Facebook :Travel @ Manager

ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยีอันทันสมัย ในเมืองเต็มไปด้วยตึกสูงและผู้คนพลุกพล่าน แต่ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามตระการตา และคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยก็เป็นคนรักและนิยมในการท่องเที่ยวธรรมชาติ วันหยุดเสาร์อาทิตย์หลายๆ คนก็จะเดินทางออกนอกเมืองไปเดินป่าปีนเขาชมธรรมชาติกัน
“คามิโคจิ” เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่คนญี่ปุ่นนิยมเดินทางมาเที่ยวกัน โดยคามิโคจิอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติชูบุซังกะกุ เมืองมัตสึโมโตะ จังหวัดนากาโนะ ทางภาคกลางของประเทศญี่ปุ่น มีลักษณะเป็นที่ราบกลางหุบเขา มีแม่น้ำอาซุสะ (Azusa River) ไหลผ่ากลางระยะทางยาว 15 กิโลเมตร มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงรอบด้านซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น (Japan Alps) ทางตอนเหนือ

“คามิโคจิ” มีความหมายว่า “สถานที่ที่เทพเจ้าลงมาประทับ” นั่นเพราะที่นี่มีธรรมชาติที่สวยงามบริสุทธิ์ยิ่ง ภูเขาสลับซับซ้อนสูงตระหง่านเบื้องหน้าดูยิ่งใหญ่ตรึงสายตาไว้ได้ราวกับมีมนต์สะกด แม่น้ำสีเขียวใสราวผลึกแก้วไหลรินชุ่มฉ่ำตลอดทั้งปี ต้นไม้และสัตว์ป่าก็อุดมสมบูรณ์ ที่นี่จึงเป็นดังอุทยานของเหล่าเทพเจ้า และเป็นดังสวรรค์กลางป่าที่มนุษย์เดินดินอย่างเรามีโอกาสได้เข้าถึง
การจะมาเยือนคามิโคจิสามารถมาได้เฉพาะช่วงกลางเดือนเมษายน-กลางเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น เพราะในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะซึ่งเป็นอันตรายต่อการเดินทาง และในช่วงฤดูร้อนถือเป็นช่วงที่คนนิยมมาเที่ยวกันมากที่สุด โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่นิยมการเดินป่าปีนเขานอนกางเต็นท์ ส่วนในฤดูใบไม้ร่วงก็เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่น่ามาเยือนเพราะใบไม้จะเปลี่ยนสีแต่งแต้มให้คามิโคจิมีสีสันสวยงามมากขึ้น (ใบไม้เปลี่ยนสีราวกลางเดือน ต.ค. เป็นต้นไป แล้วแต่สภาพอากาศ)


“ตะลอนเที่ยว” มาอยู่ที่คามิโคจิเมื่อวันที่ 15 ต.ค. ซึ่งใบไม้กำลังเปลี่ยนสีแต่ยังไม่เต็มที่ ถ้าใครมาช่วงนี้น่าจะได้เห็นสีสันสวยงามแบบเต็มๆ แล้ว โดยจากโตเกียวเราสามารถมาเที่ยวแบบ One Day Trip ได้เลย เพราะมีรถบัสจากชินจุกุ (Shinjuku Bus Station) วิ่งตรงไปถึงคามิโคจิ ใช้เวลาราว 6 ช.ม. มีรถให้บริการ 2 รอบคือรอบ 07.15 น. ไปถึงคามิโคจิ 12.02 น. และรถบัสกลางคืนออกเดินทาง 22.25 น. ไปถึง 05.20 น. ส่วนรถขากลับมาโตเกียวมี 2 รอบเช่นกัน ในเวลา 15.00 น. และ 16.15 น. ส่วนการเดินทางโดยรถไฟจะต้องเปลี่ยนรถหลายต่อมากกว่า เราจึงเลือกนั่งรถบัสรอบกลางคืนเพื่อมาถึงตอนเช้าตรู่เพราะอยากมีเวลาเที่ยวและถ่ายรูปเยอะๆ
สังเกตดูคนที่มาบนรถด้วยกันส่วนมากจะเป็นชาวญี่ปุ่นที่แต่งชุดและเตรียมอุปกรณ์เดินป่ามาแบบพร้อมสุดๆ เพราะที่คามิโคจินี้มีเส้นทางปีนเขาชมธรรมชาติอยู่หลายเส้นทางด้วยกัน บ้างก็มาเดินแบบไปเช้าเย็นกลับ บ้างก็เตรียมของมานอนกางเต็นท์ท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งก็มีทั้งหนุ่มๆ สาวๆ และคนสูงวัยที่ยังดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง


เมื่อลงรถมาแล้วคนที่จะปีนเขาต่างก็เตรียมอุปกรณ์เตรียมร่างกาย แล้วแบกเป้ขึ้นบ่าเดินแยกไปทีละคนสองคน แต่ “ตะลอนเที่ยว” ตั้งใจมาเดินชมธรรมชาติในรูทท่องเที่ยวธรรมดาๆ โดยเริ่มจากไฮไลท์ของคามิโคจินั่นก็คือ “สะพานกัปปะ” (Kappa-Bashi Bridge) ที่อยู่ห่างจากท่ารถเพียง 300 เมตร เป็นสะพานแขวนเหนือแม่น้ำอาซุสะ ตั้งอยู่ใจกลางคามิโคจิ เป็นดังไฮไลท์และแลนด์มาร์กของคามิโคจิก็ว่าได้
สะพานกัปปะสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกใน ค.ศ.1910 ซึ่งก็หักพังไปตามกาลเวลา แต่สะพานที่เห็นปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 5 แล้ว สร้างขึ้นใหม่ในปี 1997 เป็นสะพานไม้ดูแข็งแรง จากจุดนี้หากมองกลับไปยังต้นน้ำจะเห็นภูเขาสูงสลับซับซ้อนเป็นฉากหลัง นั่นคือเทือกเขาโฮทากะ (Hotaka Mountain Range) ที่มียอดเขาสูงหลายยอด ได้แก่ ภูเขานิชิโฮทากะดาเกะ (2,909 เมตร) ภูเขาไอโนะดาเกะ (2,907 เมตร) ภูเขาโอคุโฮทากะดาเกะ (3,190 เมตร สูงเป็นอันดับที่ 3 ในญี่ปุ่น) ภูเขามาเอะโฮทากะดาเกะ (3,090 เมตร) ภูเขาเมียวจินดาเกะ (2,931 ม.)


ภูเขาบริเวณนี้เป็นสันเขาแหลมคมซึ่งเป็นหินภูเขาไฟที่เกิดขึ้นจากการปะทุเมื่อ 1.75 ล้านปีมาแล้ว เราสามารถมองเห็นหุบเขาดาเกะซาวะที่เกิดจากการทับถมของเถ้าและหินภูเขาไฟ มองเห็นได้ไกลโดดเด่นท่ามกลางเทือกเขาโฮทากะ เป็นจุดชมวิวและถ่ายภาพชั้นเลิศที่ใครๆ ก็ต้องมาเก็บภาพเป็นที่ระลึกไว้
อีกทั้งบริเวณรอบๆ สะพานกัปปะยังเป็นที่ตั้งของโรงแรม ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกมากมาย ที่นี่จึงมีผู้คนเดินเล่นถ่ายรูปคึกคักตลอดทั้งวัน


นอกจากจะมาชมทิวทัศน์ที่สวยงามบริเวณสะพานกัปปะแล้ว ขอแนะนำให้เดินชมบรรยากาศของคามิโคจิในเส้นทางเดินเลียบแม่น้ำอะซุสะไปยังบึงไทโช (Taisho Pond) ซึ่งอยู่ทางปลายน้ำ มีระยะทางจากสะพานกัปปะไปประมาณ 3 ก.ม. โดยระหว่างทางนั้น “ตะลอนเที่ยว” เพลิดเพลินกับการถ่ายรูปเป็นที่สุด เพราะมองไปมุมไหนก็สวย เส้นทางเดินในช่วงแรกจะขนานไปกับแม่น้ำอาซุสะอันใสแจ๋ว มีต้นสนคารามัตสึที่กำลังเปลี่ยนสีขึ้นเป็นแนวยาวตลอดทางเดิน
ทางเดินบางช่วงเป็นเส้นทางในป่าโปร่งๆ มีป้ายปักให้ระวังหมีเป็นบางจุด เพราะในป่านี้มีหมีดำอาศัยอยู่และมักจะออกมาเดินหากินเป็นบางครั้งในเวลาปลอดคน โดยเฉพาะตอนเช้าตรู่ ตอนเย็น-กลางคืน และตอนฝนตก นักเดินป่าหลายๆ คนก็เลยพกกระดิ่งติดกระเป๋าเป้เพื่อให้ส่งเสียงเวลาเดิน หากหมีได้ยินจะรู้ว่ามีคนมาและไม่เข้ามาใกล้ แถมยังมีคำแนะนำว่าถ้าเจอหมีขึ้นมาจริงๆ อย่าขยับตัวปุบปับเพราะหมีจะตกใจและอาจจะจู่โจมได้ และให้ค่อยๆ ถอยห่างจากหมีอย่างช้าๆ แต่ไม่ได้แนะนำให้แกล้งตายแต่อย่างใด

แม้ “ตะลอนเที่ยว” จะมาเดินเที่ยวตอนเช้าแต่ก็ไม่เป็นกังวลเรื่องหมี เพราะวันนี้มีนักท่องเที่ยวมากมายมาเดินเป็นเพื่อนตั้งแต่เช้า ระหว่างทางมีป้ายให้ข้อมูลของแต่ละจุดเป็นระยะ บอกชื่อภูเขาที่มองเห็น บอกถึงพรรณไม้ต่างๆ ในจุดที่เดินผ่าน ป้ายบอกทางก็ชัดเจนเดินคนเดียวไม่ต้องกลัวหลง
ทิวทัศน์ของป่าโดยรอบโรแมนติกยิ่งนัก ต้นไม้บนภูเขามีสีเหลืองและส้มแซมอยู่โดยรอบ ถ้าถึงช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีเต็มที่แล้วก็คงจะยิ่งเพิ่มความงามขึ้นไปอีก บวกกับอากาศเย็นสบายและสะอาดทำให้ระยะทาง 3 ก.ม. ไม่เหนื่อยจนเกินไปนัก ในที่สุดเราก็มีถึงบึงไทโชกันแล้ว


เหตุที่ต้องเดินมายังบึงไทโชเพราะที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ที่มีทิวทัศน์สวยงาม โดยบึงแห่งนี้เกิดขึ้นหลังจากการระเบิดของภูเขาไฟยาเกะดาเกะ(Yakedake) ในปี 1915 หินภูเขาไฟและเถ้าถ่านที่เกิดจากการระเบิดได้ปิดกั้นแม่น้ำอะซุสะ ทำให้แม่น้ำช่วงนี้กลายเป็นบึงใหญ่นิ่งสงบ สะท้อนเงาภูเขาและต้นไม้อย่างสวยลึกซึ้ง ส่วนภูเขาไฟต้นเหตุระเบิดที่ปัจจุบันก็ยังเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่สงบก็ตั้งอยู่ด้านหลังบึงที่ว่านี่เอง โดยเส้นทางเดินเท้าไปยังภูเขายาเกะดาเกะนี้ยังเป็นที่นิยมของนักปีนเขาอีกด้วย
จริงๆ แล้วที่บึงไทโชก็มีป้ายลงรถบัสเช่นเดียวกัน สำหรับคนที่ไม่อยากเดินเยอะก็สามารถลงรถบัสได้ที่ป้ายนี้แล้วเดินทวนน้ำไปยังสะพานกัปปะและขึ้นรถกลับที่สถานีปลายทางได้เลย แต่เหมาะสำหรับคนที่มาช่วงสายๆ หรือกลางวันเพราะหากมาตั้งแต่ตี 5 อาจจะพักรอไม่ค่อยสะดวกนัก



“ตะลอนเที่ยว” ใช้เวลาถ่ายรูปและนั่งพักชมบรรยากาศอยู่ที่บึงไทโชพักใหญ่ ก่อนจะเดินย้อนกลับมาตามทางเดิม จากนั้นมาข้ามสะพานทาชิโระ (Tashiro Bridge) เพื่อไปเดินอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำอาซุสะ ทิวทัศน์ทั้งสองฝั่งก็สวยงามไปคนละแบบ แต่ทางฝั่งนี้จะมี “อนุสาวรีย์เวสต์ตัน” ที่สร้างขึ้นเป็นเกียรติแก่นายวอลเตอร์ เวสต์ตัน (Walter Weston 1861-1940) มิชชันนารีชาวอังกฤษ ผู้บุกเบิกการปีนเขาแบบตะวันตกในญี่ปุ่น และเป็นผู้ที่ทำให้เทือกเขาแอปล์ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักของโลก
อีกทั้งทางเดินฝั่งนี้จะมีทางลงไปยังหาดหินริมแม่น้ำอะซุสะที่สามารถเดินลงไปชมและถ่ายรูปกับต้นสนคารามัตสึได้อย่างสวยงาม รวมถึงทางฝั่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมหลากหลายแห่งในคามิโคจิ ซึ่งเราอาจแวะพักกินของว่างหรือกินข้าวกลางวันได้ด้วย

เช่นเคยเหมือนขาไป “ตะลอนเที่ยว” เพลิดเพลินกับทิวทัศน์จนรู้ตัวอีกทีก็เดินวนกลับมาถึงสะพานกัปปะแล้ว แม้จะไม่เหนื่อยเหงื่อไม่ออก แต่ระยะทางไปกลับเกือบ 7 ก.ม. ก็ทำให้ขาล้าไปเหมือนกัน แต่เท่าที่เดินมานี้เป็นเพียงเส้นทางส่วนเดียวเท่านั้น หากจะเดินให้ครบรอบจริงๆ จากสะพานกัปปะเดินย้อนไปทางต้นน้ำอีกประมาณ 3 ก.ม. ก็จะได้พบกับบึงเมียวจิน (Myojin Pond) เป็นบึงแสนสงบกลางป่า และใกล้ๆ กันเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าโฮตากะที่ชาวญี่ปุ่นให้ความเคารพ ซึ่งบริเวณนี้มีค่าเข้าชม 300 เยน และมีร้านอาหารบรรยากาศดีๆ ริมสระน้ำด้วย
แต่เนื่องจากต้องใช้เวลาอีกมาก “ตะลอนเที่ยว” จึงไม่ได้เดินไปที่บึงเมียวจิน และขอแนะนำคนที่อยากเที่ยวให้ครบควรนอนค้างสักหนึ่งคืนเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรีบร้อนเดินเที่ยว และจะได้เก็บภาพและบรรยากาศให้ครบอย่างสบายๆ

สำหรับในปีนี้ที่คามิโคจิใกล้จะปิดให้เข้าชมแล้ว (16 พ.ย.) “ตะลอนเที่ยว” แนะนำว่าในปีหน้าใครจะมาเที่ยวญี่ปุ่นก็ขอแนะนำให้มาเดินชมธรรมชาติกันที่นี่ รับรองว่าต้องประทับใจในทิวทัศน์งดงามของ "คามิโคจิ" อย่างแน่นอน

การเดินทางที่สะดวกที่สุดจากโตเกียวคือการนั่งรถบัสมาจาก Shinjuku Bus Station ใช้เวลาราว 6 ช.ม. มีรถให้บริการ 2 รอบคือรอบ 07.15 น. ไปถึงปลายทางคามิโคจิ 12.02 น. และรถบัสกลางคืนออกเดินทาง 22.25 น. ไปถึง 05.20 น. ส่วนรถขากลับมาโตเกียวมี 2 รอบเช่นกัน ในเวลา 15.00 น. มาถึงโตเกียว 19.47 น. และ 16.15 น. มาถึงโตเกียว 21.02 น. ค่ารถในช่วงไฮซีซันเที่ยวละ 7,400 เยน ช่วงโลว์ซีซัน 6,200 เยน ดูรายละเอียดรถบัสที่ https://highway-buses.jp/thai/course/kamikochi.php
หากจะเดินทางทางรถไฟจากสถานี Tokyo ขึ้นชินคันเซนมายังสถานี Nagano แล้วต่อรถไฟธรรมดามาที่สถานี Matsumoto จากนั้นเปลี่ยนขบวนรถท้องถิ่นมายังสถานี Shinshimashima แล้วต่อรถบัสมาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง
สามารถดูรายละเอียดของคามิโคจิได้ที่ http://www.go-nagano.net/th/killer/kamikochi และ http://www.kamikochi.org/
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยีอันทันสมัย ในเมืองเต็มไปด้วยตึกสูงและผู้คนพลุกพล่าน แต่ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามตระการตา และคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยก็เป็นคนรักและนิยมในการท่องเที่ยวธรรมชาติ วันหยุดเสาร์อาทิตย์หลายๆ คนก็จะเดินทางออกนอกเมืองไปเดินป่าปีนเขาชมธรรมชาติกัน
“คามิโคจิ” เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่คนญี่ปุ่นนิยมเดินทางมาเที่ยวกัน โดยคามิโคจิอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติชูบุซังกะกุ เมืองมัตสึโมโตะ จังหวัดนากาโนะ ทางภาคกลางของประเทศญี่ปุ่น มีลักษณะเป็นที่ราบกลางหุบเขา มีแม่น้ำอาซุสะ (Azusa River) ไหลผ่ากลางระยะทางยาว 15 กิโลเมตร มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงรอบด้านซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น (Japan Alps) ทางตอนเหนือ
“คามิโคจิ” มีความหมายว่า “สถานที่ที่เทพเจ้าลงมาประทับ” นั่นเพราะที่นี่มีธรรมชาติที่สวยงามบริสุทธิ์ยิ่ง ภูเขาสลับซับซ้อนสูงตระหง่านเบื้องหน้าดูยิ่งใหญ่ตรึงสายตาไว้ได้ราวกับมีมนต์สะกด แม่น้ำสีเขียวใสราวผลึกแก้วไหลรินชุ่มฉ่ำตลอดทั้งปี ต้นไม้และสัตว์ป่าก็อุดมสมบูรณ์ ที่นี่จึงเป็นดังอุทยานของเหล่าเทพเจ้า และเป็นดังสวรรค์กลางป่าที่มนุษย์เดินดินอย่างเรามีโอกาสได้เข้าถึง
การจะมาเยือนคามิโคจิสามารถมาได้เฉพาะช่วงกลางเดือนเมษายน-กลางเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น เพราะในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะซึ่งเป็นอันตรายต่อการเดินทาง และในช่วงฤดูร้อนถือเป็นช่วงที่คนนิยมมาเที่ยวกันมากที่สุด โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่นิยมการเดินป่าปีนเขานอนกางเต็นท์ ส่วนในฤดูใบไม้ร่วงก็เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่น่ามาเยือนเพราะใบไม้จะเปลี่ยนสีแต่งแต้มให้คามิโคจิมีสีสันสวยงามมากขึ้น (ใบไม้เปลี่ยนสีราวกลางเดือน ต.ค. เป็นต้นไป แล้วแต่สภาพอากาศ)
“ตะลอนเที่ยว” มาอยู่ที่คามิโคจิเมื่อวันที่ 15 ต.ค. ซึ่งใบไม้กำลังเปลี่ยนสีแต่ยังไม่เต็มที่ ถ้าใครมาช่วงนี้น่าจะได้เห็นสีสันสวยงามแบบเต็มๆ แล้ว โดยจากโตเกียวเราสามารถมาเที่ยวแบบ One Day Trip ได้เลย เพราะมีรถบัสจากชินจุกุ (Shinjuku Bus Station) วิ่งตรงไปถึงคามิโคจิ ใช้เวลาราว 6 ช.ม. มีรถให้บริการ 2 รอบคือรอบ 07.15 น. ไปถึงคามิโคจิ 12.02 น. และรถบัสกลางคืนออกเดินทาง 22.25 น. ไปถึง 05.20 น. ส่วนรถขากลับมาโตเกียวมี 2 รอบเช่นกัน ในเวลา 15.00 น. และ 16.15 น. ส่วนการเดินทางโดยรถไฟจะต้องเปลี่ยนรถหลายต่อมากกว่า เราจึงเลือกนั่งรถบัสรอบกลางคืนเพื่อมาถึงตอนเช้าตรู่เพราะอยากมีเวลาเที่ยวและถ่ายรูปเยอะๆ
สังเกตดูคนที่มาบนรถด้วยกันส่วนมากจะเป็นชาวญี่ปุ่นที่แต่งชุดและเตรียมอุปกรณ์เดินป่ามาแบบพร้อมสุดๆ เพราะที่คามิโคจินี้มีเส้นทางปีนเขาชมธรรมชาติอยู่หลายเส้นทางด้วยกัน บ้างก็มาเดินแบบไปเช้าเย็นกลับ บ้างก็เตรียมของมานอนกางเต็นท์ท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งก็มีทั้งหนุ่มๆ สาวๆ และคนสูงวัยที่ยังดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง
เมื่อลงรถมาแล้วคนที่จะปีนเขาต่างก็เตรียมอุปกรณ์เตรียมร่างกาย แล้วแบกเป้ขึ้นบ่าเดินแยกไปทีละคนสองคน แต่ “ตะลอนเที่ยว” ตั้งใจมาเดินชมธรรมชาติในรูทท่องเที่ยวธรรมดาๆ โดยเริ่มจากไฮไลท์ของคามิโคจินั่นก็คือ “สะพานกัปปะ” (Kappa-Bashi Bridge) ที่อยู่ห่างจากท่ารถเพียง 300 เมตร เป็นสะพานแขวนเหนือแม่น้ำอาซุสะ ตั้งอยู่ใจกลางคามิโคจิ เป็นดังไฮไลท์และแลนด์มาร์กของคามิโคจิก็ว่าได้
สะพานกัปปะสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกใน ค.ศ.1910 ซึ่งก็หักพังไปตามกาลเวลา แต่สะพานที่เห็นปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 5 แล้ว สร้างขึ้นใหม่ในปี 1997 เป็นสะพานไม้ดูแข็งแรง จากจุดนี้หากมองกลับไปยังต้นน้ำจะเห็นภูเขาสูงสลับซับซ้อนเป็นฉากหลัง นั่นคือเทือกเขาโฮทากะ (Hotaka Mountain Range) ที่มียอดเขาสูงหลายยอด ได้แก่ ภูเขานิชิโฮทากะดาเกะ (2,909 เมตร) ภูเขาไอโนะดาเกะ (2,907 เมตร) ภูเขาโอคุโฮทากะดาเกะ (3,190 เมตร สูงเป็นอันดับที่ 3 ในญี่ปุ่น) ภูเขามาเอะโฮทากะดาเกะ (3,090 เมตร) ภูเขาเมียวจินดาเกะ (2,931 ม.)
ภูเขาบริเวณนี้เป็นสันเขาแหลมคมซึ่งเป็นหินภูเขาไฟที่เกิดขึ้นจากการปะทุเมื่อ 1.75 ล้านปีมาแล้ว เราสามารถมองเห็นหุบเขาดาเกะซาวะที่เกิดจากการทับถมของเถ้าและหินภูเขาไฟ มองเห็นได้ไกลโดดเด่นท่ามกลางเทือกเขาโฮทากะ เป็นจุดชมวิวและถ่ายภาพชั้นเลิศที่ใครๆ ก็ต้องมาเก็บภาพเป็นที่ระลึกไว้
อีกทั้งบริเวณรอบๆ สะพานกัปปะยังเป็นที่ตั้งของโรงแรม ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกมากมาย ที่นี่จึงมีผู้คนเดินเล่นถ่ายรูปคึกคักตลอดทั้งวัน
นอกจากจะมาชมทิวทัศน์ที่สวยงามบริเวณสะพานกัปปะแล้ว ขอแนะนำให้เดินชมบรรยากาศของคามิโคจิในเส้นทางเดินเลียบแม่น้ำอะซุสะไปยังบึงไทโช (Taisho Pond) ซึ่งอยู่ทางปลายน้ำ มีระยะทางจากสะพานกัปปะไปประมาณ 3 ก.ม. โดยระหว่างทางนั้น “ตะลอนเที่ยว” เพลิดเพลินกับการถ่ายรูปเป็นที่สุด เพราะมองไปมุมไหนก็สวย เส้นทางเดินในช่วงแรกจะขนานไปกับแม่น้ำอาซุสะอันใสแจ๋ว มีต้นสนคารามัตสึที่กำลังเปลี่ยนสีขึ้นเป็นแนวยาวตลอดทางเดิน
ทางเดินบางช่วงเป็นเส้นทางในป่าโปร่งๆ มีป้ายปักให้ระวังหมีเป็นบางจุด เพราะในป่านี้มีหมีดำอาศัยอยู่และมักจะออกมาเดินหากินเป็นบางครั้งในเวลาปลอดคน โดยเฉพาะตอนเช้าตรู่ ตอนเย็น-กลางคืน และตอนฝนตก นักเดินป่าหลายๆ คนก็เลยพกกระดิ่งติดกระเป๋าเป้เพื่อให้ส่งเสียงเวลาเดิน หากหมีได้ยินจะรู้ว่ามีคนมาและไม่เข้ามาใกล้ แถมยังมีคำแนะนำว่าถ้าเจอหมีขึ้นมาจริงๆ อย่าขยับตัวปุบปับเพราะหมีจะตกใจและอาจจะจู่โจมได้ และให้ค่อยๆ ถอยห่างจากหมีอย่างช้าๆ แต่ไม่ได้แนะนำให้แกล้งตายแต่อย่างใด
แม้ “ตะลอนเที่ยว” จะมาเดินเที่ยวตอนเช้าแต่ก็ไม่เป็นกังวลเรื่องหมี เพราะวันนี้มีนักท่องเที่ยวมากมายมาเดินเป็นเพื่อนตั้งแต่เช้า ระหว่างทางมีป้ายให้ข้อมูลของแต่ละจุดเป็นระยะ บอกชื่อภูเขาที่มองเห็น บอกถึงพรรณไม้ต่างๆ ในจุดที่เดินผ่าน ป้ายบอกทางก็ชัดเจนเดินคนเดียวไม่ต้องกลัวหลง
ทิวทัศน์ของป่าโดยรอบโรแมนติกยิ่งนัก ต้นไม้บนภูเขามีสีเหลืองและส้มแซมอยู่โดยรอบ ถ้าถึงช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีเต็มที่แล้วก็คงจะยิ่งเพิ่มความงามขึ้นไปอีก บวกกับอากาศเย็นสบายและสะอาดทำให้ระยะทาง 3 ก.ม. ไม่เหนื่อยจนเกินไปนัก ในที่สุดเราก็มีถึงบึงไทโชกันแล้ว
เหตุที่ต้องเดินมายังบึงไทโชเพราะที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ที่มีทิวทัศน์สวยงาม โดยบึงแห่งนี้เกิดขึ้นหลังจากการระเบิดของภูเขาไฟยาเกะดาเกะ(Yakedake) ในปี 1915 หินภูเขาไฟและเถ้าถ่านที่เกิดจากการระเบิดได้ปิดกั้นแม่น้ำอะซุสะ ทำให้แม่น้ำช่วงนี้กลายเป็นบึงใหญ่นิ่งสงบ สะท้อนเงาภูเขาและต้นไม้อย่างสวยลึกซึ้ง ส่วนภูเขาไฟต้นเหตุระเบิดที่ปัจจุบันก็ยังเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่สงบก็ตั้งอยู่ด้านหลังบึงที่ว่านี่เอง โดยเส้นทางเดินเท้าไปยังภูเขายาเกะดาเกะนี้ยังเป็นที่นิยมของนักปีนเขาอีกด้วย
จริงๆ แล้วที่บึงไทโชก็มีป้ายลงรถบัสเช่นเดียวกัน สำหรับคนที่ไม่อยากเดินเยอะก็สามารถลงรถบัสได้ที่ป้ายนี้แล้วเดินทวนน้ำไปยังสะพานกัปปะและขึ้นรถกลับที่สถานีปลายทางได้เลย แต่เหมาะสำหรับคนที่มาช่วงสายๆ หรือกลางวันเพราะหากมาตั้งแต่ตี 5 อาจจะพักรอไม่ค่อยสะดวกนัก
“ตะลอนเที่ยว” ใช้เวลาถ่ายรูปและนั่งพักชมบรรยากาศอยู่ที่บึงไทโชพักใหญ่ ก่อนจะเดินย้อนกลับมาตามทางเดิม จากนั้นมาข้ามสะพานทาชิโระ (Tashiro Bridge) เพื่อไปเดินอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำอาซุสะ ทิวทัศน์ทั้งสองฝั่งก็สวยงามไปคนละแบบ แต่ทางฝั่งนี้จะมี “อนุสาวรีย์เวสต์ตัน” ที่สร้างขึ้นเป็นเกียรติแก่นายวอลเตอร์ เวสต์ตัน (Walter Weston 1861-1940) มิชชันนารีชาวอังกฤษ ผู้บุกเบิกการปีนเขาแบบตะวันตกในญี่ปุ่น และเป็นผู้ที่ทำให้เทือกเขาแอปล์ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักของโลก
อีกทั้งทางเดินฝั่งนี้จะมีทางลงไปยังหาดหินริมแม่น้ำอะซุสะที่สามารถเดินลงไปชมและถ่ายรูปกับต้นสนคารามัตสึได้อย่างสวยงาม รวมถึงทางฝั่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมหลากหลายแห่งในคามิโคจิ ซึ่งเราอาจแวะพักกินของว่างหรือกินข้าวกลางวันได้ด้วย
เช่นเคยเหมือนขาไป “ตะลอนเที่ยว” เพลิดเพลินกับทิวทัศน์จนรู้ตัวอีกทีก็เดินวนกลับมาถึงสะพานกัปปะแล้ว แม้จะไม่เหนื่อยเหงื่อไม่ออก แต่ระยะทางไปกลับเกือบ 7 ก.ม. ก็ทำให้ขาล้าไปเหมือนกัน แต่เท่าที่เดินมานี้เป็นเพียงเส้นทางส่วนเดียวเท่านั้น หากจะเดินให้ครบรอบจริงๆ จากสะพานกัปปะเดินย้อนไปทางต้นน้ำอีกประมาณ 3 ก.ม. ก็จะได้พบกับบึงเมียวจิน (Myojin Pond) เป็นบึงแสนสงบกลางป่า และใกล้ๆ กันเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าโฮตากะที่ชาวญี่ปุ่นให้ความเคารพ ซึ่งบริเวณนี้มีค่าเข้าชม 300 เยน และมีร้านอาหารบรรยากาศดีๆ ริมสระน้ำด้วย
แต่เนื่องจากต้องใช้เวลาอีกมาก “ตะลอนเที่ยว” จึงไม่ได้เดินไปที่บึงเมียวจิน และขอแนะนำคนที่อยากเที่ยวให้ครบควรนอนค้างสักหนึ่งคืนเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรีบร้อนเดินเที่ยว และจะได้เก็บภาพและบรรยากาศให้ครบอย่างสบายๆ
สำหรับในปีนี้ที่คามิโคจิใกล้จะปิดให้เข้าชมแล้ว (16 พ.ย.) “ตะลอนเที่ยว” แนะนำว่าในปีหน้าใครจะมาเที่ยวญี่ปุ่นก็ขอแนะนำให้มาเดินชมธรรมชาติกันที่นี่ รับรองว่าต้องประทับใจในทิวทัศน์งดงามของ "คามิโคจิ" อย่างแน่นอน
การเดินทางที่สะดวกที่สุดจากโตเกียวคือการนั่งรถบัสมาจาก Shinjuku Bus Station ใช้เวลาราว 6 ช.ม. มีรถให้บริการ 2 รอบคือรอบ 07.15 น. ไปถึงปลายทางคามิโคจิ 12.02 น. และรถบัสกลางคืนออกเดินทาง 22.25 น. ไปถึง 05.20 น. ส่วนรถขากลับมาโตเกียวมี 2 รอบเช่นกัน ในเวลา 15.00 น. มาถึงโตเกียว 19.47 น. และ 16.15 น. มาถึงโตเกียว 21.02 น. ค่ารถในช่วงไฮซีซันเที่ยวละ 7,400 เยน ช่วงโลว์ซีซัน 6,200 เยน ดูรายละเอียดรถบัสที่ https://highway-buses.jp/thai/course/kamikochi.php
หากจะเดินทางทางรถไฟจากสถานี Tokyo ขึ้นชินคันเซนมายังสถานี Nagano แล้วต่อรถไฟธรรมดามาที่สถานี Matsumoto จากนั้นเปลี่ยนขบวนรถท้องถิ่นมายังสถานี Shinshimashima แล้วต่อรถบัสมาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง
สามารถดูรายละเอียดของคามิโคจิได้ที่ http://www.go-nagano.net/th/killer/kamikochi และ http://www.kamikochi.org/
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager