xs
xsm
sm
md
lg

“นราฯ-ยะลา-ปัตตานี” 3 เมืองรองน่าลองไป ชวนประทับใจแง่งามปลายด้ามขวานทอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

อลังการ จุดชมบ้านใต้ต๋ง ต.ธารน้ำทิพย์ สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ใน อ.เบตง จ.ยะลา
“นราธิวาส ยะลา และปัตตานี”

3 จังหวัดชายแดนใต้ 3 เมืองรอง ณ ปลายด้ามขวานทอง นอกจากจะเป็นดินแดนใต้สุดของประเทศแล้ว ข่าวคราวจากเหตุการณ์ความไม่สงบ(ที่หลายต่อหลายครั้งถูกโหมประโคมเกินจริง) ทำให้ 3 จังหวัดชายแดนใต้อาจจะดู “ห่างไกล” และ“ห่างเหิน”สำหรับใครหลาย ๆ คน

ทั้ง ๆ ที่ นราธิวาส ยะลา และปัตตานีนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่อันสวยงาม มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ และมากไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวอันหลากหลาย อีกทั้งยังเป็นดินแดนที่มีความโดดเด่น จากการผสมผสานความหลากหลายทางวิถีชีวิตวัฒนธรรม นำโดย 3 วัฒนธรรมหลัก คือ ไทยพุทธ ไทยมุสลิม และไทยจีน เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน เป็นเอกลักษณ์ และมากไปด้วยเสน่ห์ชวนค้นหา
3 จังหวัดชายแดนใต้ 3 เมืองรองที่มากไปด้วยเสน่ห์ชวนค้นหา
และนี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราเดินทางล่องใต้ไปยังสุดปลายด้ามขวาน เพื่อสัมผัสกับมนต์เสน่ห์แง่งามของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ 3 เมืองรองที่น่าลองไปเที่ยวชมและเปิดมุมมองใหม่ ๆ กัน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองนราฯ

ทริปนี้เราเปิดประเดิมกัน ณ ใจกลางเมืองนราธิวาส ด้วยการไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 3 วัฒนธรรมที่ตั้งอยู่ติด ๆ ในบริเวณเดียวกันบนถนนพิพิธคีรี ต.บางนาค อ.เมืองนราธิวาส ซึ่งประกอบไปด้วย
พระพุทธรูปหลากหลายปางที่เขามงคลพิพิธ
-“เขามงคลพิพิธ”(ไทย) เป็นพุทธสถานตั้งอยู่บนเนินหินน้อยใหญ่ มีทางเดินเชื่อมถึงกัน มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลากหลายให้เคารพบูชา อาทิ พระปางไสยยาสน์(พระนอน) พระสังกัจจายน์ รอยพระพุทธบาทจำลอง รูปเคารพหลวงปู่ทวด เป็นต้น

-“ศาลเจ้าโก้วเล้งจี่”(จีน) เป็นศาลเจ้าแห่งแรกของเมืองนราฯ มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ภายในศาลเจ้าประดิษฐานองค์พระและเทพเจ้าต่างๆกว่า 20 องค์ อาทิ องค์พระยูไลฮุกโจ้ว, องค์เจ้าแม่กวนอิมพันมือ, องค์เจ้าแม่โต๊ะโม๊ะ, องค์เจ้าแม่ทับทิม, องค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว,องค์เทพเจ้ากวนอู, องค์พระอรหันต์จี้กงฮัวฮุก เป็นต้น
องค์พระศรีคเณศ พระพิฆเนศ ณ นราธิวาส
-“องค์พระศรีคเณศ พระพิฆเนศ ณ นราธิวาส” (ฮินดู) หรือ “เทวสถานพระพิฆเนศ” เป็นพระพิฆเนศองค์โต มีความสูง 16 เมตร หน้าตักกว้าง 7 เมตร มี 4 กร ประทับนั่งในท่าลลิตาสนะ สวมศิลาภรณ์มงกุฎ

องค์พระศรีคเณศฯ สร้างด้วยศิลปะไทยผสมอินเดีย มีรูปร่างสรีระอันอ่อนช้อย วิจิตร ตระการตา ดูงดงามยิ่ง จนได้ชื่อว่าเป็น “พระพิฆเนศกลางแจ้งองค์ใหญ่ที่งดงามที่สุดในเมืองไทย
พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล
นอกจากนี้ในอำเภอเมืองนราธิวาสยังมีอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญคู่บ้านคู่เมืองให้สักการะกันนั่นก็คือ “พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล” ที่ตั้งอยู่ที่ “พุทธอุทยานเขากง” วัดเขากง ต.ลำภู อ.เมืองนราธิวาส

พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล มีความ สูง 24 เมตร หน้าตักกว้าง 15 เมตร เป็นพระพุทธรูปสีทองอร่ามปางปฐมเทศนาขัดสมาธิเพชร ประทับนั่งกลางแจ้งบนเนินเขาดูโดดเด่นงดงามเปี่ยมศรัทธายิ่งนัก

ตากใบ ไปแล้วจะรัก

หลังสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญคู่เมืองบางนรากันแล้ว ต่อจากนั้นเราออกเดินทางมุ่งสู่ อ.ตากใบ ไปชมความงามของ“วัดชลธาราสิงเห” หรือ “วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย” ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำตากใบ หมู่ 3 ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ
ภายในโบสถ์วัดชลธาราสิงเห
วัดชลธาราสิงเห เป็นหนึ่งในวัดงามแห่งดินแดนด้ามขวานที่ถูกยกให้เป็นอันซีนไทยแลนด์ ภายในวัดมีบรรยากาศร่มรื่น มีอาคารโบราณสถานสถาปัตยกรรมท้องถิ่นภาคใต้ ที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างสวยงามทรงเสน่ห์อยู่หลากหลาย อาทิ กุฏิเจ้าอาวาส(หลังเก่า) วิหารพระนอน หอพระนารายณ์ หอระฆัง ศาลาโถง ศาลาท่าน้ำ เป็นต้น

ขณะที่ไฮไลท์สำคัญของวัดแห่งนี้ก็คือ “พระอุโบสถ”หลังงามที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ภายในมีภาพจิตกรรมฝาผนังอันงดงามวิจิตร เขียนโดยพระภิกษุชาวสงขลา เป็นภาพพุทธประวัติที่สอดแทรกเรื่องราววิถีชีวิต วัฒนธรรม และความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีตได้อย่างน่าสนใจยิ่ง
พิพิธภัณฑ์วัดชลธาราสิงเห
ที่วัดแห่งนี้ยังมี “พิพิธภัณฑ์วัดชลธาราสิงเห”จัดแสดงศิลปวัตถุน่าสนใจต่าง ๆ พร้อมทั้งบอกเล่าอดีตความเป็นมาของอำเภอตากใบ รวมถึงจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการเสียดินแดนในยุคล่าอาณานิคม ซึ่งวัดชลธาราสิงเหแห่งนี้มีส่วนสำคัญยิ่งที่ทำให้ไทย(สยาม)ไม่ต้องเสียดินแดนทางตอนใต้เพิ่มให้กับประเทศมลายู(มาเลเซีย)ที่ยุคนั้นตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ

โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ทางสยามได้หยิบยกเอาพระพุทธศาสนา โบราณสถาน และงานพุทธศิลป์อันโดดเด่นของวัดชลธาราฯแห่งนี้ มาเป็นข้อต่อรองเพื่อแสดงสิทธิในการปักปันเขตแดน ทำให้อังกฤษยอมรับเหตุผล นั่นจึงทำให้วัดชลธาราสิงเห มีอีกหนึ่งชื่อเรียกขานว่า“วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย
สะพานคอยร้อยปี
จากวัดชลธาราฯ มาอีกไม่ไกล(สามารถเดินเท้ามาได้) จะพบกับ “สะพานคอยร้อยปี” ที่วันนี้มีการสร้างใหม่อย่างสวยงาม มีทั้งสะพานไม้(คนเดิน) และสะพานปูน(รถมอเตอร์ไซค์วิ่ง) ทอดยาวข้ามผ่านแม่น้ำตากใบนำสู่ “เกาะยาว” เกาะที่มีบรรยากาศสงบงาม โดยชาวบ้านที่นี่เป็นมุสลิมประกอบอาชีพประมงและทำสวนมะพร้าวเป็นหลัก

วันนี้บนเกาะยาวได้มีการปรับภูมิทัศน์ให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น ที่หน้าหาดเกาะยาวสามารถชมวิวทิวทัศน์ของแนวหาดทรายยาวขาวเนียนที่ทอดตัวกว้างไกลได้อย่างสวยงาม อีกทั้งยังมีจุดให้ไฮไลท์เป็นเนินทรายติดตั้งเสาธงชาติขนาดใหญ่ ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปคู่กับเสาธงชาติแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก
เกาะยาว
สำหรับผู้มาเยือนอำเภอตากใบมีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดนั่นก็คือ“ปลากุเลาตากใบ”อันโด่งดังจนได้ชื่อว่าเป็น“ราชาแห่งปลาเค็ม

ปลากุเลาตากใบเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านชาวตากใบ(ต.เจ๊ะเห) มีกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันมาก เป็นปลาเค็มที่มีเนื้อเนียนละเอียด รสเค็มกำลังดี ตอนทอดจะมีกลิ่นหอมโชยเตะจมูกยั่วน้ำลายชวนกินเป็นยิ่งนัก โดยช่วงที่ชาวตากใบผลิตปลาเค็มออกขายเยอะที่สุดจะอยู่ในช่วง เดือนพ.ย.-มี.ค.
ปลากุเลาตากใบ ราชาแห่งปลาเค็ม
อย่างไรก็ดีด้วยชื่อเสียงความอร่อยที่เลื่องลือทำให้มีคนมา(จองคิว)ซื้อปลากุเลาตากใบกันเป็นจำนวนมาก จนชาวบ้านทำผลิตส่งขายกันแทบไม่ทัน ดังนั้นใครที่อยากกินปลากุเลาตากใบควรสั่งจองก่อนล่วงหน้าเป็นดีที่สุด

มหัศจรรย์ป่าพรุโต๊ะแดง

ใครที่มาเที่ยวนราธิวาส หากมีเวลาไม่น่าพลาดการไปชมความมหัศจรรย์ของผืนป่าพรุกันที่ “ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร(ป่าพรุโต๊ะแดง)” ที่ตั้งอยู่ที่ ต.ปูโยะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส
พรุโต๊ะแดง ป่าพรุขนาดใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดผืนสุดท้ายของเมืองไทย
ศูนย์วิจัยฯป่าพรุสิรินธร เป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ในรูปแบบของ “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติมีชีวิต” มีทั้งเส้นทางศึกษาธรรมชาติทางบกและทางน้ำให้ได้สัมผัสกัน นำโดย“เส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าพรุโต๊ะแดง” ซึ่งเป็นเส้นทางไฮไลท์สำคัญของที่นี่

เส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าพรุโต๊ะแดง มีระยะทาง 1,200 เมตร สร้างเป็นสะพานไม้ตัดลัดเลาะเข้าไปในพื้นที่ป่าพรุอย่างกลมกลืนสวยงาม
เส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าพรุโต๊ะแดง
ตลอดทางเดินจะมีฐานให้ความรู้เคียงคู่ไปเป็นระยะ ๆ โดยสิ่งน่าสนใจในเส้นทางศึกษาธรรมชาติสายนี้ก็มีให้ทัศนากันอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ผืนป่าพรุที่มีลักษณะเด่นคือถูกน้ำท่วมขังอยู่ตลอด พืชพันธุ์ในป่าพรุ ดิน-น้ำ และระบบรากของพืชในป่าพรุ ที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจไปกับ รากหายใจ รากค้ำยัน และ“พูพอน”ขนาดน้อย-ใหญ่ เป็นต้น

นอกจากนี้ที่นี่ยังมีพืชเฉพาะถิ่นที่พบได้ทั่วไปในระหว่างทาง อาทิ หมากแดง กะพ้อแดง ตังหน สะเดียว หว้าหิน หลุมพี สาคู กูเราะเปรียะ(ใช้เป็นยาแก้ปวด) ครี้(ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ) ฯลฯ
พรุโต๊ะแดง ป่าเดียว น้ำเดียว ในแดนดิน
สำหรับความสัมพันธ์ของระบบนิเวศทั้งหมดในป่าพรุแห่งนี้ ทางศูนย์วิจัยฯป่าพรุสิรินธรได้สะท้อนแนวคิดออกมาเป็นป้ายข้อความว่า “พรุโต๊ะแดง ป่าเดียว น้ำเดียว ในแดนดิน” ซึ่งแสดงถึงตัวตนอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของป่าพรุสิรินธรหรือป่าพรุโต๊ะแดงออกมาได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้วันนี้ ศูนย์วิจัยฯป่าพรุสิรินธร ถูกยกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับป่าพรุที่ดีที่สุดของเมืองไทย

ใครที่อยากจะมาสัมผัสกับมนต์เสน่ห์ของป่าพรุโต๊ะแดง ที่นี่มีธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์รอคอยอยู่

เบตง ใต้สุดแดนสยาม
เบตง เมืองงามใต้สุดแดนสยาม
จากนราธิวาสเราเดินทางข้ามจังหวัดสู่ “อำเภอเบตง” จังหวัดยะลา อำเภอที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนาม “เบตง ใต้สุดแดนสยาม

อำเภอเบตงมีพื้นที่สวนใหญ่เป็นเทือกเขาสูง มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี มีบรรยากาศคล้ายกับจังหวัดภาคเหนือตอนบนของไทย

ในอำเภอเบตงมีสถานที่ท่องเที่ยวเด่น ๆ แบ่งได้เป็น 2 โซนหลัก ๆ คือโซนในตัวเมืองเบตง และโซนนอกเมืองเบตง ซึ่งในทริปนี้เราขอออกตะลอนเที่ยวในเขตตัวเมืองกันก่อน เริ่มด้วยการไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันที่“วัดพุทธาธิวาส” วัดสำคัญคู่เมืองเบตง
พระมหาธาตุเจดีย์ พระพุทธธรรมประกาศ วัดพุทธาธิวาส
วัดพุทธาธิวาส หรือ “วัดเบตง”(เดิม) เป็นวัดที่ตั้งเด่นสง่าอยู่บนเนินเขา ภายในวัดมีไฮไลท์สำคัญคือ “พระมหาธาตุเจดีย์ พระพุทธธรรมประกาศ” ที่หมายถึงการประกาศธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นเจดีย์ที่สร้างด้วยศิลปะศรีวิชัยสีทองอร่ามดูยิ่งใหญ่ตระการตา นับเป็นหนึ่งในเจดีย์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความสวยงามอลังการองค์หนึ่งของภาคใต้
หอนาฬิกาเบตง ศูนย์กลางของเมืองเบตง
จากวัดพุทธาธิวาสเราเดินทางมายัง“หอนาฬิกาเบตง”ที่ถือเป็นย่านศูนย์กลางเมืองเบตงที่มีความคึกคักทางเศรษฐกิจทั้งภาคกลางวันและภาคกลางคืน

หอนาฬิกาเบตง สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวนวล รูปทรงสมส่วนสง่างาม ถือเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คและสัญลักษณ์สำคัญของเมืองเบตง
ตู้ไปรษณีย์สูง-ใหญ่ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองเบตง
ขณะที่ตามสายไฟที่พาดระโยงรยางค์อยู่รอบ ๆ หอนาฬิกานั้น ในช่วงโพล้เพล้จะมี“นกนางแอ่น”บินมาเกาะนิ่งอยู่เต็มไปหมด นับเป็นอีกหนึ่งมนเสน่ห์ที่ไม่ควรพลาดของเมืองใต้สุดแดนสยามแห่งนี้

บริเวณแยกหอนาฬิกายังมีอีกหนึ่งสัญลักษณ์คู่เมืองเบตงนั่นก็คือ “ตู้ไปรษณีย์สูง-ใหญ่” สีแดงเด่น ตัวตู้สูง 2.90 เมตร(รวมฐานสูง 3.20 เมตร) มีเส้นรอบวง 1.40 เมตร สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2467 เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของอำเภอเบตงด้านการติดต่อสื่อสาร เนื่องจากในอดีตการเดินทางและการติดต่อสื่อสารระหว่างเบตงกับอำเภออื่น ๆ เป็นไปด้วยความยากลำบาก(มาก)
อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์
จากบริเวณ 4 แยกหอนาฬิกา หากเดินขึ้นเนินไปจะพบกับ “อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์” ที่เป็นอุโมงค์รถยนต์สร้างลอดภูเขาแห่งแรกของเมืองไทย ภายในอุโมงค์มีการประดับไฟหลากสีดูสวยงาม(โดยเฉพาะในยามราตรีที่มีการเปิดไฟหลากสีระยิบระยับ)

เมื่อเดินลอดอุโมงค์มาก็จะพบกับประติมากรรม “ไก่เบตง”(2 ตัวใหญ่) อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองเบตง
ไก่สับเบตง เมนูต้องห้ามพลาดสำหรับผู้มาเยือนเบตง
ไก่เบตงคืออาหารถิ่นขึ้นชื่อของเมืองเบตงที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะ“ไก่สับเบตง”นั้นถือเป็นเมนูคู่ขวัญเมืองเบตง

ใครที่มาเยือนเบตงแล้วไม่ได้กินไก่สับเบตง ถือว่ายังมาไม่ถึงเมืองเบตงโดยสมบูรณ์แบบ

นอกจากไก่เบตงแล้ว เมืองเบตงที่ขึ้นชื่อในเรื่องอาหารการกิน ยังมีเมนูเด็ดเด่นดังให้ผู้มาเยือนได้เลือกลิ้มลองกันอีกหลากหลาย อาทิ กบภูเขาทอดกระเทียม, เคาหยก, ผัดผักน้ำ ปลาจีน(นึ่งบ๊วยหรือนึ่งมะนาว), ผัดหมี่เบตง เฉาก๊วยเบตง และส้มโชกุน เป็นต้น

เที่ยวนอกเมืองเบตง
บ่อน้ำพุร้อนเบตง
นอกจากในเขตตัวเมืองแล้ว อำเภอเบตงยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่บริเวณนอกเมืองให้เที่ยวชมกันอีกหลากหลาย นำโดย 3 ไฮไลท์สำคัญ คือ

-“บ่อน้ำพุร้อนเบตง” เป็นสระน้ำ(ร้อน)สาธารณะขนาดใหญ่ มีอุณหภูมิประมาณ 80 องศาเซลเซียส มีการจัดสรรโซนให้เดินเที่ยว ชมวิว แช่เท้า อาบน้ำ และจุดลวกไข่ ซึ่งเราสามารถซื้อไข่จากร้านค้าแถวนั้นมาลวกกินได้
สวนไม้ดอกเมืองหนาวเบตง หรือ สวนหมื่นบุปผา
-“สวนไม้ดอกเมืองหนาวเบตง” หรือ “สวนหมื่นบุปผา” เป็นสวนที่มีการปลูกพืชพรรณไม้ดอกเมืองหนาว มีการจัดสวนประดับตกแต่งอย่างสวยงาม และมีหลากหลายมุมให้เดินชื่นชมในความงาม

-“อุโมงค์ปิยะมิตร” อดีตอุโมงค์ที่สร้างขึ้นในยุคการสู้รบของคอมมิวนิสต์มลายา อุโมงค์นี้เดิมสร้างเพื่อใช้เป็นฐานปฏิบัติการ เป็นที่หลบภัยทางอากาศ และที่สะสมเสบียงอาหาร

ปัจจุบันอุโมงค์ปิยะมิตรถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีสิ่งน่าสนใจหลากหลายในเที่ยวชม โดยเฉพาะบรรยากาศในการเดินชมภายในอุโมงค์ที่มีการสร้างเป็นห้องต่าง ๆ ใต้พื้นดินนั้นถือเป็นไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ทางเดินเที่ยวชมภายในวอุโมงค์ปิยะมิตร
อลังการทะเลหมอก

นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวเด่นดังโดนตามที่กล่าวมาแล้ว วันนี้เบตงยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่นับวันยิ่งมาแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นก็คือ “ทะเลหมอก” อันงดงามอลังการ สามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี

สำหรับไฮไลท์จุดชมทะเลหมอกในอำเภอเบตงที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ รวมถึงดังไปไกลในประเทศเพื่อนบ้าน ก็คือ จุดชม“ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง”หรือ “เขาไมโครเวฟ” บนความสูง 2,038 ฟุต จากระดับน้ำทะเล
ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง
บนนี้มีโอกาสที่จะมองเห็นทะเลหมอกมากกว่า 70 % ซึ่งในวันที่ดินฟ้าอากาศเป็นใจนั้น บนยอดเขาไมโครเวฟสามารถมองเห็นทะเลหมอกลอยแน่นหนาทึบ ท่ามกลางขุนเขาน้อย-ใหญ่ ที่โผล่ขึ้นแทรกแซมเติมเต็มในองค์ประกอบ ดูสวยงามน่าประทับใจยิ่งนัก

นอกจากทะเลหมอกอัยเยอร์เวงแล้ว วันนี้เบตงยังมีอีก 2 จุดชมทะเลหมอกแห่งใหม่อันสวยงาม ได้แก่
จุดชมทะเลหมอก(ยอดเขา)ฆูนุงซีลีปัต
-จุดชมทะเลหมอก(ยอดเขา)“ฆูนุงซีลีปัต” บนความสูง 670 เมตรจากระดับน้ำทะเล บนนี้มีลักษณะเป็นยอดเขาแหลมโดดขึ้นมา จึงสามารถชมวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงามกว้างไกล รอบทิศทาง 360 องศา

-“จุดชมบ้านใต้ต๋ง” หรือ “จุดชมวิวสองแผ่นดิน” หรือ “จุดชมวิวเขาร้อยลูก”ตั้งอยู่ที่ บ้านใต้ต๋ง ต.ธารน้ำทิพย์ เป็นจุดชมวิวใหม่ล่าสุด(ที่ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ) ตั้งอยู่บนความสูงประมาณ 700 เมตร

บนนี้สามารถมองเห็นทะเลหมอกหนาท่ามกลางขุนเขานับร้อยลูกอย่างสวยงามอลังการ เมื่อสายหมอกคลายสามารถมองเห็นตัวเมืองเบตงจากด้านบน และสามารถมองเห็นไกลไปถึงประเทศมาเลเซีย
ทะเลหมอกที่จุดชมวิวบ้านใต๋ต้ง ต.ธารน้ำทิพย์
และนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ของเบตง ดินแดนอันงดงามที่มีคำขวัญประจำอำเภอซึ่งบ่งบอกถึงตัวตนของเบตงอย่างชัดเจนว่า

“เมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน”

ปัตตานี เมืองงาม 3 วัฒนธรรม
ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
จากดินแดนใต้สุดแดนสยาม อำเภอเบตง จ.ยะลา เราเดินทางข้ามจังหวัดมาปิดทริป 3 จังหวัดชายแดนใต้ กันที่“จังหวัดปัตตานี”ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองงาม 3 วัฒนธรรม นำโดยศูนย์รวมจิตใจของ 3 วัฒนธรรม ได้แก่ “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว”(ไทยจีน) “มัสยิดกลาง”(ไทยมุสลิม) และ “วัดช้างให้”(ไทยพุทธ)

โดยเราเริ่มต้นเที่ยวในจังหวัดปัตตานีกันที่ “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” หรือ “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” ที่ภายในศาลมี 2 องค์เทพเจ้าสำคัญให้สักการะกัน คือ องค์“โจวซือกง”(พระหมอเชงจุ้ยโจวซือกง) เทพเจ้าแห่งการรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย และ องค์“เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” เทพเจ้าแห่งความเมตตาที่ขึ้นชื่อในเรื่องการขอด้าน โชคลาภ ค้าขาย ประสบโชคดีมีชัย

หลังสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวแล้ว เราออกเดินเที่ยวสัมผัสกับมนต์เสน่ห์ของ“เมืองเก่าปัตตานี” ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน
เมืองเก่าปัตตานี
เมืองเก่าปัตตานีถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา (ประวัติของชุมชนมีความเกี่ยวกันกับการสร้างศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) ก่อนจะดำรงฐานะเป็นเมืองท่าริมแม่น้ำปัตตานีที่มีความเจริญอย่างยิ่งในสมัย รัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๕

วันนี้เมืองเก่ายังคงมีรอยอดีตอันรุ่งโรจน์ของงานสถาปัตยกรรมจีนในสมัย ร.๓ และสถาปัตยกรรมผสมเทคนิคตะวันตกในสมัย ร.๕ ให้ได้เดินทอดน่องเที่ยวชมคามเก่าแก่คลาสสิคกัน ไม่ว่าจะเป็น บ้านกงสี(บ้านเลขที่ 27 ), บ้าน 300 ปี, บ้านตึกขาว, บ้านเลขที่ 1, บ้านขุนพิทักษ์รายา และ บ้านรังนก เป็นต้น

จากเมืองเก่าเราไปต่อกันที่ “มัสยิดกลางปัตตานี” ที่ตั้งอยู่บนถนนยะรัง สายยะรัง-ปัตตานี
มัสยิดกลาง
มัสยิดกลางปัตตานีสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2497 มีต้นแบบมาจากทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย มัสยิดกลางฯ มียอดโดมสีเขียวขนาดใหญ่อยู่กลางอาคาร และโดมบริวารขนาดเล็กลงไปล้อมรอบ 4 ด้าน ด้านข้างมีหออะซาน ภายในมัสยิดเป็นโถงขนาดใหญ่ มีระเบียง 2 ข้าง และบัลลังก์ทรงสูงแคบ

ด้านหน้ามัสยิดมีน้ำพุ และสระน้ำ ที่สะท้อนแสงเงาของอาคารมัสยิด ในช่วงยามโพล้เพล้มัสยิดแห่งนี้จะมีการเปิดไฟประดับ นับเป็นอีกหนึ่งภาพจำของเมืองปัตตานีที่มีความงดงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ไม่น้อยเลย

เสน่ห์อ่าวปัตตานี
สกายวอล์ค สวนแม่-ลูก
สำหรับผู้มาเยือนปัตตานี วันนี้ที่นี่มีอีกหนึ่งแลนด์มาร์คใหม่ให้เดินเที่ยวชมกันนั่นก็คือ “สกายวอล์ค”(Skywalk) หรือ “ปัตตานี แอนเวนเจอร์ พาร์ค”(Pattani Adventure Park) ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณสวนสมเด็จเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือสวนแม่ สวนลูก ม.6 ต.รูสะมิแล อ.เมืองปัตตานี

สกายวอล์ค มีความสูง 12 เมตร ยาว 400 เมตร เป็นเส้นทางเดินชมวิวทิวทัศน์ ชมธรรมชาติ เมื่อขึ้นไปเดินบนนั้น จะมองเห็นวิวทิวทัศน์ของผืนป่าชายเลน และพื้นที่บริเวณ“อ่าวปัตตานี” ได้อย่างงดงาม
อ่าวปัตตานี
สำหรับอ่าวปัตตานี นอกจากจะเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญของปัตตานีแล้ว ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลอันโดดเด่นแห่งหนึ่งของ 3 จังหวัดชายแดนใต้

ในพื้นที่อ่าวปัตตานีมี“ป่าชายเลนยะหริ่ง”ที่มีพื้นที่เกือบหมื่นไร่ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทย

ป่าชายเลนยะหริ่ง มีทั้งป่าชายเลนที่กำลังเกิดขึ้นใหม่ และป่าชายเลนผืนเก่าหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ป่าโบราณ” ที่เต็มไปด้วยป่าโกงกางหนาทึบ ต้นสูงใหญ่ โกงกางหลายๆต้นสูงเกินกว่า 10 เมตรขึ้นไป
ล่องเรือบ้านบางปู เที่ยวชมธรรมชาติอ่าวปัตตานี
วันนี้ด้วยความสำคัญของอ่าวปัตตานีและความสมบูรณ์ยิ่งของป่าชายเลนยะหริ่ง ชาวบ้านบางส่วนที่อยู่ในพื้นที่อ่าวปัตตานีจึงได้รวมตัวกันจัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ขึ้น เพื่อให้ชาวชุมชนได้รู้สึกหวงแหน รู้คุณค่า และช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรในพื้นที่ของตน เพราะมันสามารถสร้างรายเสริมจากการท่องเที่ยวได้อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน

โดยหนึ่งในนั้นก็คือ กลุ่ม“การท่องเที่ยวโดยชุมชน ชุมชนท่องเที่ยวบางปู” ที่มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอยู่ที่ “บ้านบาลาดูวอ” ต.บางปู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี

สำหรับกิจกรรมท่องเที่ยวน่าสนใจของชุมชนบางปูนั้นก็มี โฮมสเตย์ กินอาหารพื้นบ้าน ล่องเรือชมหิ่งห้อยยามราตรี(ในช่วงเดือน พ.ค.-ก.ย.) การล่องเรือชมป่าชายเลนผืนใหญ่(ในช่วงกลางวัน) ชมนกหลากหลายชนิด สัมผัสวิถีชาวประมงพื้นบ้าน ชมทิวทัศน์อ่าวปัตตานี
ล่องเรือลอดอุโมงค์โกงกาง แห่งป่าชายเลนยะหริ่ง
และกิจกรรม“นั่งเรือลอดอุโมงค์โกงกาง” ที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญ ซึ่งนอกจากจะได้สัมผัสกับบรรยากาศอันน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว มันยังทำให้เรารับรู้ถึงความสำคัญของธรรมชาติที่มนุษย์เราต้องไม่ทำร้ายทำลายธรรมชาติ และต้องช่วยกันดูแลรักษาเอาไว้ให้ดี

ไหว้หลวงปู่ทวด วัดช้างให้

แล้วก็มาถึงช่วงสุดท้ายของทริปเที่ยว 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเราไปปิดทริปร่ำลาเมืองปัตตานีด้วยการไปสักการะองค์“หลวงปู่ทวด”ที่วัดช้างให้ เพื่อความเป็นสิริมงคล
วัดช้างให้
วัดช้างให้” หรือ“วัดราษฎร์บูรณะ” ตั้งอยู่ที่บ้านป่าไร่ ต.ทุ่งพลา อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี วัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมากว่า 300 ปีแล้ว ภายในวิหารวัดประดิษฐานรูปปั้นหลวงปู่ทวดขนาดเท่าองค์จริง องค์หลวงปู่ทวดขนาดต่างๆ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ให้สักการบูชากัน

นอกจากนี้ภายในวัดช้างให้ยังมีมณฑป อุโบสถ หอระฆัง และองค์เจดีย์ประธานที่วันนี้กำลังดำเนินการบูรณะปรับปรุง รวมถึงมีภาพบรรยากาศของผู้คนที่เดินทางมาสักการะ และจุดประทัดแก้บนองค์หลวงปู่ทวด กันไม่ได้ขาด

นับได้ว่าวัดช้างให้คืออีกหนึ่งไฮไลท์ในจังหวัดปัตตานีและใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่หากใครมีโอกาสไม่ควรพลาดการไปกราบสักการะองค์หลวงปู่ทวดที่วัดแห่งนี้ด้วยประการทั้งปวง
หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ 1 ใน สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของ จ.ปัตตานี
และนี่ก็คือบางส่วนของมนต์เสน่ห์แห่ง 3 จังหวัดชายแดนใต้ ณ สุดปลายด้ามขวานทอง ซึ่งมากไปด้วยของดี และมีแง่งามในความหลากหลายให้สัมผัสทัศนากัน

ถือเป็น 3 เมืองรอง ที่น่าลองไปเที่ยวชมเปิดมุมมองใหม่ พร้อมกับเปิดหัวใจ

แล้วมันจะทำให้เรารู้สึกหลงรักใน “นราธิวาส ยะลา และปัตตานี”

และอยากจะกลับไปเยือนอีกครั้ง หรือหลาย ๆ ครั้ง
3 จังหวัดชายแดนใต้ อีกหนึ่งดินแดนอันทรงเสน่ห์ ที่มากไปด้วยสิ่งน่าสนใจมากมาย
ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร ใน จ.นราธิวาส ยะลา ปัตตานี เพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานจังหวัดนราธิวาส(รับผิดชอบพื้นที่นราธิวาส ปัตตานี ยะลา) โทร. 0-7352-2411 , 0-7354-2345
....................................................................................................

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager


กำลังโหลดความคิดเห็น