Facebook :Travel @ Manager

ไปฮ่องกงทีไร ใครๆ ก็อยากไปช้อปปิ้งที่มงก๊ก ไปเดินเล่นจิมซาจุ่ย ไปถ่ายรูปเก๋ๆ แถวย่านเซ็นทรัล แต่หากอยากเก๋ไม่ซ้ำใคร ไปฮ่องกงตอนนี้ต้องไปเที่ยวย่าน “ซัมซุยโป” (Sham Shui Po) เท่านั้นนะจ๊ะ
ย่านซัมซุยโปที่ว่านี้ ตั้งอยู่ใจกลางฝั่งเกาลูน ไม่ไกลจากแหล่งช้อปย่านมงก๊กเท่าไรนัก ที่นี่เป็นอีกหนึ่งย่านเก่าในฮ่องกงที่อดีตเคยเป็นฐานที่ตั้งกองกำลังทหารและพื้นที่ค่ายผู้อพยพลี้ภัย ก่อนจะเริ่มมีการปลูกสร้างตึกแถวบ้านเรือนของการเคหะของรัฐบาลฮ่องกง พร้อมกับการเข้ามาของโรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจร้านค้า ทำให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์รวมของชาวฮ่องกงดั้งเดิมและชนชั้นกรรมาชีพที่ใช้ชีวิตทำมาหากินกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย สะท้อนกลิ่นอายวัฒนธรรมและวิถีแบบคนฮ่องกงแท้ๆ ให้เราได้มาสัมผัส

หากจะเปรียบเทียบให้พอนึกภาพออก “ตะลอนเที่ยว” ขอเปรียบซัมซุยโปกับกรุงเทพฯ ว่ามีความคล้ายคลึงกับย่านพาหุรัดผสมกับคลองถมและประตูน้ำ คือเป็นย่านที่อยู่อาศัยและค้าขายของคนท้องถิ่น ตัวอาคารเป็นตึกแถวที่มีร้านค้าและร้านอาหารเก่าแก่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น แต่ก็มีร้านรวงเก๋ๆ ของคนรุ่นใหม่มาแทรกตัวและสร้างสีสันให้ย่านซัมซุยโปมีความน่าค้นหามากขึ้น
วันนี้ที่ “ตะลอนเที่ยว” มาเยือนฮ่องกง จึงขอเดินเท้าท่องเที่ยวเก็บบรรยากาศในย่านซัมซุยโปมาฝากกัน ครั้งนี้ไม่ได้เดินดุ่มๆ ไปคนเดียวแต่มีเจ้าถิ่นจาก “Walk in Hong Kong” ซึ่งเป็นผู้จัดทัวร์กรุ๊ปเล็กๆ พาเดินเท้าท่องเที่ยวไปในย่านต่างๆ ของฮ่องกงตามแต่ความสนใจของแต่ละกลุ่ม (สามารถดูรายละเอียดได้จาก www.walkin.hk หรือ FB: WalkinHongKong) ทำให้เราได้รู้จักกับซัมซุยโปอย่างลึกซึ้งมากขึ้น
เราได้ไปเยือน “Mei Ho House” (เหมยโฮเฮาส์) บนถนน Berwick ก่อนเป็นแห่งแรกเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องและทำให้เราได้เข้าใจถึงวิถีชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ของคนฮ่องกงได้ดียิ่งขึ้น เหมยโฮเฮาส์ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ HK Youth Hostel Association คือเปิดเป็นโฮสเทลให้นักท่องเที่ยวเข้าพัก มีคาเฟ่น่ารักๆ ให้นั่งดื่มเครื่องดื่มและพูดคุยกัน อีกทั้งบริเวณชั้นล่างของอาคารยังเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ “Heritage of Mei Ho House” เนื่องจากอาคารแห่งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของฮ่องกงที่น่าสนใจ

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1953 เมื่อก่อนนั้นคนฮ่องกงยังคงสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยตามที่ราบริมชายฝั่งเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้อยู่กันบนตึกสูงอย่างที่เห็นในสมัยนี้ บ้านเรือนสมัยนั้นสร้างติดๆ กันเป็นชุมชนใหญ่ บ้างสร้างด้วยไม้บ้างเป็นอาคารปูน แต่ในปี 1953 ได้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้น หรือรู้จักกันในชื่อ Shek Kip Mei Fire ทำเอาประชาชนกว่า 58,000 คน กลายเป็นคนไร้บ้านไปในชั่วข้ามคืน รัฐบาลฮ่องกงต้องรีบเร่งช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนโดยการสร้างตึกเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยแก่คนเหล่านี้
อาคารชุดแรกที่สร้างขึ้นนั้นสร้างเสร็จภายใน 1 ปี เป็นอาคาร 6 ชั้น จำนวน 8 อาคาร แต่ละอาคารมีรูปร่างเป็นรูปตัว H ถือเป็นตึกพักอาศัยชุดแรกที่รัฐบาลสร้างขึ้นเพื่อประชาชน และเป็นต้นแบบของอาคารพักอาศัยในยุคต่อๆ มา ส่วนเหมยโฮเฮาส์นั้นก็เป็น 1 ใน 8 ตึกรูปตัว H ที่สร้างในสมัยนั้น และยังเป็นเพียงตึกเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่มาจนทุกวันนี้


เมื่อเข้าไปชมภายใน “ตะลอนเที่ยว” จึงเห็นว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เล่าเรื่องราวได้ดีทีเดียว เราได้เห็นภาพเก่าๆ ตั้งแต่เหตุการณ์เพลิงไหม้ เห็นภาพของตึกรูปตัว H เมื่อแรกสร้าง ได้เห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในตึกที่ดูแล้วอึดอัดไม่น้อยเพราะห้องพักแต่ละห้องก็ไม่ได้กว้างขวางมากนัก บนชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ยังได้ทำโมเดลจำลองตึกรูปตัว H และจัดจำลองห้องพัก ห้องน้ำ ห้องครัวภายในตึกไว้ให้เราได้เห็นภาพชัดเจน และทำให้เราเข้าใจมากขึ้นเมื่อเห็นภาพที่พักอาศัยของคนฮ่องกงในสมัยนี้ว่าต้องจ่ายเงินแสนแพง (เมื่อเทียบเป็นเงินไทย) แต่ได้พื้นที่น้อยนิด แต่พวกเขาก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เพราะมันกลายเป็นวิถีชีวิตแต่ดั้งเดิมมาแล้ว
บริเวณด้านหลังตึกเหมยโฮเฮาส์เป็นเนินเขาลูกเล็กๆ ที่เรียกว่า “Garden Hill” ขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดอย่างยิ่งที่จะขึ้นไปชมวิวด้านบน เพราะนอกจากจะทำให้เห็นตึกเหมยโฮเฮาส์เป็นรูปตัว H อย่างชัดเจนแล้วยังเห็นวิวเมืองฮ่องกงแบบสวยสุดๆ อีกต่างหาก เพียงแต่ว่าช่วงกลางวันแดดจะแรงไปนิด จึงขอให้ถึงเวลาเย็นย่ำแล้ว “ตะลอนเที่ยว” จะพาไปชมพระอาทิตย์ตกดินบนเขากัน

แต่ตอนนี้ขอพาเดินชมย่านซัมซุยโปกันต่อ ที่บอกว่าที่นี่บรรยากาศคล้ายย่านพาหุรัด คลองถม ประตูน้ำรวมกัน ก็เพราะในซัมซุยโปนั้นมีการค้าที่หลากหลาย ถนนหนทางในย่านนี้จะตัดกันเป็นบล็อกๆ และมีตึกสูงล้อมไว้ทุกด้าน ตึกเหล่านั้นก็เป็นอาคารพักอาศัยที่ชั้นล่างเปิดเป็นร้านค้าสารพัด
ในโซนที่ขายเสื้อผ้านั้นก็จะมีบรรยากาศคล้ายๆ ประตูน้ำบ้านเรา คือมาพอช่วงสายๆ ก็จะมาตั้งแผงขายกันบนถนน และมีทั้งขายส่งและขายปลีก มีผู้คนเดินเลือกซื้อสินค้าต่อรองราคากันขวักไขว่ ย่านที่ขายเสื้อผ้าค่อนข้างแฟชันหน่อยจะอยู่บนถนน Cheung Sha Wan ซึ่งบรรดาดีไซเนอร์รุ่นใหม่มักจะมาซื้อเสื้อผ้าซื้อวัสดุไปตัดเย็บเสื้อผ้ากันที่นี่


นอกจากนั้นก็มีย่านที่ขายผ้าเป็นม้วนๆ ขายวัสดุอุปกรณ์ตัดเย็บต่างๆ นานาให้คนที่ชอบงานฝีมือได้มาเดินเลือกซื้อกันสนุกเหมือนกับแถวพาหุรัดบ้านเรา ส่วนที่ถนน Aplui ก็เหมือนย่านคลองถมที่มีอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ เครื่องมือช่างและอะไหล่ทั้งของใหม่และมือสอง รวมไปถึงของเก่าทั้งหลาย คุณผู้ชายคงจะเดินดูเพลินไปเลย ถ้าใครตาดีก็อาจจะได้นาฬิกาเก่าหรือเหรียญเก่าๆ ที่มีมูลค่าสูงไปในราคาดีๆ ก็เป็นได้
จะเห็นได้ว่าร้านรวงเหล่านี้ไม่ใช่ร้านเก๋ไก๋ที่เอาไว้เช็คอินถ่ายรูปเหมือนย่านช้อปปิ้งอื่นๆ ของฮ่องกงแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ทำให้เราเดินเล่นได้เพลินก็คือความเป็นวิถีชีวิตของจริงแบบเดิมๆ ของคนซัมซุยโปนั่นเอง แต่คนที่ชอบความเก๋ความฮิปก็อย่าเพิ่งเบื่อ เพราะในที่ต่างๆ ของซัมซุยโปก็มี “มุมฮิปสเตอร์” ให้ได้ยลอยู่เหมือนกัน โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่บ้างก็มีถิ่นกำเนิดที่ซัมซุยโปอยู่แล้ว บ้างก็มาเช่าร้านที่นี่เพื่อขายสินค้าก็มี อาทิ



ร้าน “Shop Little Two” (ถนน Nam Cheong) ร้านขายของเล่นเก่าซึ่งเป็นแนวของสะสมวินเทจที่ทำให้รำลึกถึงอดีต ในร้านมีทั้งของเล่นเก่า แผ่นเสียงเก่า หนังสือเก่า เครื่องพิมพ์ดีดหน้าตาโบราณ ฯลฯ คนชอบของเก่าเดินเพลินแน่ๆ


ร้าน “Savon Workshop” (ถนน Tai Nam) ที่เป็นร้านขายอุปกรณ์การทำสบู่ ทั้งหัวเชื้อสบู่ หัวน้ำหอม กลิ่นอโรมาต่างๆ และนอกจากขายแล้วยังสามารถติดต่อเพื่อเข้าร่วมเวิร์คชอปการทำสบู่ก่อนแบบครบขั้นตอนได้อีกด้วย


หรือจะเป็นแนวโฮสเทลฮิปๆ อย่าง “Wontonmeen” ที่แปลเป็นไทยได้ว่า “บะหมี่เกี๊ยว” (ถนน Lai Chi Kok) ก็เป็นครีเอทีฟโฮสเทลของสาวอาร์ตตัวแม่อย่าง Patricia Choi ซึ่งมีอาชีพเป็นดีไซเนอร์ ส่วนสามีเป็นนักดนตรี เธอจึงอยากสร้างให้ตึกของเธอที่อยู่ในซัมซุยโปนี้เป็นพื้นที่ให้คนที่มีความคิดสร้างสรรค์มารวมตัวพูดคุยกัน จนกลายเป็นโฮสเทลที่มีชื่อที่ทำให้นึกถึงความเป็นฮ่องกงก็คือ Wontonmeen และถึงแม้ใครจะไม่ได้มาพักที่นี่แต่ก็สามารถมาชิมกาแฟซึ่งเปิดอยู่ที่ชั้นล่างได้ด้วย

อีกหนึ่งร้านที่ไม่แนะนำไม่ได้คือร้าน “Doughnut” (ถนน Fuk Wa) ร้านนี้ไม่ได้ขายขนมโดนัทแต่อย่างใด แต่ขายกระเป๋าเป้หลากสไตล์ยี่ห้อโดนัทต่างหาก “ตะลอนเที่ยว” มีโอกาสดีได้พบกับ 1 ในเจ้าของร้านคือคุณ Rex Yam ที่เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า หลังจากเรียนจบก็อยากออกไปท่องเที่ยวกับเพื่อน แต่หาเป้ที่จุของเยอะๆ มีช่องแยะๆ และสวยถูกใจไม่ได้ ก็เลยออกแบบกระเป๋ากันเองเสียเลย แต่เมื่อไปจ้างโรงงานผลิตจะทำแค่ใบสองใบไม่ได้ ก็เลยต้องทำออกมาร้อยสองร้อยใบ แล้วที่เหลือก็ขาย จนกลายเป็นกิจการกระเป๋าเป้อย่างทุกวันนี้
เป้ของร้าน Doughnut นี้มีขายทั่วเอเชียรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน บางคนอาจจะเคยเห็นและเคยใช้มาบ้างแล้ว ก็ขอบอกว่าถ้ามาฮ่องกงก็อย่าลืมมาแวะสาขาดั้งเดิมที่ซัมซุยโปนี้กันด้วย


ส่วนอีกหนึ่งร้านที่แสดงถึงการพัฒนาจากรุ่นสู่รุ่นก็คือร้านทำโคมกระดาษ “Bo Wah Paper Craft” ที่ใช้ในงานเทศกาล รวมถึงกระดาษเงินกระดาษทองที่ทำเป็นรูปต่างๆ ที่คนจีนจะเผาเพื่อส่งไปให้บรรพบุรษ ที่ร้านนี้มีคุณ Au Yeung Ping Chi เป็นผู้รับช่วงต่อการทำโคมกระดาษมาจากคุณพ่อ และได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงงานกระดาษเหล่านี้ให้ทันสมัยมากขึ้น เรียกว่าอยากจะเผาอะไรส่งไปให้อากงอาม่าก็มาเลือกซื้อหรือสั่งทำที่นี่ได้ ทั้งหม้อไฟชาบูซีฟู้ด หรือแม้กระทั่งคอมพิวเตอร์แม็คบุค ซึ่งการทำงานขึ้นโครงต่างๆ ก็ยังใช้ฝีมือล้วนๆ และมีคนเข้าร้านเพื่อหาซื้อของตลอดไม่เคยขาด

ที่ว่ามาเหล่านี้ก็เป็นร้านเก๋ๆ ที่ของคนรุ่นใหม่ในซัมซุยโปที่สามารถเข้าไปแวะชมกันได้ นี่ “ตะลอนเที่ยว” ยังไม่ได้พูดถึงร้านของกินของอร่อยอีกมากมายทั้งร้านเต้าหู้ทอด ร้านเกี๊ยว หรือร้านซุปงู! ที่เปิดกันมาเป็นสิบๆ ปีแล้วก็มีลูกค้ารอคิวเข้าไปชิมกันเพียบ ซึ่งจะขอพูดถึงในโอกาสต่อไป แต่ในตอนนี้ที่ได้เวลาแดดร่มลมตกแล้วก็จะขอพาไปชมวิวที่ Garden Hill ตามสัญญา

ย้อนกลับมาที่เหมยโฮเฮาส์อีกครั้ง แล้วเดินไปทางด้านหลังตึกซึ่งเป็นทางขึ้นสู่ยอดเขา Garden Hill นี้มีความสูงราว 90 เมตรเท่านั้นเอง ใช้เวลาเดินขึ้นไปตามขั้นบันได 15-20 นาทีก็ได้พบกับวิวเทพๆ ของฮ่องกงแล้ว อ้อ...ระหว่างทางขึ้นถ้ามองลงมาก็จะได้เห็นอาคารเหมยโฮเฮาส์ที่เป็นรูปตัว H ได้อย่างชัดเจนอีกด้วยนะ


เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนยอดเขาเราก็จะพบกับวิวตึกสูงมากมายที่ดูแล้วสมเป็นฮ่องกงจริงๆ ซึ่งบรรดาตึกทั้งหลายข้างหน้าเรานั้นก็คือย่านซัมซุยโปซึ่งมองไปได้ไกลเห็นวิวทะเลลิบๆ ที่นี่พระอาทิตย์ไม่ตกลงสู่ทะเลเพราะถูกตึกสูงบังเสียก่อน เราค่อยๆ นั่งมองพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมตึกไปพร้อมๆ กับบรรดาตากล้องและหนุ่มสาวชาวฮ่องกงที่เดินขึ้นมาชมบรรยากาศบน Garden Hill ไปพร้อมๆ กัน นับเป็นการจบทริปสำรวจย่านซัมซุยโปได้แบบสวยงามและประทับใจมากจริงๆ


การเดินทางมาซัมซุยโป สามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาขึ้นที่สถานี Sham Shui Po ได้เลย แล้วเดินเท้าเที่ยวไปรอบๆ ได้ สำหรับพิพิธภัณฑ์เหมยโฮเฮาส์ เปิดให้เข้าชมวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 09.30-17.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชม และสำหรับผู้ที่อยากทราบรายละเอียดการท่องเที่ยวในย่านซัมซุยโปหรือสถานที่อื่นๆ ในฮ่องกง สามารถสอบถามได้ที่การท่องเที่ยวฮ่องกงประจำประเทศไทย โทร.0 2713 2283 หรือดูได้ที่ www.discoverhongkong.com/th/index.jsp
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
ไปฮ่องกงทีไร ใครๆ ก็อยากไปช้อปปิ้งที่มงก๊ก ไปเดินเล่นจิมซาจุ่ย ไปถ่ายรูปเก๋ๆ แถวย่านเซ็นทรัล แต่หากอยากเก๋ไม่ซ้ำใคร ไปฮ่องกงตอนนี้ต้องไปเที่ยวย่าน “ซัมซุยโป” (Sham Shui Po) เท่านั้นนะจ๊ะ
ย่านซัมซุยโปที่ว่านี้ ตั้งอยู่ใจกลางฝั่งเกาลูน ไม่ไกลจากแหล่งช้อปย่านมงก๊กเท่าไรนัก ที่นี่เป็นอีกหนึ่งย่านเก่าในฮ่องกงที่อดีตเคยเป็นฐานที่ตั้งกองกำลังทหารและพื้นที่ค่ายผู้อพยพลี้ภัย ก่อนจะเริ่มมีการปลูกสร้างตึกแถวบ้านเรือนของการเคหะของรัฐบาลฮ่องกง พร้อมกับการเข้ามาของโรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจร้านค้า ทำให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์รวมของชาวฮ่องกงดั้งเดิมและชนชั้นกรรมาชีพที่ใช้ชีวิตทำมาหากินกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย สะท้อนกลิ่นอายวัฒนธรรมและวิถีแบบคนฮ่องกงแท้ๆ ให้เราได้มาสัมผัส
หากจะเปรียบเทียบให้พอนึกภาพออก “ตะลอนเที่ยว” ขอเปรียบซัมซุยโปกับกรุงเทพฯ ว่ามีความคล้ายคลึงกับย่านพาหุรัดผสมกับคลองถมและประตูน้ำ คือเป็นย่านที่อยู่อาศัยและค้าขายของคนท้องถิ่น ตัวอาคารเป็นตึกแถวที่มีร้านค้าและร้านอาหารเก่าแก่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น แต่ก็มีร้านรวงเก๋ๆ ของคนรุ่นใหม่มาแทรกตัวและสร้างสีสันให้ย่านซัมซุยโปมีความน่าค้นหามากขึ้น
วันนี้ที่ “ตะลอนเที่ยว” มาเยือนฮ่องกง จึงขอเดินเท้าท่องเที่ยวเก็บบรรยากาศในย่านซัมซุยโปมาฝากกัน ครั้งนี้ไม่ได้เดินดุ่มๆ ไปคนเดียวแต่มีเจ้าถิ่นจาก “Walk in Hong Kong” ซึ่งเป็นผู้จัดทัวร์กรุ๊ปเล็กๆ พาเดินเท้าท่องเที่ยวไปในย่านต่างๆ ของฮ่องกงตามแต่ความสนใจของแต่ละกลุ่ม (สามารถดูรายละเอียดได้จาก www.walkin.hk หรือ FB: WalkinHongKong) ทำให้เราได้รู้จักกับซัมซุยโปอย่างลึกซึ้งมากขึ้น
เราได้ไปเยือน “Mei Ho House” (เหมยโฮเฮาส์) บนถนน Berwick ก่อนเป็นแห่งแรกเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องและทำให้เราได้เข้าใจถึงวิถีชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ของคนฮ่องกงได้ดียิ่งขึ้น เหมยโฮเฮาส์ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ HK Youth Hostel Association คือเปิดเป็นโฮสเทลให้นักท่องเที่ยวเข้าพัก มีคาเฟ่น่ารักๆ ให้นั่งดื่มเครื่องดื่มและพูดคุยกัน อีกทั้งบริเวณชั้นล่างของอาคารยังเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ “Heritage of Mei Ho House” เนื่องจากอาคารแห่งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของฮ่องกงที่น่าสนใจ
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1953 เมื่อก่อนนั้นคนฮ่องกงยังคงสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยตามที่ราบริมชายฝั่งเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้อยู่กันบนตึกสูงอย่างที่เห็นในสมัยนี้ บ้านเรือนสมัยนั้นสร้างติดๆ กันเป็นชุมชนใหญ่ บ้างสร้างด้วยไม้บ้างเป็นอาคารปูน แต่ในปี 1953 ได้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้น หรือรู้จักกันในชื่อ Shek Kip Mei Fire ทำเอาประชาชนกว่า 58,000 คน กลายเป็นคนไร้บ้านไปในชั่วข้ามคืน รัฐบาลฮ่องกงต้องรีบเร่งช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนโดยการสร้างตึกเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยแก่คนเหล่านี้
อาคารชุดแรกที่สร้างขึ้นนั้นสร้างเสร็จภายใน 1 ปี เป็นอาคาร 6 ชั้น จำนวน 8 อาคาร แต่ละอาคารมีรูปร่างเป็นรูปตัว H ถือเป็นตึกพักอาศัยชุดแรกที่รัฐบาลสร้างขึ้นเพื่อประชาชน และเป็นต้นแบบของอาคารพักอาศัยในยุคต่อๆ มา ส่วนเหมยโฮเฮาส์นั้นก็เป็น 1 ใน 8 ตึกรูปตัว H ที่สร้างในสมัยนั้น และยังเป็นเพียงตึกเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่มาจนทุกวันนี้
เมื่อเข้าไปชมภายใน “ตะลอนเที่ยว” จึงเห็นว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เล่าเรื่องราวได้ดีทีเดียว เราได้เห็นภาพเก่าๆ ตั้งแต่เหตุการณ์เพลิงไหม้ เห็นภาพของตึกรูปตัว H เมื่อแรกสร้าง ได้เห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในตึกที่ดูแล้วอึดอัดไม่น้อยเพราะห้องพักแต่ละห้องก็ไม่ได้กว้างขวางมากนัก บนชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ยังได้ทำโมเดลจำลองตึกรูปตัว H และจัดจำลองห้องพัก ห้องน้ำ ห้องครัวภายในตึกไว้ให้เราได้เห็นภาพชัดเจน และทำให้เราเข้าใจมากขึ้นเมื่อเห็นภาพที่พักอาศัยของคนฮ่องกงในสมัยนี้ว่าต้องจ่ายเงินแสนแพง (เมื่อเทียบเป็นเงินไทย) แต่ได้พื้นที่น้อยนิด แต่พวกเขาก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เพราะมันกลายเป็นวิถีชีวิตแต่ดั้งเดิมมาแล้ว
บริเวณด้านหลังตึกเหมยโฮเฮาส์เป็นเนินเขาลูกเล็กๆ ที่เรียกว่า “Garden Hill” ขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดอย่างยิ่งที่จะขึ้นไปชมวิวด้านบน เพราะนอกจากจะทำให้เห็นตึกเหมยโฮเฮาส์เป็นรูปตัว H อย่างชัดเจนแล้วยังเห็นวิวเมืองฮ่องกงแบบสวยสุดๆ อีกต่างหาก เพียงแต่ว่าช่วงกลางวันแดดจะแรงไปนิด จึงขอให้ถึงเวลาเย็นย่ำแล้ว “ตะลอนเที่ยว” จะพาไปชมพระอาทิตย์ตกดินบนเขากัน
แต่ตอนนี้ขอพาเดินชมย่านซัมซุยโปกันต่อ ที่บอกว่าที่นี่บรรยากาศคล้ายย่านพาหุรัด คลองถม ประตูน้ำรวมกัน ก็เพราะในซัมซุยโปนั้นมีการค้าที่หลากหลาย ถนนหนทางในย่านนี้จะตัดกันเป็นบล็อกๆ และมีตึกสูงล้อมไว้ทุกด้าน ตึกเหล่านั้นก็เป็นอาคารพักอาศัยที่ชั้นล่างเปิดเป็นร้านค้าสารพัด
ในโซนที่ขายเสื้อผ้านั้นก็จะมีบรรยากาศคล้ายๆ ประตูน้ำบ้านเรา คือมาพอช่วงสายๆ ก็จะมาตั้งแผงขายกันบนถนน และมีทั้งขายส่งและขายปลีก มีผู้คนเดินเลือกซื้อสินค้าต่อรองราคากันขวักไขว่ ย่านที่ขายเสื้อผ้าค่อนข้างแฟชันหน่อยจะอยู่บนถนน Cheung Sha Wan ซึ่งบรรดาดีไซเนอร์รุ่นใหม่มักจะมาซื้อเสื้อผ้าซื้อวัสดุไปตัดเย็บเสื้อผ้ากันที่นี่
นอกจากนั้นก็มีย่านที่ขายผ้าเป็นม้วนๆ ขายวัสดุอุปกรณ์ตัดเย็บต่างๆ นานาให้คนที่ชอบงานฝีมือได้มาเดินเลือกซื้อกันสนุกเหมือนกับแถวพาหุรัดบ้านเรา ส่วนที่ถนน Aplui ก็เหมือนย่านคลองถมที่มีอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ เครื่องมือช่างและอะไหล่ทั้งของใหม่และมือสอง รวมไปถึงของเก่าทั้งหลาย คุณผู้ชายคงจะเดินดูเพลินไปเลย ถ้าใครตาดีก็อาจจะได้นาฬิกาเก่าหรือเหรียญเก่าๆ ที่มีมูลค่าสูงไปในราคาดีๆ ก็เป็นได้
จะเห็นได้ว่าร้านรวงเหล่านี้ไม่ใช่ร้านเก๋ไก๋ที่เอาไว้เช็คอินถ่ายรูปเหมือนย่านช้อปปิ้งอื่นๆ ของฮ่องกงแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ทำให้เราเดินเล่นได้เพลินก็คือความเป็นวิถีชีวิตของจริงแบบเดิมๆ ของคนซัมซุยโปนั่นเอง แต่คนที่ชอบความเก๋ความฮิปก็อย่าเพิ่งเบื่อ เพราะในที่ต่างๆ ของซัมซุยโปก็มี “มุมฮิปสเตอร์” ให้ได้ยลอยู่เหมือนกัน โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่บ้างก็มีถิ่นกำเนิดที่ซัมซุยโปอยู่แล้ว บ้างก็มาเช่าร้านที่นี่เพื่อขายสินค้าก็มี อาทิ
ร้าน “Shop Little Two” (ถนน Nam Cheong) ร้านขายของเล่นเก่าซึ่งเป็นแนวของสะสมวินเทจที่ทำให้รำลึกถึงอดีต ในร้านมีทั้งของเล่นเก่า แผ่นเสียงเก่า หนังสือเก่า เครื่องพิมพ์ดีดหน้าตาโบราณ ฯลฯ คนชอบของเก่าเดินเพลินแน่ๆ
ร้าน “Savon Workshop” (ถนน Tai Nam) ที่เป็นร้านขายอุปกรณ์การทำสบู่ ทั้งหัวเชื้อสบู่ หัวน้ำหอม กลิ่นอโรมาต่างๆ และนอกจากขายแล้วยังสามารถติดต่อเพื่อเข้าร่วมเวิร์คชอปการทำสบู่ก่อนแบบครบขั้นตอนได้อีกด้วย
หรือจะเป็นแนวโฮสเทลฮิปๆ อย่าง “Wontonmeen” ที่แปลเป็นไทยได้ว่า “บะหมี่เกี๊ยว” (ถนน Lai Chi Kok) ก็เป็นครีเอทีฟโฮสเทลของสาวอาร์ตตัวแม่อย่าง Patricia Choi ซึ่งมีอาชีพเป็นดีไซเนอร์ ส่วนสามีเป็นนักดนตรี เธอจึงอยากสร้างให้ตึกของเธอที่อยู่ในซัมซุยโปนี้เป็นพื้นที่ให้คนที่มีความคิดสร้างสรรค์มารวมตัวพูดคุยกัน จนกลายเป็นโฮสเทลที่มีชื่อที่ทำให้นึกถึงความเป็นฮ่องกงก็คือ Wontonmeen และถึงแม้ใครจะไม่ได้มาพักที่นี่แต่ก็สามารถมาชิมกาแฟซึ่งเปิดอยู่ที่ชั้นล่างได้ด้วย
อีกหนึ่งร้านที่ไม่แนะนำไม่ได้คือร้าน “Doughnut” (ถนน Fuk Wa) ร้านนี้ไม่ได้ขายขนมโดนัทแต่อย่างใด แต่ขายกระเป๋าเป้หลากสไตล์ยี่ห้อโดนัทต่างหาก “ตะลอนเที่ยว” มีโอกาสดีได้พบกับ 1 ในเจ้าของร้านคือคุณ Rex Yam ที่เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า หลังจากเรียนจบก็อยากออกไปท่องเที่ยวกับเพื่อน แต่หาเป้ที่จุของเยอะๆ มีช่องแยะๆ และสวยถูกใจไม่ได้ ก็เลยออกแบบกระเป๋ากันเองเสียเลย แต่เมื่อไปจ้างโรงงานผลิตจะทำแค่ใบสองใบไม่ได้ ก็เลยต้องทำออกมาร้อยสองร้อยใบ แล้วที่เหลือก็ขาย จนกลายเป็นกิจการกระเป๋าเป้อย่างทุกวันนี้
เป้ของร้าน Doughnut นี้มีขายทั่วเอเชียรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน บางคนอาจจะเคยเห็นและเคยใช้มาบ้างแล้ว ก็ขอบอกว่าถ้ามาฮ่องกงก็อย่าลืมมาแวะสาขาดั้งเดิมที่ซัมซุยโปนี้กันด้วย
ส่วนอีกหนึ่งร้านที่แสดงถึงการพัฒนาจากรุ่นสู่รุ่นก็คือร้านทำโคมกระดาษ “Bo Wah Paper Craft” ที่ใช้ในงานเทศกาล รวมถึงกระดาษเงินกระดาษทองที่ทำเป็นรูปต่างๆ ที่คนจีนจะเผาเพื่อส่งไปให้บรรพบุรษ ที่ร้านนี้มีคุณ Au Yeung Ping Chi เป็นผู้รับช่วงต่อการทำโคมกระดาษมาจากคุณพ่อ และได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงงานกระดาษเหล่านี้ให้ทันสมัยมากขึ้น เรียกว่าอยากจะเผาอะไรส่งไปให้อากงอาม่าก็มาเลือกซื้อหรือสั่งทำที่นี่ได้ ทั้งหม้อไฟชาบูซีฟู้ด หรือแม้กระทั่งคอมพิวเตอร์แม็คบุค ซึ่งการทำงานขึ้นโครงต่างๆ ก็ยังใช้ฝีมือล้วนๆ และมีคนเข้าร้านเพื่อหาซื้อของตลอดไม่เคยขาด
ที่ว่ามาเหล่านี้ก็เป็นร้านเก๋ๆ ที่ของคนรุ่นใหม่ในซัมซุยโปที่สามารถเข้าไปแวะชมกันได้ นี่ “ตะลอนเที่ยว” ยังไม่ได้พูดถึงร้านของกินของอร่อยอีกมากมายทั้งร้านเต้าหู้ทอด ร้านเกี๊ยว หรือร้านซุปงู! ที่เปิดกันมาเป็นสิบๆ ปีแล้วก็มีลูกค้ารอคิวเข้าไปชิมกันเพียบ ซึ่งจะขอพูดถึงในโอกาสต่อไป แต่ในตอนนี้ที่ได้เวลาแดดร่มลมตกแล้วก็จะขอพาไปชมวิวที่ Garden Hill ตามสัญญา
ย้อนกลับมาที่เหมยโฮเฮาส์อีกครั้ง แล้วเดินไปทางด้านหลังตึกซึ่งเป็นทางขึ้นสู่ยอดเขา Garden Hill นี้มีความสูงราว 90 เมตรเท่านั้นเอง ใช้เวลาเดินขึ้นไปตามขั้นบันได 15-20 นาทีก็ได้พบกับวิวเทพๆ ของฮ่องกงแล้ว อ้อ...ระหว่างทางขึ้นถ้ามองลงมาก็จะได้เห็นอาคารเหมยโฮเฮาส์ที่เป็นรูปตัว H ได้อย่างชัดเจนอีกด้วยนะ
เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนยอดเขาเราก็จะพบกับวิวตึกสูงมากมายที่ดูแล้วสมเป็นฮ่องกงจริงๆ ซึ่งบรรดาตึกทั้งหลายข้างหน้าเรานั้นก็คือย่านซัมซุยโปซึ่งมองไปได้ไกลเห็นวิวทะเลลิบๆ ที่นี่พระอาทิตย์ไม่ตกลงสู่ทะเลเพราะถูกตึกสูงบังเสียก่อน เราค่อยๆ นั่งมองพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมตึกไปพร้อมๆ กับบรรดาตากล้องและหนุ่มสาวชาวฮ่องกงที่เดินขึ้นมาชมบรรยากาศบน Garden Hill ไปพร้อมๆ กัน นับเป็นการจบทริปสำรวจย่านซัมซุยโปได้แบบสวยงามและประทับใจมากจริงๆ
การเดินทางมาซัมซุยโป สามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาขึ้นที่สถานี Sham Shui Po ได้เลย แล้วเดินเท้าเที่ยวไปรอบๆ ได้ สำหรับพิพิธภัณฑ์เหมยโฮเฮาส์ เปิดให้เข้าชมวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 09.30-17.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชม และสำหรับผู้ที่อยากทราบรายละเอียดการท่องเที่ยวในย่านซัมซุยโปหรือสถานที่อื่นๆ ในฮ่องกง สามารถสอบถามได้ที่การท่องเที่ยวฮ่องกงประจำประเทศไทย โทร.0 2713 2283 หรือดูได้ที่ www.discoverhongkong.com/th/index.jsp
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager