้องการจะแต่งงานมีครอบครัวก็จะต้องขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชา จนเป็นที่มาของใบอนุญาตขอมีภรรยานั่นเอง
หาบ “เจ๊กตู้” แบบเดียวกับที่ในหลวงรัชกาลที่ ๘ และในหลวงรัชกาลที่ ๙ เคยทรงเลือกซื้อของที่วังสระปทุม
ขึ้นไปที่ชั้นสาม โซนที่ 4 “ไขสงสัยอาชีพเก่าคนโบราณ” เล่าเรื่องราวของชาวจีนที่อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาทำมาหากินในเมืองไทย อาชีพหลักๆ ของชาวจีนนอกจากการมาเป็นแรงงานก็คือการค้าขายโดยการหาบเร่ขายกาแฟ ขายอาหาร หรือของโชห่วยมาบริการลูกค้าตามที่ต่างๆ ในโซนนี้ก็มี “หาบตู้” ที่คนจีนใช้หาบของไปขาย เฉพาะแค่ตัวหาบก็หนักมากแล้ว ยิ่งถ้าใส่ของเข้าไปเต็มๆ ก็ยิ่งหนักเป็นร้อยกิโลกรัม แถมต้องเดินแบกหาบไปขายไกลตามตรอกซอกซอยเป็น 10-20 กิโลเมตร แม้จะหนักและเหนื่อยแต่ก็ต้องอดทนสู้ชีวิต

และหาบตู้เช่นนี้ก็เป็นแบบเดียวกับที่ในหลวงรัชกาลที่ ๘ และในหลวงรัชกาลที่ ๙ เคยทรงเลือกซื้อของจาก หาบ “เจ๊กตู้” ที่วังสระปทุมด้วย โดยหาบตู้ของพิพิธภัณฑ์สุขสะสมนี้เคยนำไปจัดแสดงในงานพระเมรุมาศในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ท้องสนามหลวงมาแล้ว
ของจิ๋วเป็นรูปรถเข็นขายข้าวแกง ทำได้ละเอียดน่ารักมากๆ
และเมื่อพ่อค้าหาบเร่ชาวจีนอดทนเก็บเงินเก็บทองได้มากแล้วก็จะขยับขยายไปเป็นร้านรถเข็น และร้านค้าไปตามลำดับ จนกลายมาเป็นร้านค้าร้านอาหารเก่าแก่ที่มีเจ้าของเป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น

นอกจากนั้นในโซนนี้ยังมี “ของจิ๋ว” ที่จำลองร้านค้าร้านอาหารแบบไทยๆ ไว้ให้ชม ทั้งร้านข้าวแกงบนรถเข็น หาบกระเพาะปลา ร้านขายขนมเบื้องญวน รถเข็นผลไม้ ฯลฯ จัดแสดงไว้ให้ชมอย่างน่ารักมากๆ เลยทีเดียว
ร้านขายถ้วยโถโอชาม ปิ่นโต ถาด หม้อแกงขนาดต่างๆ จัดจำลองไว้ในโซนที่ 5
มาปิดท้ายที่โซนที่ 5 “เพลินวันวานตลาดเก่าเมื่อร้อยปี” ซึ่งอยู่ด้านนอกตึกพิพิธภัณฑ์ทางด้านหลัง ตรงนี้จำลองร้านค้าในยุคอดีต ทั้งร้านทอง ร้านของเล่น ร้านขายของชำ โรงภาพยนตร์ และชีวิตชาวนาไทยสมัยอดีต ในโซนนี้เหมาะมากสำหรับคนชอบถ่ายรูป เพราะสามารถเข้าไปทำท่าทางเป็นเจ้าของร้านได้เลย

ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท ที่เป็นการช่วยบำรุงพิพิธภัณฑ์นี้บอกเลยว่าคุ้มมากกับการที่ได้มาชมของสะสมที่มีเรื่องราวกว่า 300,000 ชิ้น และที่ยังเก็บไว้ในคลังและนำออกมาสับเปลี่ยนหมุนเวียนจัดแสดง ข้าวของเหล่านี้เต็มไปด้วยเรื่องราวที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ของโลกและของเมืองไทย อาจไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่แต่ก็เป็นสิ่งบอกเล่าถึงเรื่องราวในชีวิตของผู้คนในช่วงหนึ่งๆ ที่คนในยุคนี้อาจไม่เคยเห็นหรืออาจหลงลืมไป

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จึงเหมาะมากสำหรับกลุ่มครอบครัว โดยเฉพาะพ่อแม่หรือคุณลุงคุณป้าที่พาลูกหลานมาชมด้วยกัน แล้วได้อธิบายเล่าเรื่องราวต่างๆ จากประสบการณ์ตรงที่ตัวเองเคยได้สัมผัสผ่านข้าวของเหล่านี้ ซึ่งนอกจากจะเป็นการส่งต่อเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตจากรุ่นสู่รุ่นแล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวอีกด้วย

“พิพิธภัณฑ์สุขสะสม” ตั้งอยู่บนถนนพุทธมณฑลสาย 2 ระหว่างซอย 19 และซอย 21 แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ หากมาจากทางถนนบรมราชชนนี พิพิธภัณฑ์จะอยู่ทางขวามือ เปิดให้เข้าชมในวันพฤหัสบดี-อังคาร (ปิดวันพุธ) ในเวลา 10.30-18.00 น. มีค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก (ความสูงไม่เกิน 140 ซ.ม.) 50 บาท ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.08 6899 9208, 08 4145 7454 หรือดูรายละเอียดที่ www.suksasommuseum.com และเฟซบุค : suksasommuseum




สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager


กำลังโหลดความคิดเห็น