โดย : ปิ่น บุตรี (pinn109@hotmail.com)
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
“เพอรานากัน”(Peranakan) หรือ “เปอรานากัน” เป็นคําที่ถูกใช้เรียกกลุ่มชาวจีนเลือดผสมที่ถือกําเนิดและอาศัยอยู่ในบริเวณคาบสมุทรมลายู ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไทย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความโดดเด่นไม่น้อยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพอรานากัน & ธรรมชาติ
เพอรานากัน มีอีกหนึ่งคำเรียกขานที่รู้กันกันอย่างแพร่หลาย นั่นก็คือ “บ่าบ๋า ย่าหยา” หรือ “บ่าบ๋า ยอนย่า” หรือ “บ่าบ๋า ยวนย่า” ซึ่งหากเป็นชายจะเรียกว่า “บ่าบ๋า” ส่วนถ้าเป็นหญิงจะเรียก “ย่าหยา” หรือ “ยวนย่า” หรือ “ยอนย่า”(ตามการเรียกขานของประเทศนั้น ๆ)
สำหรับชาวเพอรานากันในเมืองไทย เดิมจะเรียกขานรวมกันไปว่า “บ่าบ๋า”(ไม่แบ่งชาย-หญิง) แต่ปัจจุบันมีเริ่มมีการใช้คำว่า “บ่าบ๋า ย่าหยา” เพิ่มมากขึ้น
บ่าบ๋าในเมืองไทยมีกระจายตัวกันอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะที่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต และ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา นั้นถือเป็น 2 แหล่งใหญ่ของชาวบ่าบ๋าในบ้านเราที่มีความโดดเด่นไม่น้อย
บ่าบ๋า ย่าหยา หรือ เพอรานากัน มีวิถีวัฒนธรรมอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์หลายสิ่งหลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การแต่งกาย อาหารการกิน ภาษา ประเพณี งานแต่งงาน และงานสถาปัตยกรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของความเป็นบ่าบ๋า ย่าหยา ที่สืบทอดต่อกันมายาวนานหลายร้อยปี
ด้วยเหตุนี้ทาง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย”(ททท.) กองตลาดอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ จึงหยิบยกเอามนต์เสน่ห์แห่งเพอรานากันมาพัฒนาเป็นเส้นทางท่องเที่ยวภายใต้ธีม “เพอรานากันและธรรมชาติ”(Peranakan & Nature) และนำเสนอเป็นโครงการท่องเที่ยวเชื่อมโยงไทย-มาเลเซีย “ภูเก็ต-พังงา-ปีนัง”
โครงการนี้เป็นไปตามแผนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย คือ อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย หรือ IMT-GT(Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างกันภายในอนุภูมิภาค
กุลปราโมทย์ วรรณะเลิศ ผู้อำนวยการกองการตลาดอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ เปิดเผยว่า ใน 3 ประเทศ IMT(อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย) เรามีวัฒนธรรมเพอรานากันเหมือนกัน ซึ่งแต่ละประเทศต่างก็มีความโดดเด่นความแข็งแรงที่แตกต่างกันออกไป เราจึงดึงเรื่องนี้ออกมา พร้อมทั้งผนวกในเรื่องเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติที่มีความโดดเด่นในภาคใต้เข้าไป
กุลปราโมทย์ ให้ข้อมูลต่อว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวเปลี่ยนวิธีการเที่ยว จากที่เคยมาท่องเที่ยวพักผ่อนเฉย ๆ มาเป็นการทำกิจกรรมที่เป็นการสร้างประสบการณ์ การนำเรื่องเพอรานากันเข้าก็เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวได้ลองใส่ชุดเพอรานากัน ลองทานอาหารเพอรานากัน เพราะปกตินักท่องเที่ยวที่มีความสนใจในเรื่องของวิถีชีวิตก็อยากจะมีส่วนแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับชุมชนท้องถิ่น
ภูเก็ต-พังงา
สำหรับกิจกรรมท่องเที่ยวในเส้นทาง เพอรานากัน & ธรรมชาติ นั้น ได้เลือกจังหวัด“ภูเก็ต”เมืองไข่มุกอันดามันแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกเป็นเมืองตั้งต้น และเป็นเมืองศูนย์กลางในการเชื่อมโยงไปยังพังงาและปีนัง
โดยจากภูเก็ตได้เดินทางไป“คลองสังเน่ห์” หรือ “ลิตเติ้ลอะเมซอน”(Little Amazon) ที่ตั้งอยู่ที่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เพื่อทำกิจกรรมล่องเรือสัมผัสกับธรรมชาติอันน่าตื่นตาตื่นใจของที่นี่
คลองสังเน่ห์แม้เป็นคลองเล็ก ๆ สายสั้น ๆ แต่ว่าก็มีระบบนิเวศอันอุดมสมบูรณ์ ตลอดเส้นทางที่ล่องเรือจะมีบรรยากาศ(ดู)คล้ายป่าโบราณ โดยมีไฮไลท์สำคัญคือ “ต้นไทร” ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก หลายต้นมีอายุมากเกินกว่า 100 ปี จนทำให้ที่นี่ได้รับการเรียกขานว่าเป็น “ป่าไทร 100 ปี”
นอกจากนี้ที่คลองสังเน่ห์ยังมี “นกเงือก” และ “งู” เป็น 2 สัตว์ดาวเด่นของที่นี่ โดยงูที่พบเจอเป็นประจำก็คืองูเขียว(ตัวเขื่อง)และงูปล้องทอง ที่มักจะออกมาอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันเป็นประจำ
จากการล่องเรือในลำคลอง กิจกรรมต่อไปเป็นการออกไปล่องเรือชมทะเล “อ่าวพังงา”ชมความสวยงามของขุนเขาน้อย-ใหญ่ ที่ผุดโผล่ขึ้นอยู่กลางทะเลเป็นจำนวนมาก เขาหลายลูกมีรูปร่างแปลกตาชวนให้จินตนาการ
อ่าวพังงามีหลายสิ่งหลายอย่างให้เที่ยวชม ไม่ว่าจะเป็น เขาหมาจู เกาะปันหยี ถ้ำลอด และ “เกาะตาปู”(เขาตาปู) หรือ “เกาะเจมส์บอนด์” (James Bond Island) เพราะเคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง เจมส์ บอนด์ 007 ตอน เพชฌฆาตปืนทอง ซึ่งทำให้เกาะแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
เกาะตาปูมีรูปร่างคล้ายตาปู(ยักษ์)ข้างเดียวโผล่ขึ้นมาโดด ๆ กลางทะเล ขณะที่ใกล้ ๆ กับเกาะตาปูนั้นก็เป็น “เขาพิงกัน” ที่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นของอ่าวพังงา ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมล่องเรือมาขึ้นที่นี่เพื่อไปชมวิวอันสวยงามเป็นเอกลักษณ์ของเกาะตาปู ณ จุดชมวิวบนเขาพิงกันแห่งนี้
จากพังงาเดินทางกลับมายังภูเก็ตก่อนจะมุ่งหน้าสู่ย่าน“เมืองเก่าภูเก็ต” ที่โดดเด่นด้วยมนต์เสน่ห์แห่งวิถีวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมและร่วมสมัย ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ซึ่งปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว แหล่งชม ชิม ชอป อันโดดเด่นของเมืองไข่มุกอันดามัน โดยเฉพาะในเรื่องของอาหารการกิน คาเฟ่เก๋ ๆ อาหารท้องถิ่นรสเลิศนั้นที่มีให้กินกันเพียบ
ย่านเมืองเก่าภูเก็ตมีไฮไลท์สสำคัญคือสถาปัตยกรรมสไตล์“ชิโน-โปรตุกีส”อันสวยงามคลาสสิก ซึ่งปัจจุบันได้มีการสร้างสรรค์งานสตรีทอาร์ตสอดแทรกเข้าไปในกำแพงที่ว่างหลาย ๆ จุด ถือเป็นอีกหนึ่งจุดดึงดูดแห่งใหม่ในย่านเมืองเก่าแห่งนี้
นอกจากนี้ที่ย่านเมืองเก่าภูเก็ตยังอวลไปด้วยวิถีอันทรงเสน่ห์ของชาวบ่าบ๋าหรือเพอรานากันที่เป็นอีกหนึ่งกลุ่มบรรพชนคนภูเก็ตในปัจจุบัน
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้เกี่ยวกับชาวเพอรานากันที่น่าสนใจในย่านนี้นั้นก็คือ “พิพิธภัณฑ์เพอรานากันนิทัศน์” พิพิธภัณฑ์ขนาดกะทัดรัดที่จัดแสดงเรื่องราวของชาวเพอรานากันให้เราชมกันอย่างเข้าใจง่าย สนุกเพลิน และได้ความรู้กลับไป
ส่วน“บ้านชินประภา” นั้นก็เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่มีเรื่องราวของชาวบ่าบ๋าหรือเพอรานากันให้ได้สัมผัสกัน
บ้านชินประภา เป็นคฤหาสต์สไตลชิโน-โปรตุกีส หรือ “อั้งม้อหลาว”หลังแรกของภูเก็ต มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี สร้างโดยพระพิทักษ์ชินประภา(ตันม่าเสียง) ปัจจุบันบ้านหลังนี้แม้จะยังมีผู้อยู่อาศัยแต่ว่าก็ได้เปิดพื้นที่บ้านบางส่วนจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ผู้สนใจได้เที่ยวชมกัน
ขณะที่ใครที่เป็นสายกินที่ร้าน“บลูเอเลเฟ่นท์”(Blue Elephant)นั้นเขามีอาหารเพอรานากันประยุกต์จัดเป็นเซตเมนูไว้ให้ลิ้มลองกินกันอย่างเต็มรูปแบบท่ามกลางบรรยากาศของร้านอันหรูหราคลาสสิก
นอกจากนี้ในย่านเมืองเก่าภูเก็ตยังมีหลาย ๆ ร้านที่จัดเตรียมชุดเสื้อผ้าเพอรานากัน หรือ ชุดบ่าบ๋า ย่าหยา หลากสีสันไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เช่าสวมเดินเฉิดฉายถ่ายรูปกับตึกชิโน-โปรตุกีส และมุมสตรีทอาร์ทต่าง ๆ ในย่านเมืองเก่าภูเก็ต ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมน่าสนใจที่วันนี้มาแรงไม่น้อย
ปีนัง มนต์ขลังเมืองมรดกโลก
จากภูเก็ตจุดหมายต่อไปเป็นการเดินทางข้ามประเทศ(ด้วยเครื่องบิน)สู่เมือง“ปีนัง” รัฐปีนัง หนึ่งในเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของประเทศมาเลเซีย
ปีนัง เป็นหนึ่งในสิบสามรัฐของมาเลเซีย ในภาษามาเลย์จะเรียกว่า “ปูเลาปีนัง” (Pulau Penang) หรือที่คนไทยในอดีตเรียกขานกันว่า“เกาะหมาก” (“ปูเลา” แปลว่า เกาะ, ปีนัง แปลว่า “ต้นหมาก”) ซึ่งในสมัยก่อนบนเกาะปีนังจะพบต้นหมากขึ้นอยู่ทั่วไป วันนี้จึงมีการสร้างประติมากรรม “ผลหมาก”ผ่าครึ่งไว้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองปีนัง
ปีนังเป็นเมืองที่มีความกลมกลืนกันของผู้คนที่แม้จะต่างเชื้อชาติศาสนา แต่ก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยมีทั้งชาวจีน (เป็นประชากรส่วนใหญ่บนเกาะปีนัง) ชาวมลายู และชาวอินเดีย ในเมืองนี้เราจึงได้เห็นศาสนสถานของคนแต่ละเชื้อชาติทั้งศาลเจ้า มัสยิด และวัดแขก กระจายตัวกันอยู่ในเมืองและได้รับการบำรุงรักษาอย่างสวยงามเท่าเทียมกัน
ปีนัง มีเมือง“จอร์จทาวน์” เป็นเมืองหลวง(อำเภอเมือง) ซึ่งได้รับยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกคู่กันกับเมืองมะละกาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 เนื่องด้วยเป็นเมืองที่มีศิลปวัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นและทรงคุณค่า
ภายในเมืองจอร์จทาวน์มีการอนุรักษ์อาคารบ้านเรือนโดยเฉพาะอาคารสไตล์ชิโน-โปรตุกีส อันเก่าแก่เอาไว้ได้เป็นอย่างดี
สำหรับมนต์เสน่ห์ของเมืองเก่าจอร์จทาวน์(ถนนคนเดิน)ที่ดึงดูดให้ผู้คนเดินทางมาเที่ยวชมกันเป็นจำนวนมากก็คือ ความเป็นเมืองเก่ามีชีวิตอันโดดเด่นของวัฒนธรรมจีน-มาเลย์ มีสินค้าข้าวของขายหลากหลาย โดยเฉพาะๆของกินอร่อยๆชวนลิ้มลอง
ขณะที่ตัวอาคารบ้านเรือนที่ส่วนใหญ่เป็นอาคารสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ในยุคบุกเบิกรุ่นแรกๆ(ก่อนที่จะขยายอิทธิพลไปยังสิงคโปร์ และจังหวัดทางตอนใต้ของบ้านเรา) ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีนั้นต่างก็น่าเที่ยวชม น่าเซลฟี่ ถ่ายรูปบันทึกไว้ในความทรงจำ
ส่วนอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ใหม่ในเมืองเก่าจอร์จทาวน์ก็คือ สตรีทอาร์ทที่วาดไว้ตามกำแพง ตามมุมต่างๆของเมือง ซึ่งมีทั้งงานภาพวาดและงานเหล็กดัดอันทรงเสน่ห์
นอกจากเมืองเก่าจอร์จทาวน์แล้ว ในปีนังยังมีสิ่งน่าสนใจชวนเที่ยวชมอีกหลากหลาย อาทิ “หมู่บ้านชาวประมงตระกูลจิว” (Chew Jetty) (สามารถเดินไปจากเมืองเก่าจอร์จทาวน์ได้) หมู่บ้านชาวประมงที่ทำการอนุรักษ์ไว้ในบรรยากาศดั้งเดิม, “หาดบาตู เฟอร์ริงกี้”(Batu Feringgi) แนวชายหาดยาวสวยงามที่มีการบริหารจัดการคล้ายหาดป่าตอง จ.ภูเก็ต ในบ้านเรา, “ปีนังฮิลล์” กับจุดชมวิวที่สูงที่สุดบนเกาะปีนัง
อีกทั้งยังมีบรรยากาศของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ต่างๆอันสวยงาม อาหารการกินอร่อยๆ ศาสนสถาน อย่าง วัดเจ้าแม่กวนอิม, มัสยิดกาปิตัน เคลิง, โบสถ์ฮินดูในย่านลิตเติ้ลอินเดีย และ“วัดเค็กลกซี” อีกหนึ่งวัด(พุทธ)ชื่อดังของเมืองปีนัง
วัดเค็กลกซี (Kek Lok Si Temple) หรือวัดเขาเต่า เป็นวัดที่โดดเด่นไปด้วยพุทธศิลป์สถาปัตยกรรมแบบจีน ภายในวัดมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และทวยเทพต่าง ๆ ให้สักการบูชากัน นำโดย“องค์เจ้าแม่กวนอิม”องค์ใหญ่ ที่มีคนเดินทางท่องเที่ยวและมากราบไหว้ขอพรกันอย่างต่อเนื่อง
เจ้าแม่กวนอิมองค์นี้ มีความสูงถึงราว 30 เมตร เป็นรูปหล่อสำริด ตั้งตระหง่านบนยอดเขาด้านบนสุดของวัด ซึ่งในบริเวณนี้เป็นจุดชมวิวชั้นดีที่สามารถชมทัศนียภาพของเกาะปีนังได้อย่างสวยงามกว้างไกล
ขณะที่จุดไฮไลท์อีกจุดหนึ่งของวัดเค้กลกซีก็คือ “เจดีย์เจ็ดชั้น” เป็นการผสมงานศิลปกรรมจาก 3 ชาติเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืนสวยงาม คือ ฐานเจดีย์เป็นงานศิลปะแบบจีน ตัวเจดีย์เป็นงานศิลปะไทย และยอดเจดีย์งานศิลปะแบบพม่า
ส่วนที่บริเวณด้านหน้า(ด้านล่าง)ตรงทางขึ้นของวัด จะเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำขนาดย่อม ภายในบ่อน้ำมีเต่าตัวน้อย-ใหญ่ อาศัยอยู่มากมาย อันเป็นที่มาของชื่อ “วัดเขาเต่า” ซึ่งผู้มาเยือนวัดแห่งนี้สามารถทำบุญให้อาหารเต่ากันได้
สำหรับอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในเมืองปีนังที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงนั่นก็คือ “พิพิธภัณฑ์ปีนังเพอรานากัน” (Penang Peranakan Mansion) ที่ภายในมีการจัดแสดงเรื่องราวต่างๆของชาวเพอรานากัน(บ้าบ๋า ย่าหยา)ได้อย่างสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็น วิถีชีวิต วัฒนธรรม อาหารการกิน การแต่งกาย ศิลปวัตถุต่างๆ ฯลฯ ที่เมื่อเข้าไปในนี้จะเหมือนเดินเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจแล้ว สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารหรืออยากจะสัมผัสกับวิถีแห่งพารานากันในด้านอาหารการกิน ก็สามารถไปทำกิจกรรม D.I.Y. กับคอร์สการทำอาหารแบบเพอรานากันได้ที่ “สวนสมุนไพรเขตร้อน”(Tropical Spice Garden)
ที่นี่เป็นแหล่งรวบรวมสมุนไพรเขตร้อนต่าง ๆ เอาไว้มากมายในบรรยากาศสวนป่าอันร่มรื่น ซึ่งทางสวนสมุนไพรฯจะพานักท่องเที่ยวไปเรียนรู้เรื่องราวเบื้องต้นของสมุนไพรเด่น ๆ ภายในสวนแห่งนี้ ก่อนจะพาไปลงมือทำอาหารเพอรานากัน กันอย่างสนุกเพลิดเพลิน ส่วนในเรื่องรสชาติ จะอร่อยหรือไม่อร่อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับฝีมือการทำของแต่ละคน
และนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ของเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงไทย-มาเลเซีย “ภูเก็ต-พังงา-ปีนัง” ภายใต้ธีม “เพอรานากันและธรรมชาติ” ที่ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่จะพาเราไปเปิดประสบการณ์ เปิดมุมมองใหม่ในวิถีวัฒนธรรมเพอรานากันควบคู่ไปกับแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจไม่น้อย
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
“เพอรานากัน”(Peranakan) หรือ “เปอรานากัน” เป็นคําที่ถูกใช้เรียกกลุ่มชาวจีนเลือดผสมที่ถือกําเนิดและอาศัยอยู่ในบริเวณคาบสมุทรมลายู ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไทย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความโดดเด่นไม่น้อยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพอรานากัน & ธรรมชาติ
เพอรานากัน มีอีกหนึ่งคำเรียกขานที่รู้กันกันอย่างแพร่หลาย นั่นก็คือ “บ่าบ๋า ย่าหยา” หรือ “บ่าบ๋า ยอนย่า” หรือ “บ่าบ๋า ยวนย่า” ซึ่งหากเป็นชายจะเรียกว่า “บ่าบ๋า” ส่วนถ้าเป็นหญิงจะเรียก “ย่าหยา” หรือ “ยวนย่า” หรือ “ยอนย่า”(ตามการเรียกขานของประเทศนั้น ๆ)
สำหรับชาวเพอรานากันในเมืองไทย เดิมจะเรียกขานรวมกันไปว่า “บ่าบ๋า”(ไม่แบ่งชาย-หญิง) แต่ปัจจุบันมีเริ่มมีการใช้คำว่า “บ่าบ๋า ย่าหยา” เพิ่มมากขึ้น
บ่าบ๋าในเมืองไทยมีกระจายตัวกันอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะที่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต และ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา นั้นถือเป็น 2 แหล่งใหญ่ของชาวบ่าบ๋าในบ้านเราที่มีความโดดเด่นไม่น้อย
บ่าบ๋า ย่าหยา หรือ เพอรานากัน มีวิถีวัฒนธรรมอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์หลายสิ่งหลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การแต่งกาย อาหารการกิน ภาษา ประเพณี งานแต่งงาน และงานสถาปัตยกรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของความเป็นบ่าบ๋า ย่าหยา ที่สืบทอดต่อกันมายาวนานหลายร้อยปี
ด้วยเหตุนี้ทาง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย”(ททท.) กองตลาดอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ จึงหยิบยกเอามนต์เสน่ห์แห่งเพอรานากันมาพัฒนาเป็นเส้นทางท่องเที่ยวภายใต้ธีม “เพอรานากันและธรรมชาติ”(Peranakan & Nature) และนำเสนอเป็นโครงการท่องเที่ยวเชื่อมโยงไทย-มาเลเซีย “ภูเก็ต-พังงา-ปีนัง”
โครงการนี้เป็นไปตามแผนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย คือ อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย หรือ IMT-GT(Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างกันภายในอนุภูมิภาค
กุลปราโมทย์ วรรณะเลิศ ผู้อำนวยการกองการตลาดอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ เปิดเผยว่า ใน 3 ประเทศ IMT(อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย) เรามีวัฒนธรรมเพอรานากันเหมือนกัน ซึ่งแต่ละประเทศต่างก็มีความโดดเด่นความแข็งแรงที่แตกต่างกันออกไป เราจึงดึงเรื่องนี้ออกมา พร้อมทั้งผนวกในเรื่องเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติที่มีความโดดเด่นในภาคใต้เข้าไป
กุลปราโมทย์ ให้ข้อมูลต่อว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวเปลี่ยนวิธีการเที่ยว จากที่เคยมาท่องเที่ยวพักผ่อนเฉย ๆ มาเป็นการทำกิจกรรมที่เป็นการสร้างประสบการณ์ การนำเรื่องเพอรานากันเข้าก็เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวได้ลองใส่ชุดเพอรานากัน ลองทานอาหารเพอรานากัน เพราะปกตินักท่องเที่ยวที่มีความสนใจในเรื่องของวิถีชีวิตก็อยากจะมีส่วนแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับชุมชนท้องถิ่น
ภูเก็ต-พังงา
สำหรับกิจกรรมท่องเที่ยวในเส้นทาง เพอรานากัน & ธรรมชาติ นั้น ได้เลือกจังหวัด“ภูเก็ต”เมืองไข่มุกอันดามันแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกเป็นเมืองตั้งต้น และเป็นเมืองศูนย์กลางในการเชื่อมโยงไปยังพังงาและปีนัง
โดยจากภูเก็ตได้เดินทางไป“คลองสังเน่ห์” หรือ “ลิตเติ้ลอะเมซอน”(Little Amazon) ที่ตั้งอยู่ที่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เพื่อทำกิจกรรมล่องเรือสัมผัสกับธรรมชาติอันน่าตื่นตาตื่นใจของที่นี่
คลองสังเน่ห์แม้เป็นคลองเล็ก ๆ สายสั้น ๆ แต่ว่าก็มีระบบนิเวศอันอุดมสมบูรณ์ ตลอดเส้นทางที่ล่องเรือจะมีบรรยากาศ(ดู)คล้ายป่าโบราณ โดยมีไฮไลท์สำคัญคือ “ต้นไทร” ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก หลายต้นมีอายุมากเกินกว่า 100 ปี จนทำให้ที่นี่ได้รับการเรียกขานว่าเป็น “ป่าไทร 100 ปี”
นอกจากนี้ที่คลองสังเน่ห์ยังมี “นกเงือก” และ “งู” เป็น 2 สัตว์ดาวเด่นของที่นี่ โดยงูที่พบเจอเป็นประจำก็คืองูเขียว(ตัวเขื่อง)และงูปล้องทอง ที่มักจะออกมาอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันเป็นประจำ
จากการล่องเรือในลำคลอง กิจกรรมต่อไปเป็นการออกไปล่องเรือชมทะเล “อ่าวพังงา”ชมความสวยงามของขุนเขาน้อย-ใหญ่ ที่ผุดโผล่ขึ้นอยู่กลางทะเลเป็นจำนวนมาก เขาหลายลูกมีรูปร่างแปลกตาชวนให้จินตนาการ
อ่าวพังงามีหลายสิ่งหลายอย่างให้เที่ยวชม ไม่ว่าจะเป็น เขาหมาจู เกาะปันหยี ถ้ำลอด และ “เกาะตาปู”(เขาตาปู) หรือ “เกาะเจมส์บอนด์” (James Bond Island) เพราะเคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง เจมส์ บอนด์ 007 ตอน เพชฌฆาตปืนทอง ซึ่งทำให้เกาะแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
เกาะตาปูมีรูปร่างคล้ายตาปู(ยักษ์)ข้างเดียวโผล่ขึ้นมาโดด ๆ กลางทะเล ขณะที่ใกล้ ๆ กับเกาะตาปูนั้นก็เป็น “เขาพิงกัน” ที่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นของอ่าวพังงา ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมล่องเรือมาขึ้นที่นี่เพื่อไปชมวิวอันสวยงามเป็นเอกลักษณ์ของเกาะตาปู ณ จุดชมวิวบนเขาพิงกันแห่งนี้
จากพังงาเดินทางกลับมายังภูเก็ตก่อนจะมุ่งหน้าสู่ย่าน“เมืองเก่าภูเก็ต” ที่โดดเด่นด้วยมนต์เสน่ห์แห่งวิถีวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมและร่วมสมัย ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ซึ่งปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว แหล่งชม ชิม ชอป อันโดดเด่นของเมืองไข่มุกอันดามัน โดยเฉพาะในเรื่องของอาหารการกิน คาเฟ่เก๋ ๆ อาหารท้องถิ่นรสเลิศนั้นที่มีให้กินกันเพียบ
ย่านเมืองเก่าภูเก็ตมีไฮไลท์สสำคัญคือสถาปัตยกรรมสไตล์“ชิโน-โปรตุกีส”อันสวยงามคลาสสิก ซึ่งปัจจุบันได้มีการสร้างสรรค์งานสตรีทอาร์ตสอดแทรกเข้าไปในกำแพงที่ว่างหลาย ๆ จุด ถือเป็นอีกหนึ่งจุดดึงดูดแห่งใหม่ในย่านเมืองเก่าแห่งนี้
นอกจากนี้ที่ย่านเมืองเก่าภูเก็ตยังอวลไปด้วยวิถีอันทรงเสน่ห์ของชาวบ่าบ๋าหรือเพอรานากันที่เป็นอีกหนึ่งกลุ่มบรรพชนคนภูเก็ตในปัจจุบัน
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้เกี่ยวกับชาวเพอรานากันที่น่าสนใจในย่านนี้นั้นก็คือ “พิพิธภัณฑ์เพอรานากันนิทัศน์” พิพิธภัณฑ์ขนาดกะทัดรัดที่จัดแสดงเรื่องราวของชาวเพอรานากันให้เราชมกันอย่างเข้าใจง่าย สนุกเพลิน และได้ความรู้กลับไป
ส่วน“บ้านชินประภา” นั้นก็เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่มีเรื่องราวของชาวบ่าบ๋าหรือเพอรานากันให้ได้สัมผัสกัน
บ้านชินประภา เป็นคฤหาสต์สไตลชิโน-โปรตุกีส หรือ “อั้งม้อหลาว”หลังแรกของภูเก็ต มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี สร้างโดยพระพิทักษ์ชินประภา(ตันม่าเสียง) ปัจจุบันบ้านหลังนี้แม้จะยังมีผู้อยู่อาศัยแต่ว่าก็ได้เปิดพื้นที่บ้านบางส่วนจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ผู้สนใจได้เที่ยวชมกัน
ขณะที่ใครที่เป็นสายกินที่ร้าน“บลูเอเลเฟ่นท์”(Blue Elephant)นั้นเขามีอาหารเพอรานากันประยุกต์จัดเป็นเซตเมนูไว้ให้ลิ้มลองกินกันอย่างเต็มรูปแบบท่ามกลางบรรยากาศของร้านอันหรูหราคลาสสิก
นอกจากนี้ในย่านเมืองเก่าภูเก็ตยังมีหลาย ๆ ร้านที่จัดเตรียมชุดเสื้อผ้าเพอรานากัน หรือ ชุดบ่าบ๋า ย่าหยา หลากสีสันไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เช่าสวมเดินเฉิดฉายถ่ายรูปกับตึกชิโน-โปรตุกีส และมุมสตรีทอาร์ทต่าง ๆ ในย่านเมืองเก่าภูเก็ต ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมน่าสนใจที่วันนี้มาแรงไม่น้อย
ปีนัง มนต์ขลังเมืองมรดกโลก
จากภูเก็ตจุดหมายต่อไปเป็นการเดินทางข้ามประเทศ(ด้วยเครื่องบิน)สู่เมือง“ปีนัง” รัฐปีนัง หนึ่งในเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของประเทศมาเลเซีย
ปีนัง เป็นหนึ่งในสิบสามรัฐของมาเลเซีย ในภาษามาเลย์จะเรียกว่า “ปูเลาปีนัง” (Pulau Penang) หรือที่คนไทยในอดีตเรียกขานกันว่า“เกาะหมาก” (“ปูเลา” แปลว่า เกาะ, ปีนัง แปลว่า “ต้นหมาก”) ซึ่งในสมัยก่อนบนเกาะปีนังจะพบต้นหมากขึ้นอยู่ทั่วไป วันนี้จึงมีการสร้างประติมากรรม “ผลหมาก”ผ่าครึ่งไว้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองปีนัง
ปีนังเป็นเมืองที่มีความกลมกลืนกันของผู้คนที่แม้จะต่างเชื้อชาติศาสนา แต่ก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยมีทั้งชาวจีน (เป็นประชากรส่วนใหญ่บนเกาะปีนัง) ชาวมลายู และชาวอินเดีย ในเมืองนี้เราจึงได้เห็นศาสนสถานของคนแต่ละเชื้อชาติทั้งศาลเจ้า มัสยิด และวัดแขก กระจายตัวกันอยู่ในเมืองและได้รับการบำรุงรักษาอย่างสวยงามเท่าเทียมกัน
ปีนัง มีเมือง“จอร์จทาวน์” เป็นเมืองหลวง(อำเภอเมือง) ซึ่งได้รับยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกคู่กันกับเมืองมะละกาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 เนื่องด้วยเป็นเมืองที่มีศิลปวัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นและทรงคุณค่า
ภายในเมืองจอร์จทาวน์มีการอนุรักษ์อาคารบ้านเรือนโดยเฉพาะอาคารสไตล์ชิโน-โปรตุกีส อันเก่าแก่เอาไว้ได้เป็นอย่างดี
สำหรับมนต์เสน่ห์ของเมืองเก่าจอร์จทาวน์(ถนนคนเดิน)ที่ดึงดูดให้ผู้คนเดินทางมาเที่ยวชมกันเป็นจำนวนมากก็คือ ความเป็นเมืองเก่ามีชีวิตอันโดดเด่นของวัฒนธรรมจีน-มาเลย์ มีสินค้าข้าวของขายหลากหลาย โดยเฉพาะๆของกินอร่อยๆชวนลิ้มลอง
ขณะที่ตัวอาคารบ้านเรือนที่ส่วนใหญ่เป็นอาคารสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ในยุคบุกเบิกรุ่นแรกๆ(ก่อนที่จะขยายอิทธิพลไปยังสิงคโปร์ และจังหวัดทางตอนใต้ของบ้านเรา) ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีนั้นต่างก็น่าเที่ยวชม น่าเซลฟี่ ถ่ายรูปบันทึกไว้ในความทรงจำ
ส่วนอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ใหม่ในเมืองเก่าจอร์จทาวน์ก็คือ สตรีทอาร์ทที่วาดไว้ตามกำแพง ตามมุมต่างๆของเมือง ซึ่งมีทั้งงานภาพวาดและงานเหล็กดัดอันทรงเสน่ห์
นอกจากเมืองเก่าจอร์จทาวน์แล้ว ในปีนังยังมีสิ่งน่าสนใจชวนเที่ยวชมอีกหลากหลาย อาทิ “หมู่บ้านชาวประมงตระกูลจิว” (Chew Jetty) (สามารถเดินไปจากเมืองเก่าจอร์จทาวน์ได้) หมู่บ้านชาวประมงที่ทำการอนุรักษ์ไว้ในบรรยากาศดั้งเดิม, “หาดบาตู เฟอร์ริงกี้”(Batu Feringgi) แนวชายหาดยาวสวยงามที่มีการบริหารจัดการคล้ายหาดป่าตอง จ.ภูเก็ต ในบ้านเรา, “ปีนังฮิลล์” กับจุดชมวิวที่สูงที่สุดบนเกาะปีนัง
อีกทั้งยังมีบรรยากาศของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ต่างๆอันสวยงาม อาหารการกินอร่อยๆ ศาสนสถาน อย่าง วัดเจ้าแม่กวนอิม, มัสยิดกาปิตัน เคลิง, โบสถ์ฮินดูในย่านลิตเติ้ลอินเดีย และ“วัดเค็กลกซี” อีกหนึ่งวัด(พุทธ)ชื่อดังของเมืองปีนัง
วัดเค็กลกซี (Kek Lok Si Temple) หรือวัดเขาเต่า เป็นวัดที่โดดเด่นไปด้วยพุทธศิลป์สถาปัตยกรรมแบบจีน ภายในวัดมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และทวยเทพต่าง ๆ ให้สักการบูชากัน นำโดย“องค์เจ้าแม่กวนอิม”องค์ใหญ่ ที่มีคนเดินทางท่องเที่ยวและมากราบไหว้ขอพรกันอย่างต่อเนื่อง
เจ้าแม่กวนอิมองค์นี้ มีความสูงถึงราว 30 เมตร เป็นรูปหล่อสำริด ตั้งตระหง่านบนยอดเขาด้านบนสุดของวัด ซึ่งในบริเวณนี้เป็นจุดชมวิวชั้นดีที่สามารถชมทัศนียภาพของเกาะปีนังได้อย่างสวยงามกว้างไกล
ขณะที่จุดไฮไลท์อีกจุดหนึ่งของวัดเค้กลกซีก็คือ “เจดีย์เจ็ดชั้น” เป็นการผสมงานศิลปกรรมจาก 3 ชาติเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืนสวยงาม คือ ฐานเจดีย์เป็นงานศิลปะแบบจีน ตัวเจดีย์เป็นงานศิลปะไทย และยอดเจดีย์งานศิลปะแบบพม่า
ส่วนที่บริเวณด้านหน้า(ด้านล่าง)ตรงทางขึ้นของวัด จะเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำขนาดย่อม ภายในบ่อน้ำมีเต่าตัวน้อย-ใหญ่ อาศัยอยู่มากมาย อันเป็นที่มาของชื่อ “วัดเขาเต่า” ซึ่งผู้มาเยือนวัดแห่งนี้สามารถทำบุญให้อาหารเต่ากันได้
สำหรับอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในเมืองปีนังที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงนั่นก็คือ “พิพิธภัณฑ์ปีนังเพอรานากัน” (Penang Peranakan Mansion) ที่ภายในมีการจัดแสดงเรื่องราวต่างๆของชาวเพอรานากัน(บ้าบ๋า ย่าหยา)ได้อย่างสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็น วิถีชีวิต วัฒนธรรม อาหารการกิน การแต่งกาย ศิลปวัตถุต่างๆ ฯลฯ ที่เมื่อเข้าไปในนี้จะเหมือนเดินเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจแล้ว สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารหรืออยากจะสัมผัสกับวิถีแห่งพารานากันในด้านอาหารการกิน ก็สามารถไปทำกิจกรรม D.I.Y. กับคอร์สการทำอาหารแบบเพอรานากันได้ที่ “สวนสมุนไพรเขตร้อน”(Tropical Spice Garden)
ที่นี่เป็นแหล่งรวบรวมสมุนไพรเขตร้อนต่าง ๆ เอาไว้มากมายในบรรยากาศสวนป่าอันร่มรื่น ซึ่งทางสวนสมุนไพรฯจะพานักท่องเที่ยวไปเรียนรู้เรื่องราวเบื้องต้นของสมุนไพรเด่น ๆ ภายในสวนแห่งนี้ ก่อนจะพาไปลงมือทำอาหารเพอรานากัน กันอย่างสนุกเพลิดเพลิน ส่วนในเรื่องรสชาติ จะอร่อยหรือไม่อร่อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับฝีมือการทำของแต่ละคน
และนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ของเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงไทย-มาเลเซีย “ภูเก็ต-พังงา-ปีนัง” ภายใต้ธีม “เพอรานากันและธรรมชาติ” ที่ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่จะพาเราไปเปิดประสบการณ์ เปิดมุมมองใหม่ในวิถีวัฒนธรรมเพอรานากันควบคู่ไปกับแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจไม่น้อย
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
