โดย : ปิ่น บุตรี (pinn109@hotmail.com)
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
ท่ามกลางความมืดมิดทุกทิศรอบตัว...
แสงสว่างหนึ่งเดียวจากสปอร์ตไลท์ของไกด์นำทาง ที่ฉายสาดส่องขึ้นไปกระทบกับแผ่นหินใหญ่ใกล้เพดานถ้ำ ทำให้ผมได้เห็นภาพที่ดูแล้วน่าอัศจรรย์ไม่น้อย
พลันที่ตาได้เห็น ใจได้สัมผัส ความรู้สึกนึกคิดนำพา
“น้ำตา”ของผมก็ค่อย ๆ ซึมไหลเอ่อคลอหน่วยออกมา
พร้อม ๆ กับคิดถึงคนบนฟ้าขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ
รู้จักถ้ำภูผาเพชร
คนเราดูภายนอกไม่ได้ ฉันใดก็ฉันเพล การเที่ยวถ้ำก็ไม่สามารถดูที่ภายนอกได้เช่นกัน เพราะความงามแท้จริงของถ้ำนั้นมันอยู่ภายใน
ดังเช่น “ถ้ำภูผาเพชร” จังหวัดสตูล ที่หากมองกันแค่ภายนอกบริเวณหน้าปากถ้ำ ก็จะเห็นเพียงแค่รูโพรงเล็ก ๆ ขนาดเท่าคนดิ้นตาย แต่เมื่อได้มุดลอดเข้าไป เราก็จะได้พบกับความสวยงามและความมหัศจรรย์จากธรรมชาติสรรค์สร้าง ซึ่งทำให้ถ้ำแห่งนี้ติดอันดับต้น ๆ ของถ้ำที่สวยที่สุดในเมืองไทยเลยทีเดียว
ถ้ำภูผาเพชร ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด หมู่ที่ 9 ต.ปาล์มพัฒนา อ.มะนัง จ.สตูล
เดิมถ้ำแห่งนี้มีชื่อเรียกขานว่า “ถ้ำลอด” “ถ้ำยาว” และ “ถ้ำเพชร” ตามลักษณะของถ้ำที่มีขนาดใหญ่ ยาว คดเคี้ยว แบ่งเป็นหลายห้องหลายคูหา ก่อนที่จะถูกเรียกขานใหม่อย่างเป็นทางการว่า “ถ้ำภูผาเพชร” เนื่องจากมีหินงอกหินย้อยภายในถ้ำบางส่วน ยามเมื่อกระทบกับแสงไป จะมีประกายแวววาวระยิบระยับเหมือนเพชร
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดี ถ้ำภูผาเพชรเคยเป็นแหล่งพักพิงอยู่อาศัยของมนุษย์โบราณมาตั้งแต่เมื่อกว่า 3 พันปีมาแล้ว โดยมีการค้นพบกะโหลกศีรษะของมนุษย์โบราณ เศษภาชนะดินเผา กระดูกสัตว์ และเปลือกหอยบรรจุในภาชนะดินเผา ภายในถ้ำแห่งนี้ อีกทั้งยังมีการคาดการณ์ว่า ที่นี่น่าจะเคยเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในเมื่อครั้งอดีตอีกด้วย
ขณะที่ข้อมูลทางธรณีวิทยานั้นระบุว่า ถ้ำภูผาเพชร มีลักษณะเป็นหินปูนเนื้อดินสีเทาดำ จัดอยู่ในกลุ่มหินทุ่งสงยุคออร์โดวิเชียน (มีอายุประมาณ 488-444 ล้านปี ออร์โดวิเชียน เป็นยุคที่ 2 ของ มหายุคพาลีโอโซอิก)
สำหรับผู้ที่ถูกบันทึกชื่อว่าเป็นค้นพบถ้ำภูผาเพชรอย่างเป็นทางการคือ “หลวงตาแผลง” พระธุดงค์ที่มีข้อมูล(อย่างเป็นทางการจากป้ายหน้าถ้ำ)ว่า ท่านมาพบเจอถ้ำแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ. 2534 ต่อจากนั้นในวันที่ 28 เม.ย. 2541 ทางสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 10 กรมศิลปากร ได้ร่วมกับประชาชนในพื้นที่ทำการสำรวจถ้ำภูผาเพชรและได้ร่วมกันพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรื่อยมา
ส่งผลให้วันนี้ ถ้ำภูผาเพชร เป็นดังเพชรใต้พิภพของเมืองสตูล ซึ่งผู้มาเยือนเมืองอุทยานธรณีโลกแห่งนี้ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ถ้ำภูผาเพชร เพชรใต้พื้นพิภพ
ถ้ำภูผาเพชรเป็นถ้ำที่มีขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่งของเมืองไทย ภายในถ้ำมีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ และมีการเปิดให้เที่ยวชมในบางส่วน นับเป็นหนึ่งในถ้ำที่มีการจัดการที่ค่อนข้างดีทีเดียว(สำหรับบ้านเรา)
ภายในถ้ำมีการจัดสร้างทางเดินชมลดหลั่นไปตามภูมิประเทศ มีไฟส่องสว่างในจุดไฮไลท์ด้วย มีระบบไฟเซนเซอร์ มีการประดับไฟสีในบางจุด พร้อมทั้งมีการฝึกอบรมคนในท้องถิ่น ให้มาเป็นจนท.เป็นไกด์พานักท่องเที่ยว เที่ยวชมความงามภายในถ้ำ ซึ่งส่วนใหญ่ต่างก็มีมุกแพรวพราว สร้างสีสันความสนุกเพลิดเพลินให้กับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดีก่อนที่จะเข้าไปเที่ยวภายในตัวถ้ำกัน เราจะต้องเดินขึ้นบันไดกว่า 300 ขั้นขึ้นเนินเขาไปซึ่งถือว่าเหนื่อยเอาเรื่อง แล้วจึงมาเจอกับปากทางเข้าถ้ำที่เป็นช่องรูเล็ก ๆ ที่พอมุดลอดเข้าไปก็จะกลายเป็นโถงถ้ำใหญ่ มีทางเดินสะพานไม้ทอดยาวให้เราเดินไปตามที่กำหนด
บนทางเดินสะพานไม้ที่ทอดหายไปในความมืดนั้น เป็นดังตัวกำหนดทิศทางให้เราเดินไปชมสิ่งน่าสนใจตามจุดต่าง ๆ อีกทั้งยังกันไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินมั่วสะเปะสะปะ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเอง และความปลอดภัยของตัวถ้ำเอง
เนื่องจากหินงอกหินย้อยจำนวนมากของที่นี่ กว่ามันจะเติบโตสวยงามมาถึงขนาดนี้ ใช้เวลานับพันนับหมื่นปี หลาย ๆ จุดยังคงเป็น“หินเป็น”ที่มีชีวิตและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่หากว่าใคร(ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ)เพียงยื่นมือออกไปสัมผัสกับหินงอกหินย้อยเหล่านั้น มันจะกลายเป็น“หินตาย” หมดโอกาสเติบโตไปในทันที
ดังนั้นในการเที่ยวถ้ำ ไม่ว่าจะเป็นถ้ำภูผาเพชรแห่งนี้ หรือถ้ำแห่งไหน ๆ ก็ตาม ต้อง“ดูแต่ตา มืออย่าต้อง”เด็ดขาด เพราะมิฉะนั้นของจะเสีย ซึ่งเราไม่สามารถกู้ให้ฟื้นคืนขึ้นมาใหม่ได้
นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่ควรกระทำควบคู่กันไปก็คือ การเปิดโลกจินตนาการของเรา ให้พร้อมต่อการสดับรับรู้ในความงามของเหล่าบรรดาหินงอกหินย้อย และสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายภายในถ้ำแห่งนี้ที่เกิดจากธรรมชาติสรรค์สร้าง ให้จินตนาการเป็นรูปร่างต่าง ๆ อาทิ พระพุทธรูป เจ้าแม่กวนอิม หลวงจีน ช้าง ม้า พญานาค เต่า เห็ด ปะการัง ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งมันช่วยทำให้การเที่ยวถ้ำดูมีอรรถรสเพิ่มมากยิ่งขึ้น
มหัศจรรย์หินงอกหินย้อย
เมื่อเรามุดช่องเล็ก ๆ เข้าสู่ภายในถ้ำ ข้างในนี้มีโถงถ้ำ ห้องต่าง ๆ และจุดไฮไลท์ให้ชมกันเป็นจำนวนมาก (ที่ป้ายข้อมูลถ้ำบอกไว้ว่ามี 19 จุด แต่ที่ผมพบเจอ มันมีมากกว่านี้)
เริ่มกันตั้งแต่จุดแรก หลังเดินเข้าถ้ำมาได้ไม่กี่อึดใจก็จะพบกับ “ห้องเสาค้ำสุริยัน” มีลักษณะเป็นเสาหินคู่ 2 ต้นใหญ่ตั้งตระหง่านโดดเด่น
ต่อจากนั้นเส้นทางก็พาไปพบเจอกับหินงอกหินย้อย และปรากฏการณ์ทางธรณีที่น่าตื่นตาตื่นใจต่าง ๆ มากมาย อีกทั้งยังมีให้ชมกันในแทบทุกตารางเมตรของถ้ำแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น
-“หัวพญานาค” ที่เป็นหินงอกดูคล้ายพญานาคชูคอ
-“หัวแหวนเพชร”ที่เข้าใจตั้งชื่อดีแต่ผมจินตนาการตามไม่ทัน เพราะชีวิตไม่เคยมีแหวนเพชร แหวนพลอย หรือแหวนทองเหลืองกับเขาสักวง
-“ห้องม่านเพชร” ที่มีหินงอกหินย้อยแผ่สยายเป็นริ้วม่านยามต้องแสงไฟสะท้อนประกาย(เพชร)ระยิบระยับ
นอกจากนี้ก็ยังมีจุดไฮไลท์อื่น ๆ ให้ชมกันอีก อาทิ “ซุ้มประตูวัง”, “ซุ้มลอด”, “ห้องเห็ด”, “พระพุทธรูป”, “ดอกบัวคว่ำ” ที่แต่ละห้องต่างชวนให้เราจินตนาการตามที่พี่ไกด์แกบอก(ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง)
ด้านชื่อจุด“หมีขั้วโลก” นี่เข้าใจคงจะเดินทางมาไกลมาก ๆ ส่วนที่เดินทางมาไม่ไกล(แค่จากชลบุรี)ก็คือจุด “อ่างศิลาเล็ก” และ “อ่างศิลาใหญ่”
ขณะที่ชื่อจุด“ลานเพลิน” ที่ชวนให้จินตนาการคล้ายเวทีคอนเสิร์ต เพราะเป็นลานหินกว้าง ยกชั้นขึ้นมาเล็กน้อยดูคล้ายเวทีตามธรรมชาติ
ส่วนชื่อลานเพลินนั้นก็สะท้อนถึงอายุของคนตั้งชื่อ เพราะสมัยก่อนลานเพลิน7 สีคอนเสิร์ตนี่ดังมาก(เด็กสมัยนี้หลายคนคงไม่รู้จัก) แต่ถ้าจะให้เก่าขึ้นไปอีกก็ต้องลาน“โลกดนตรี” ชนิดที่ถ้าวง BNK48 เกิดในยุคนั้น ก็ต้องไปขึ้นเวทีลานโลกดนตรี และตามต่อด้วยลานเพลิน 7 สี ให้บรรดาเหล่าโอตะได้กรี๊ดสลบกัน
โดมศิลาเพชร-ลานแสงมรกต
ภายในถ้ำภูผาเพชรมีจุดที่เป็นไฮไลท์ต้องห้ามพลาด อยู่ 2 จุดด้วยกัน จุดแรกคือ “ห้องโถงใหญ่” ที่มีขนาดใหญ่อลังการ(มาก)สมชื่อ
ภายในห้องโถงใหญ่แห่งนี้ อุดมไปด้วย หินงอกหินย้อย เสาหิน แท่งหิน หินน้ำหยด และประติมากรรมธรรมชาติอันหลากหลายให้ทัศนากันในพื้นที่อันใหญ่โต โดยมี “โดมศิลาเพชร”ที่เป็นหินงอกรูปโดมขนาดใหญ่ มีรูปทรงกลม ๆ รี ๆ ดูสวยงามเป็นดาวเด่นภายในโถงแห่งนี้
โดมศิลาเพชร ยังคงเป็น“หินเป็น”ที่มีหยดน้ำจากเบื้องบนเพดานถ้ำหยดลงชโลมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยามเมื่อส่องแสงไปที่ตัวโดมจะเกิดเป็นประกายระยิบระยับคล้ายประดับเพชรอยู่จำนวนมาก
มาถึงอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ที่ต้องเดินลุกเข้าไปในช่วงท้าย ๆ จุดเที่ยวชมของถ้ำ นั่นก็คือ ห้อง“ลานแสงมรกต”
ห้องลานแสงมรกตเป็นโถงถ้ำใหญ่ ที่เพดานถ้ำเป็นช่องโหว่ทะลุ ให้แสงแดดสาดส่องเป็นลำลอดลงมา กระทบกับก้อน“หินสีเขียว” ก้อนใหญ่ใจกลางห้องที่เขาทำคอกไม้ล้อมไว้เพื่อป้องกันนักท่องเที่ยวไปปีนป่ายสัมผัส
ห้องลานแสงมรกตถือเป็นอีกหนึ่งภาพจำที่เป็นดังสัญลักษณ์ของถ้ำภูผาเพชรที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
อันซีนภาพพ่อ
นอกจาก 2 จุดไฮไลท์ดังกล่าวแล้ว วันนี้ถ้ำภูผาเพชรมีอีกหนึ่งจุดอันซีนซึ่งทางไกด์ถ้ำคนท้องถิ่นบอกกับผมว่า เพิ่งพบเจอจุดอันซีนนี้โดยบังเอิญเมื่อไม่นานมานี้
ว่าแล้วพี่ไกด์คนนั้นก็พาผมเดินนำไปยังจุดจุดหนึ่งภายในถ้ำ ก่อนที่จะฉายแสงสปอร์ตไลท์นำสายตาขึ้นไปในความมืดเบื้องบน
ท่ามกลางความมืดมิดทุกทิศรอบตัว...
แสงสว่างหนึ่งเดียวจากสปอร์ตไลท์ของไกด์นำทาง ที่ฉายสาดส่องขึ้นไปกระทบกับแผ่นหินใหญ่ใกล้เพดานถ้ำ ทำให้ผมได้เห็นภาพที่ดูแล้วน่าอัศจรรย์ไม่น้อย
ภาพนั้นดูคล้าย“ภาพพ่อ” ที่ไม่จำเป็นต้องใช้จินตนาการใด ๆ คนไทยเราก็ดูออก กับภาพ(คล้าย) “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙” ที่ทรงโน้มพระองค์ลงไปรับดอกบัวจาก “คุณยายตุ้ม จันทนิตย์” หญิงชราชาวนครพนม อย่างไม่ถือพระองค์
นับเป็นอีกหนึ่งภาพจำที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
จากภาพพ่อที่ปรากฏเบื้องหน้า
พลันที่ตาได้เห็น ใจได้สัมผัส ความรู้สึกนึกคิดนำพา
“น้ำตา”ของผมก็ค่อย ๆ ซึมไหลเอ่อคลอหน่วยออกมา
พร้อม ๆ กับคิดถึงคนบนฟ้าขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ
แม้ใจจะรู้ว่าภาพพ่อที่ดูน่าอัศจรรย์นั้น เกิดจากการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ แต่เราก็ไม่สามารถสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้
วันนี้แม้จะครบ 2 ปี ที่พ่อของแผ่นดินเสด็จสู่สวรรคาลัย
แต่พระองค์ท่านยังคงสถิตอยู่ในดวงใจของลูก ๆ ชาวไทยทุกคน
พ่อไม่ได้จากไปไหน แต่พ่อยังอยู่ในดวงใจของพวกเราเสมอ
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
ท่ามกลางความมืดมิดทุกทิศรอบตัว...
แสงสว่างหนึ่งเดียวจากสปอร์ตไลท์ของไกด์นำทาง ที่ฉายสาดส่องขึ้นไปกระทบกับแผ่นหินใหญ่ใกล้เพดานถ้ำ ทำให้ผมได้เห็นภาพที่ดูแล้วน่าอัศจรรย์ไม่น้อย
พลันที่ตาได้เห็น ใจได้สัมผัส ความรู้สึกนึกคิดนำพา
“น้ำตา”ของผมก็ค่อย ๆ ซึมไหลเอ่อคลอหน่วยออกมา
พร้อม ๆ กับคิดถึงคนบนฟ้าขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ
รู้จักถ้ำภูผาเพชร
คนเราดูภายนอกไม่ได้ ฉันใดก็ฉันเพล การเที่ยวถ้ำก็ไม่สามารถดูที่ภายนอกได้เช่นกัน เพราะความงามแท้จริงของถ้ำนั้นมันอยู่ภายใน
ดังเช่น “ถ้ำภูผาเพชร” จังหวัดสตูล ที่หากมองกันแค่ภายนอกบริเวณหน้าปากถ้ำ ก็จะเห็นเพียงแค่รูโพรงเล็ก ๆ ขนาดเท่าคนดิ้นตาย แต่เมื่อได้มุดลอดเข้าไป เราก็จะได้พบกับความสวยงามและความมหัศจรรย์จากธรรมชาติสรรค์สร้าง ซึ่งทำให้ถ้ำแห่งนี้ติดอันดับต้น ๆ ของถ้ำที่สวยที่สุดในเมืองไทยเลยทีเดียว
ถ้ำภูผาเพชร ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด หมู่ที่ 9 ต.ปาล์มพัฒนา อ.มะนัง จ.สตูล
เดิมถ้ำแห่งนี้มีชื่อเรียกขานว่า “ถ้ำลอด” “ถ้ำยาว” และ “ถ้ำเพชร” ตามลักษณะของถ้ำที่มีขนาดใหญ่ ยาว คดเคี้ยว แบ่งเป็นหลายห้องหลายคูหา ก่อนที่จะถูกเรียกขานใหม่อย่างเป็นทางการว่า “ถ้ำภูผาเพชร” เนื่องจากมีหินงอกหินย้อยภายในถ้ำบางส่วน ยามเมื่อกระทบกับแสงไป จะมีประกายแวววาวระยิบระยับเหมือนเพชร
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดี ถ้ำภูผาเพชรเคยเป็นแหล่งพักพิงอยู่อาศัยของมนุษย์โบราณมาตั้งแต่เมื่อกว่า 3 พันปีมาแล้ว โดยมีการค้นพบกะโหลกศีรษะของมนุษย์โบราณ เศษภาชนะดินเผา กระดูกสัตว์ และเปลือกหอยบรรจุในภาชนะดินเผา ภายในถ้ำแห่งนี้ อีกทั้งยังมีการคาดการณ์ว่า ที่นี่น่าจะเคยเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในเมื่อครั้งอดีตอีกด้วย
ขณะที่ข้อมูลทางธรณีวิทยานั้นระบุว่า ถ้ำภูผาเพชร มีลักษณะเป็นหินปูนเนื้อดินสีเทาดำ จัดอยู่ในกลุ่มหินทุ่งสงยุคออร์โดวิเชียน (มีอายุประมาณ 488-444 ล้านปี ออร์โดวิเชียน เป็นยุคที่ 2 ของ มหายุคพาลีโอโซอิก)
สำหรับผู้ที่ถูกบันทึกชื่อว่าเป็นค้นพบถ้ำภูผาเพชรอย่างเป็นทางการคือ “หลวงตาแผลง” พระธุดงค์ที่มีข้อมูล(อย่างเป็นทางการจากป้ายหน้าถ้ำ)ว่า ท่านมาพบเจอถ้ำแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ. 2534 ต่อจากนั้นในวันที่ 28 เม.ย. 2541 ทางสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 10 กรมศิลปากร ได้ร่วมกับประชาชนในพื้นที่ทำการสำรวจถ้ำภูผาเพชรและได้ร่วมกันพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรื่อยมา
ส่งผลให้วันนี้ ถ้ำภูผาเพชร เป็นดังเพชรใต้พิภพของเมืองสตูล ซึ่งผู้มาเยือนเมืองอุทยานธรณีโลกแห่งนี้ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ถ้ำภูผาเพชร เพชรใต้พื้นพิภพ
ถ้ำภูผาเพชรเป็นถ้ำที่มีขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่งของเมืองไทย ภายในถ้ำมีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ และมีการเปิดให้เที่ยวชมในบางส่วน นับเป็นหนึ่งในถ้ำที่มีการจัดการที่ค่อนข้างดีทีเดียว(สำหรับบ้านเรา)
ภายในถ้ำมีการจัดสร้างทางเดินชมลดหลั่นไปตามภูมิประเทศ มีไฟส่องสว่างในจุดไฮไลท์ด้วย มีระบบไฟเซนเซอร์ มีการประดับไฟสีในบางจุด พร้อมทั้งมีการฝึกอบรมคนในท้องถิ่น ให้มาเป็นจนท.เป็นไกด์พานักท่องเที่ยว เที่ยวชมความงามภายในถ้ำ ซึ่งส่วนใหญ่ต่างก็มีมุกแพรวพราว สร้างสีสันความสนุกเพลิดเพลินให้กับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดีก่อนที่จะเข้าไปเที่ยวภายในตัวถ้ำกัน เราจะต้องเดินขึ้นบันไดกว่า 300 ขั้นขึ้นเนินเขาไปซึ่งถือว่าเหนื่อยเอาเรื่อง แล้วจึงมาเจอกับปากทางเข้าถ้ำที่เป็นช่องรูเล็ก ๆ ที่พอมุดลอดเข้าไปก็จะกลายเป็นโถงถ้ำใหญ่ มีทางเดินสะพานไม้ทอดยาวให้เราเดินไปตามที่กำหนด
บนทางเดินสะพานไม้ที่ทอดหายไปในความมืดนั้น เป็นดังตัวกำหนดทิศทางให้เราเดินไปชมสิ่งน่าสนใจตามจุดต่าง ๆ อีกทั้งยังกันไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินมั่วสะเปะสะปะ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเอง และความปลอดภัยของตัวถ้ำเอง
เนื่องจากหินงอกหินย้อยจำนวนมากของที่นี่ กว่ามันจะเติบโตสวยงามมาถึงขนาดนี้ ใช้เวลานับพันนับหมื่นปี หลาย ๆ จุดยังคงเป็น“หินเป็น”ที่มีชีวิตและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่หากว่าใคร(ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ)เพียงยื่นมือออกไปสัมผัสกับหินงอกหินย้อยเหล่านั้น มันจะกลายเป็น“หินตาย” หมดโอกาสเติบโตไปในทันที
ดังนั้นในการเที่ยวถ้ำ ไม่ว่าจะเป็นถ้ำภูผาเพชรแห่งนี้ หรือถ้ำแห่งไหน ๆ ก็ตาม ต้อง“ดูแต่ตา มืออย่าต้อง”เด็ดขาด เพราะมิฉะนั้นของจะเสีย ซึ่งเราไม่สามารถกู้ให้ฟื้นคืนขึ้นมาใหม่ได้
นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่ควรกระทำควบคู่กันไปก็คือ การเปิดโลกจินตนาการของเรา ให้พร้อมต่อการสดับรับรู้ในความงามของเหล่าบรรดาหินงอกหินย้อย และสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายภายในถ้ำแห่งนี้ที่เกิดจากธรรมชาติสรรค์สร้าง ให้จินตนาการเป็นรูปร่างต่าง ๆ อาทิ พระพุทธรูป เจ้าแม่กวนอิม หลวงจีน ช้าง ม้า พญานาค เต่า เห็ด ปะการัง ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งมันช่วยทำให้การเที่ยวถ้ำดูมีอรรถรสเพิ่มมากยิ่งขึ้น
มหัศจรรย์หินงอกหินย้อย
เมื่อเรามุดช่องเล็ก ๆ เข้าสู่ภายในถ้ำ ข้างในนี้มีโถงถ้ำ ห้องต่าง ๆ และจุดไฮไลท์ให้ชมกันเป็นจำนวนมาก (ที่ป้ายข้อมูลถ้ำบอกไว้ว่ามี 19 จุด แต่ที่ผมพบเจอ มันมีมากกว่านี้)
เริ่มกันตั้งแต่จุดแรก หลังเดินเข้าถ้ำมาได้ไม่กี่อึดใจก็จะพบกับ “ห้องเสาค้ำสุริยัน” มีลักษณะเป็นเสาหินคู่ 2 ต้นใหญ่ตั้งตระหง่านโดดเด่น
ต่อจากนั้นเส้นทางก็พาไปพบเจอกับหินงอกหินย้อย และปรากฏการณ์ทางธรณีที่น่าตื่นตาตื่นใจต่าง ๆ มากมาย อีกทั้งยังมีให้ชมกันในแทบทุกตารางเมตรของถ้ำแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น
-“หัวพญานาค” ที่เป็นหินงอกดูคล้ายพญานาคชูคอ
-“หัวแหวนเพชร”ที่เข้าใจตั้งชื่อดีแต่ผมจินตนาการตามไม่ทัน เพราะชีวิตไม่เคยมีแหวนเพชร แหวนพลอย หรือแหวนทองเหลืองกับเขาสักวง
-“ห้องม่านเพชร” ที่มีหินงอกหินย้อยแผ่สยายเป็นริ้วม่านยามต้องแสงไฟสะท้อนประกาย(เพชร)ระยิบระยับ
นอกจากนี้ก็ยังมีจุดไฮไลท์อื่น ๆ ให้ชมกันอีก อาทิ “ซุ้มประตูวัง”, “ซุ้มลอด”, “ห้องเห็ด”, “พระพุทธรูป”, “ดอกบัวคว่ำ” ที่แต่ละห้องต่างชวนให้เราจินตนาการตามที่พี่ไกด์แกบอก(ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง)
ด้านชื่อจุด“หมีขั้วโลก” นี่เข้าใจคงจะเดินทางมาไกลมาก ๆ ส่วนที่เดินทางมาไม่ไกล(แค่จากชลบุรี)ก็คือจุด “อ่างศิลาเล็ก” และ “อ่างศิลาใหญ่”
ขณะที่ชื่อจุด“ลานเพลิน” ที่ชวนให้จินตนาการคล้ายเวทีคอนเสิร์ต เพราะเป็นลานหินกว้าง ยกชั้นขึ้นมาเล็กน้อยดูคล้ายเวทีตามธรรมชาติ
ส่วนชื่อลานเพลินนั้นก็สะท้อนถึงอายุของคนตั้งชื่อ เพราะสมัยก่อนลานเพลิน7 สีคอนเสิร์ตนี่ดังมาก(เด็กสมัยนี้หลายคนคงไม่รู้จัก) แต่ถ้าจะให้เก่าขึ้นไปอีกก็ต้องลาน“โลกดนตรี” ชนิดที่ถ้าวง BNK48 เกิดในยุคนั้น ก็ต้องไปขึ้นเวทีลานโลกดนตรี และตามต่อด้วยลานเพลิน 7 สี ให้บรรดาเหล่าโอตะได้กรี๊ดสลบกัน
โดมศิลาเพชร-ลานแสงมรกต
ภายในถ้ำภูผาเพชรมีจุดที่เป็นไฮไลท์ต้องห้ามพลาด อยู่ 2 จุดด้วยกัน จุดแรกคือ “ห้องโถงใหญ่” ที่มีขนาดใหญ่อลังการ(มาก)สมชื่อ
ภายในห้องโถงใหญ่แห่งนี้ อุดมไปด้วย หินงอกหินย้อย เสาหิน แท่งหิน หินน้ำหยด และประติมากรรมธรรมชาติอันหลากหลายให้ทัศนากันในพื้นที่อันใหญ่โต โดยมี “โดมศิลาเพชร”ที่เป็นหินงอกรูปโดมขนาดใหญ่ มีรูปทรงกลม ๆ รี ๆ ดูสวยงามเป็นดาวเด่นภายในโถงแห่งนี้
โดมศิลาเพชร ยังคงเป็น“หินเป็น”ที่มีหยดน้ำจากเบื้องบนเพดานถ้ำหยดลงชโลมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยามเมื่อส่องแสงไปที่ตัวโดมจะเกิดเป็นประกายระยิบระยับคล้ายประดับเพชรอยู่จำนวนมาก
มาถึงอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ที่ต้องเดินลุกเข้าไปในช่วงท้าย ๆ จุดเที่ยวชมของถ้ำ นั่นก็คือ ห้อง“ลานแสงมรกต”
ห้องลานแสงมรกตเป็นโถงถ้ำใหญ่ ที่เพดานถ้ำเป็นช่องโหว่ทะลุ ให้แสงแดดสาดส่องเป็นลำลอดลงมา กระทบกับก้อน“หินสีเขียว” ก้อนใหญ่ใจกลางห้องที่เขาทำคอกไม้ล้อมไว้เพื่อป้องกันนักท่องเที่ยวไปปีนป่ายสัมผัส
ห้องลานแสงมรกตถือเป็นอีกหนึ่งภาพจำที่เป็นดังสัญลักษณ์ของถ้ำภูผาเพชรที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
อันซีนภาพพ่อ
นอกจาก 2 จุดไฮไลท์ดังกล่าวแล้ว วันนี้ถ้ำภูผาเพชรมีอีกหนึ่งจุดอันซีนซึ่งทางไกด์ถ้ำคนท้องถิ่นบอกกับผมว่า เพิ่งพบเจอจุดอันซีนนี้โดยบังเอิญเมื่อไม่นานมานี้
ว่าแล้วพี่ไกด์คนนั้นก็พาผมเดินนำไปยังจุดจุดหนึ่งภายในถ้ำ ก่อนที่จะฉายแสงสปอร์ตไลท์นำสายตาขึ้นไปในความมืดเบื้องบน
ท่ามกลางความมืดมิดทุกทิศรอบตัว...
แสงสว่างหนึ่งเดียวจากสปอร์ตไลท์ของไกด์นำทาง ที่ฉายสาดส่องขึ้นไปกระทบกับแผ่นหินใหญ่ใกล้เพดานถ้ำ ทำให้ผมได้เห็นภาพที่ดูแล้วน่าอัศจรรย์ไม่น้อย
ภาพนั้นดูคล้าย“ภาพพ่อ” ที่ไม่จำเป็นต้องใช้จินตนาการใด ๆ คนไทยเราก็ดูออก กับภาพ(คล้าย) “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙” ที่ทรงโน้มพระองค์ลงไปรับดอกบัวจาก “คุณยายตุ้ม จันทนิตย์” หญิงชราชาวนครพนม อย่างไม่ถือพระองค์
นับเป็นอีกหนึ่งภาพจำที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
จากภาพพ่อที่ปรากฏเบื้องหน้า
พลันที่ตาได้เห็น ใจได้สัมผัส ความรู้สึกนึกคิดนำพา
“น้ำตา”ของผมก็ค่อย ๆ ซึมไหลเอ่อคลอหน่วยออกมา
พร้อม ๆ กับคิดถึงคนบนฟ้าขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ
แม้ใจจะรู้ว่าภาพพ่อที่ดูน่าอัศจรรย์นั้น เกิดจากการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ แต่เราก็ไม่สามารถสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้
วันนี้แม้จะครบ 2 ปี ที่พ่อของแผ่นดินเสด็จสู่สวรรคาลัย
แต่พระองค์ท่านยังคงสถิตอยู่ในดวงใจของลูก ๆ ชาวไทยทุกคน
พ่อไม่ได้จากไปไหน แต่พ่อยังอยู่ในดวงใจของพวกเราเสมอ
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager