Facebook :Travel @ Manager

“เพชรบูรณ์” ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งภูดอกไม้และสายหมอก เป็นเมืองในอ้อมกอดของขุนเขา โดยเฉพาะ “เขาค้อ” ที่มีทิวทัศน์ของทะเลภูเขาและสายหมอกโอบล้อมงดงามชวนฝัน จนกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายยอดนิยมนักท่องเที่ยว
นอกจากเขาค้อแล้วไม่อยากให้มองข้ามแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ของเพชรบูรณ์ เพราะยังมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่อีกมาก ทั้งเรื่องของวัฒนธรรมประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่นับพันปี และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่น่าสนใจ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ต่างมี “รางวัลกินรี” ครั้งที่ 11 ประจำปี 2560 การันตีคุณภาพ
“รางวัลกินรี” หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ “รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย” (Thailand Tourism Awards) ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2539 โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งใจมอบให้แก่สถานประกอบการ ชุมชนหรือหน่วยงานที่บริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างดียิ่ง และมีส่วนร่วมในการพัฒนาการท่องเที่ยวไทย โดยใช้สัญลักษณ์ “กินรี” เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพ
สำหรับการจัดประกวดในครั้งล่าสุด (ครั้งที่ 11 ปี 2560) เฉพาะจังหวัดเพชรบูรณ์จังหวัดเดียวมีแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับรางวัลกินรีถึง 3 แห่งด้วยกัน การเดินทางไปเพชรบูรณ์ในครั้งนี้จึงอยากชวนไปท่องเที่ยวตามรอยรางวัลกินรีไปพร้อมๆ กัน

“ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ” (เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์) : รางวัลดีเด่น ประเภทองค์กรสนับสนุนและส่งเสริมการท่องเที่ยว (องค์กรภาครัฐ)
เริ่มต้นเส้นทางท่องเที่ยวตามรอยรางวัลกินรีด้วยประเพณีสำคัญของเมืองเพชรบูรณ์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในไทยและได้รับการสืบสานต่อกันมาหลายร้อยปี “ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ” ที่มีต้นกำเนิดและความเป็นมาเกี่ยวข้องกับตำนานของ “พระพุทธมหาธรรมราชา” องค์พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเพชรบูรณ์
“พระพุทธมหาธรรมราชา” เป็นพระพุทธรูปศิลปะลพบุรี เชื่อกันว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ตำนานเล่าว่ามีการอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชามาตามลำน้ำสักที่คดเคี้ยว พอมาถึงวังมะขามแฟบ หรือบริเวณหน้าวัดไตรภูมิ (อ.เมืองเพชรบูรณ์) ในปัจจุบันก็เกิดเหตุการณ์แพแตก องค์พระพุทธรูปจมน้ำหายไป

เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงช่วงกลางยุคกรุงศรีอยุธยา ในวันแรม 15 ค่ำเดือน 10 ชาวบ้านออกหาปลาในลำน้ำสักตามปกติแต่กลับไม่ได้ปลาสักตัว อีกทั้งยังเกิดฝนฟ้าคะนองและน้ำวนขึ้นกลางแม่น้ำ จากนั้นจึงปรากฏพระพุทธรูปผุดขึ้นมากลางน้ำ ชาวบ้านจึงอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นมาจากน้ำแล้วนำไปมอบให้เจ้าเมืองเก็บรักษาไว้ ซึ่งก็คือพระพุทธมหาธรรมราชาองค์นี้นั่นเอง
จากนั้นเมื่อวันแรม 15 ค่ำเดือน 10 ผ่านพ้นมาครบหนึ่งปี พระพุทธรูปกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยหาที่ไหนก็ไม่พบ จึงมีผู้บอกว่าให้ไปลองหาดูในสถานที่ที่พบท่านครั้งแรก ปรากฏว่าพบพระพุทธมหาธรรมราชาลอยอยู่กลางน้ำ ประชาชนจึงไปอัญเชิญท่านกลับมาประดิษฐานที่เดิมและตกลงกันว่าทุกวันสารทไทย (แรม 15 ค่ำเดือน 10) พ่อเมืองจะเป็นผู้อัญเชิญองค์พระไปดำน้ำที่เดิมที่พบท่าน และคนเพชรบูรณ์ก็ยึดถือปฏิบัติตามประเพณีนี้มาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ก็ราว 400 กว่าปีมาแล้ว

ปัจจุบันผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์จะเป็นผู้ทำหน้าที่อัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาลงดำน้ำ ซึ่งถือกันว่าเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์อันจะนำมาสู่ความสุข ความสงบร่มเย็น ส่งผลให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชผลการเกษตรอุดมสมบูรณ์ และทำให้ชาวเพชรบูรณ์มีความเจริญรุ่งเรืองสืบไป
ประเพณีอุ้มพระดำน้ำนอกจากจะเป็นความเชื่อที่ยึดเหนี่ยวใจคนเพชรบูรณ์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยกุศโลบายของคนโบราณที่จะทำให้คนเกิดขวัญกำลังใจ เป็นจุดรวมใจเพื่อช่วยกันพัฒนาบ้านเมือง อีกทั้งยังทำให้คนในพื้นที่ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมและรักษาความสะอาดของแม่น้ำ

ถ้าใครอยากมาสัมผัสกับบรรยากาศของงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำ ในปีนี้กำหนดจัดขึ้นวันที่ 7-12 ตุลาคม 2561 ณ บริเวณวัดไตรภูมิ วัดโบสถ์ชนะมาร และบริเวณพุทธอุทยานเพชบุระ ในงานจะมีทั้งขบวนแห่รอบเมือง พิธีอุ้มพระดำน้ำ นอกจากนี้ยังมีการละเล่นแข่งขันพายเรือทวนน้ำ การแสดงแสงเสียงตำนานประเพณีอุ้มพระดำน้ำ และเทศกาลอาหารอร่อย ณ พุทธอุทยานเพชบุระ โดยทางเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการรับผิดชอบจัดงานมากว่า 20 ปี ก็ได้สืบทอดประเพณีอุ้มพระดำน้ำมาอย่างดีจนได้รับรางวัลกินรีในปี 2560 ที่ผ่านมา

“อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ” : รางวัลดีเด่น แหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
ด้านประวัติศาสตร์ของเมืองเพชรบูรณ์ถือว่ามีความเก่าแก่ไม่แพ้ที่ใด โดยเฉพาะ “เมืองโบราณศรีเทพ” ที่มีความเก่าแก่ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ 2,500 ปี โดยขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ถึง 1,800 ปี และยุคทวารวดีที่มีความเก่าแก่ถึง 1,400 ปี จึงถือได้ว่าศรีเทพเป็นเมืองโบราณในยุคทวารวดีที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย และยังมีความเจริญสืบทอดต่อเนื่องมาจนถึงยุควัฒนธรรมเขมรโบราณ ซึ่งพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้งในรูปแบบสถาปัตยกรรมและประติมากรรมที่มีอายุกว่า 1,000 ปี
เมืองโบราณศรีเทพปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ “อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ” (ต.ศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์) แหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ โดยหากอยากทราบเรื่องราวของเมืองศรีเทพควรเริ่มต้นที่ “ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว” ที่จะมีนิทรรศการให้ความรู้พื้นฐานของเมืองโบราณศรีเทพแบบจัดเต็มให้ผู้ที่มาชมทราบถึงที่มาและภาพกว้างๆ ก่อนจะเข้าไปชมโบราณสถาน อีกทั้งยังมีศิลปวัตถุจัดแสดงไว้ให้ชมด้วย


จากนั้นจึงค่อยมาชมพื้นที่ภายในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ซึ่งจะแบ่งออกเป็นเมืองในและเมืองนอก สำหรับ “เมืองใน” มีโบราณสถานสำคัญให้ชม ได้แก่
- “ปรางค์ศรีเทพ” ที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบศิลปะเขมร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดูราวพุทธศตวรรษ 16-17 ก่อนจะปรับเปลี่ยนมาเป็นพุทธสถานแบบมหายานในราวต้นพุทธศตวรรษ 18 แต่ยังไม่แล้วเสร็จ
-“เขาคลังใน” ศาสนสถานในพุทธศาสนา ชื่อของเขาคลังในมาจากคนท้องถิ่นที่เชื่อกันว่า ที่นี่เป็นคลังเก็บของมีค่าหรือคลังอาวุธสมัยโบราณ ที่น่าสนใจคือบริเวณฐานมีรูปปั้นนูนต่ำเป็นรูปคนแคระกำลังแบกเขาคลังในอยู่ โดยคนแคระเหล่านั้นมีศีรษะเป็นทั้งคนและสัตว์ เป็นศิลปะแบบทวารวดี


- “ปรางค์สองพี่น้อง” ปราสาทประธานก่อด้วยอิฐแบบศิลปะเขมร มีปราสาทขนาดเล็กตั้งอยู่ทางทิศใต้ซึ่งสร้างขึ้นเพิ่มเติมอยู่บนฐานเดียวกัน จึงเป็นที่มาของชื่อปรางค์สองพี่น้อง ที่ปรางค์องค์น้องมีทับหลังรูปพระอิศวรอุ้มนางปารวตีประทับนั่งอยู่เหนือโคนนทิ ส่วนด้านในปรางค์องค์พี่พบแท่นสำหรับตั้งศิวลึงค์ตั้งอยู่
นอกจากนี้ภายในเมืองในยังพบโบราณสถานขนาดเล็กอีกหลายแห่ง รวมถึงสระน้ำและหนองน้ำที่กระจายอยู่ในพื้นที่เมืองใน ส่วนที่ “เมืองนอก” ก็มีโบราณสถานสำคัญคือ เขาคลังนอก ปรางค์ฤาษี และถ้ำเขาถมอรัตน์
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพมีการดูแลรักษา การจัดแสดง และการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ทำให้ ททท. มอบรางวัลกินรีให้ในปี 2560

“ไร่กำนันจุล” : รางวัลดีเด่น แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในเพชรบูรณ์ที่ได้รางวัลกินรีคือ “ไร่กำนันจุล” (ต.วังชมภู สามแยกวังชมภู อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์) แหล่งซื้อของกินของฝาก โดยเฉพาะ “ปลาส้ม” รสชาติดีขึ้นชื่อ แต่นอกจากจะเข้าไปช้อปปิ้งแล้วยังสามารถไปเที่ยวชมวิถีเกษตร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิถีที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน
ไร่กำนันจุลก่อตั้งโดย นายจุล คุ้นวงศ์ (กำนันจุล) คนกรุงเทพฯ ผู้มีใจรักด้านการเกษตรและได้เข้ามาบุกเบิกทำไร่ส้มเขียวหวานที่เพชรบูรณ์ตั้งแต่ปี 2479 ก่อนจะมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นแหล่งปลูกส้มเขียวหวานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ พร้อมๆ กับมีการงานพัฒนาด้านการเกษตรภายในไร่ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องจนมีมาตรฐานสูงในระดับสากล

กำนันจุลทำการเกษตรแบบผสมผสานบนพื้นที่กว่า 10,000 ไร่ มีการบริหารจัดการพื้นที่อย่างเป็นระบบ ภายในมีการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ผลิตเส้นไหมส่งขายเจ้าใหญ่ที่สุดของเมืองไทย นอกจากนั้นยังปลูกผลไม้อีกหลากหลาย รวมถึงแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเลี้ยงปลา ปลาส่วนหนึ่งจับส่งขาย ส่วนหนึ่งนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ปลาส้มแบรนด์กำนันจุลอันโด่งดัง
อีกส่วนหนึ่งที่เป็นจุดเด่นก็คือการเปิดพื้นที่ไร่บางส่วนเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ทางการเกษตร โดยมีรถรางนำเที่ยวพาชมไร่และแปลงผลไม้ ทำกิจกรรมที่ทางไร่จัดไว้ให้ และมีวิทยากรบรรยายเรื่องราววิธีคิดของกำนันจุลที่สามารถก่อร่างสร้างไร่กำนันจุลแห่งนี้จนประสบความสำเร็จ พร้อมกับเป็นแหล่งสร้างงานให้คนในท้องถิ่นนับหมื่นชีวิต

ด้วยความที่ทางไร่ทำธุรกิจผลิตเส้นไหมส่งขาย ทำให้ที่นี่เป็นเป็นแหล่งปลูกหม่อนขึ้นชื่อ มีทั้งหม่อนใบและหม่อนกินผลหรือ “มัลเบอร์รี่” (Mulberry) ดังนั้นในช่วงฤดูหนาวของทุกปีจะมีการจัดงาน “เทศกาลหม่อน” หรือ “มัลเบอร์รี่เฟสต์” (Mulberry Fest) ขึ้น โดยจะมีกิจกรรมนั่งรถไถชมไร่กำนันจุลพาสัมผัสบรรยากาศของไร่ที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา ชมแปลงผลไม้สวนเกษตรผสมผสาน ชมบ่อปลาที่ทางไร่เลี้ยงไว้ทำปลาส้มกำนันจุล ชม “อุโมงค์มัลเบอร์รี่” ที่ทางไร่จัดสรรแปลงปลูกมัลเบอร์รี่ส่วนหนึ่งไว้สำหรับทำกิจกรรมเก็บมัลเบอร์รี่สดๆจากต้น แบบอิ่มไม่อั้น และทำกิจกรรมทำแยมมัลเบอร์รี่โฮมเมด
ไร่กำนันจุลจึงเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดไปเยี่ยมชม เพื่อเรียนรู้วิถีเกษตรของคนไทย และเพื่อซื้อหาของฝากติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้าน ซึ่งเป็นการกระจายรายได้ทางอ้อมสู่คนในพื้นที่อีกด้วย


จะเห็นได้ว่า นอกจากแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วนั้น เพชรบูรณ์ก็ยังมีที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย ดังนั้นหากมาเพชรบูรณ์ครั้งหน้า อย่าลืมมาตามรอยกินรีกับ 3 สถานที่ท่องเที่ยวไม่ควรพลาดข้างต้นนี้กัน
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.tourismthailand.org/tourismawards
www.facebook.com/thailandtourismawards
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
“เพชรบูรณ์” ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งภูดอกไม้และสายหมอก เป็นเมืองในอ้อมกอดของขุนเขา โดยเฉพาะ “เขาค้อ” ที่มีทิวทัศน์ของทะเลภูเขาและสายหมอกโอบล้อมงดงามชวนฝัน จนกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายยอดนิยมนักท่องเที่ยว
นอกจากเขาค้อแล้วไม่อยากให้มองข้ามแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ของเพชรบูรณ์ เพราะยังมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่อีกมาก ทั้งเรื่องของวัฒนธรรมประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่นับพันปี และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่น่าสนใจ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ต่างมี “รางวัลกินรี” ครั้งที่ 11 ประจำปี 2560 การันตีคุณภาพ
“รางวัลกินรี” หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ “รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย” (Thailand Tourism Awards) ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2539 โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งใจมอบให้แก่สถานประกอบการ ชุมชนหรือหน่วยงานที่บริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างดียิ่ง และมีส่วนร่วมในการพัฒนาการท่องเที่ยวไทย โดยใช้สัญลักษณ์ “กินรี” เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพ
สำหรับการจัดประกวดในครั้งล่าสุด (ครั้งที่ 11 ปี 2560) เฉพาะจังหวัดเพชรบูรณ์จังหวัดเดียวมีแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับรางวัลกินรีถึง 3 แห่งด้วยกัน การเดินทางไปเพชรบูรณ์ในครั้งนี้จึงอยากชวนไปท่องเที่ยวตามรอยรางวัลกินรีไปพร้อมๆ กัน
“ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ” (เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์) : รางวัลดีเด่น ประเภทองค์กรสนับสนุนและส่งเสริมการท่องเที่ยว (องค์กรภาครัฐ)
เริ่มต้นเส้นทางท่องเที่ยวตามรอยรางวัลกินรีด้วยประเพณีสำคัญของเมืองเพชรบูรณ์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในไทยและได้รับการสืบสานต่อกันมาหลายร้อยปี “ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ” ที่มีต้นกำเนิดและความเป็นมาเกี่ยวข้องกับตำนานของ “พระพุทธมหาธรรมราชา” องค์พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเพชรบูรณ์
“พระพุทธมหาธรรมราชา” เป็นพระพุทธรูปศิลปะลพบุรี เชื่อกันว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ตำนานเล่าว่ามีการอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชามาตามลำน้ำสักที่คดเคี้ยว พอมาถึงวังมะขามแฟบ หรือบริเวณหน้าวัดไตรภูมิ (อ.เมืองเพชรบูรณ์) ในปัจจุบันก็เกิดเหตุการณ์แพแตก องค์พระพุทธรูปจมน้ำหายไป
เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงช่วงกลางยุคกรุงศรีอยุธยา ในวันแรม 15 ค่ำเดือน 10 ชาวบ้านออกหาปลาในลำน้ำสักตามปกติแต่กลับไม่ได้ปลาสักตัว อีกทั้งยังเกิดฝนฟ้าคะนองและน้ำวนขึ้นกลางแม่น้ำ จากนั้นจึงปรากฏพระพุทธรูปผุดขึ้นมากลางน้ำ ชาวบ้านจึงอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นมาจากน้ำแล้วนำไปมอบให้เจ้าเมืองเก็บรักษาไว้ ซึ่งก็คือพระพุทธมหาธรรมราชาองค์นี้นั่นเอง
จากนั้นเมื่อวันแรม 15 ค่ำเดือน 10 ผ่านพ้นมาครบหนึ่งปี พระพุทธรูปกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยหาที่ไหนก็ไม่พบ จึงมีผู้บอกว่าให้ไปลองหาดูในสถานที่ที่พบท่านครั้งแรก ปรากฏว่าพบพระพุทธมหาธรรมราชาลอยอยู่กลางน้ำ ประชาชนจึงไปอัญเชิญท่านกลับมาประดิษฐานที่เดิมและตกลงกันว่าทุกวันสารทไทย (แรม 15 ค่ำเดือน 10) พ่อเมืองจะเป็นผู้อัญเชิญองค์พระไปดำน้ำที่เดิมที่พบท่าน และคนเพชรบูรณ์ก็ยึดถือปฏิบัติตามประเพณีนี้มาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ก็ราว 400 กว่าปีมาแล้ว
ปัจจุบันผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์จะเป็นผู้ทำหน้าที่อัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาลงดำน้ำ ซึ่งถือกันว่าเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์อันจะนำมาสู่ความสุข ความสงบร่มเย็น ส่งผลให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชผลการเกษตรอุดมสมบูรณ์ และทำให้ชาวเพชรบูรณ์มีความเจริญรุ่งเรืองสืบไป
ประเพณีอุ้มพระดำน้ำนอกจากจะเป็นความเชื่อที่ยึดเหนี่ยวใจคนเพชรบูรณ์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยกุศโลบายของคนโบราณที่จะทำให้คนเกิดขวัญกำลังใจ เป็นจุดรวมใจเพื่อช่วยกันพัฒนาบ้านเมือง อีกทั้งยังทำให้คนในพื้นที่ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมและรักษาความสะอาดของแม่น้ำ
ถ้าใครอยากมาสัมผัสกับบรรยากาศของงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำ ในปีนี้กำหนดจัดขึ้นวันที่ 7-12 ตุลาคม 2561 ณ บริเวณวัดไตรภูมิ วัดโบสถ์ชนะมาร และบริเวณพุทธอุทยานเพชบุระ ในงานจะมีทั้งขบวนแห่รอบเมือง พิธีอุ้มพระดำน้ำ นอกจากนี้ยังมีการละเล่นแข่งขันพายเรือทวนน้ำ การแสดงแสงเสียงตำนานประเพณีอุ้มพระดำน้ำ และเทศกาลอาหารอร่อย ณ พุทธอุทยานเพชบุระ โดยทางเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการรับผิดชอบจัดงานมากว่า 20 ปี ก็ได้สืบทอดประเพณีอุ้มพระดำน้ำมาอย่างดีจนได้รับรางวัลกินรีในปี 2560 ที่ผ่านมา
“อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ” : รางวัลดีเด่น แหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
ด้านประวัติศาสตร์ของเมืองเพชรบูรณ์ถือว่ามีความเก่าแก่ไม่แพ้ที่ใด โดยเฉพาะ “เมืองโบราณศรีเทพ” ที่มีความเก่าแก่ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ 2,500 ปี โดยขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ถึง 1,800 ปี และยุคทวารวดีที่มีความเก่าแก่ถึง 1,400 ปี จึงถือได้ว่าศรีเทพเป็นเมืองโบราณในยุคทวารวดีที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย และยังมีความเจริญสืบทอดต่อเนื่องมาจนถึงยุควัฒนธรรมเขมรโบราณ ซึ่งพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้งในรูปแบบสถาปัตยกรรมและประติมากรรมที่มีอายุกว่า 1,000 ปี
เมืองโบราณศรีเทพปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ “อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ” (ต.ศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์) แหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ โดยหากอยากทราบเรื่องราวของเมืองศรีเทพควรเริ่มต้นที่ “ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว” ที่จะมีนิทรรศการให้ความรู้พื้นฐานของเมืองโบราณศรีเทพแบบจัดเต็มให้ผู้ที่มาชมทราบถึงที่มาและภาพกว้างๆ ก่อนจะเข้าไปชมโบราณสถาน อีกทั้งยังมีศิลปวัตถุจัดแสดงไว้ให้ชมด้วย
จากนั้นจึงค่อยมาชมพื้นที่ภายในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ซึ่งจะแบ่งออกเป็นเมืองในและเมืองนอก สำหรับ “เมืองใน” มีโบราณสถานสำคัญให้ชม ได้แก่
- “ปรางค์ศรีเทพ” ที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบศิลปะเขมร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดูราวพุทธศตวรรษ 16-17 ก่อนจะปรับเปลี่ยนมาเป็นพุทธสถานแบบมหายานในราวต้นพุทธศตวรรษ 18 แต่ยังไม่แล้วเสร็จ
-“เขาคลังใน” ศาสนสถานในพุทธศาสนา ชื่อของเขาคลังในมาจากคนท้องถิ่นที่เชื่อกันว่า ที่นี่เป็นคลังเก็บของมีค่าหรือคลังอาวุธสมัยโบราณ ที่น่าสนใจคือบริเวณฐานมีรูปปั้นนูนต่ำเป็นรูปคนแคระกำลังแบกเขาคลังในอยู่ โดยคนแคระเหล่านั้นมีศีรษะเป็นทั้งคนและสัตว์ เป็นศิลปะแบบทวารวดี
- “ปรางค์สองพี่น้อง” ปราสาทประธานก่อด้วยอิฐแบบศิลปะเขมร มีปราสาทขนาดเล็กตั้งอยู่ทางทิศใต้ซึ่งสร้างขึ้นเพิ่มเติมอยู่บนฐานเดียวกัน จึงเป็นที่มาของชื่อปรางค์สองพี่น้อง ที่ปรางค์องค์น้องมีทับหลังรูปพระอิศวรอุ้มนางปารวตีประทับนั่งอยู่เหนือโคนนทิ ส่วนด้านในปรางค์องค์พี่พบแท่นสำหรับตั้งศิวลึงค์ตั้งอยู่
นอกจากนี้ภายในเมืองในยังพบโบราณสถานขนาดเล็กอีกหลายแห่ง รวมถึงสระน้ำและหนองน้ำที่กระจายอยู่ในพื้นที่เมืองใน ส่วนที่ “เมืองนอก” ก็มีโบราณสถานสำคัญคือ เขาคลังนอก ปรางค์ฤาษี และถ้ำเขาถมอรัตน์
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพมีการดูแลรักษา การจัดแสดง และการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ทำให้ ททท. มอบรางวัลกินรีให้ในปี 2560
“ไร่กำนันจุล” : รางวัลดีเด่น แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในเพชรบูรณ์ที่ได้รางวัลกินรีคือ “ไร่กำนันจุล” (ต.วังชมภู สามแยกวังชมภู อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์) แหล่งซื้อของกินของฝาก โดยเฉพาะ “ปลาส้ม” รสชาติดีขึ้นชื่อ แต่นอกจากจะเข้าไปช้อปปิ้งแล้วยังสามารถไปเที่ยวชมวิถีเกษตร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิถีที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน
ไร่กำนันจุลก่อตั้งโดย นายจุล คุ้นวงศ์ (กำนันจุล) คนกรุงเทพฯ ผู้มีใจรักด้านการเกษตรและได้เข้ามาบุกเบิกทำไร่ส้มเขียวหวานที่เพชรบูรณ์ตั้งแต่ปี 2479 ก่อนจะมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นแหล่งปลูกส้มเขียวหวานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ พร้อมๆ กับมีการงานพัฒนาด้านการเกษตรภายในไร่ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องจนมีมาตรฐานสูงในระดับสากล
กำนันจุลทำการเกษตรแบบผสมผสานบนพื้นที่กว่า 10,000 ไร่ มีการบริหารจัดการพื้นที่อย่างเป็นระบบ ภายในมีการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ผลิตเส้นไหมส่งขายเจ้าใหญ่ที่สุดของเมืองไทย นอกจากนั้นยังปลูกผลไม้อีกหลากหลาย รวมถึงแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเลี้ยงปลา ปลาส่วนหนึ่งจับส่งขาย ส่วนหนึ่งนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ปลาส้มแบรนด์กำนันจุลอันโด่งดัง
อีกส่วนหนึ่งที่เป็นจุดเด่นก็คือการเปิดพื้นที่ไร่บางส่วนเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ทางการเกษตร โดยมีรถรางนำเที่ยวพาชมไร่และแปลงผลไม้ ทำกิจกรรมที่ทางไร่จัดไว้ให้ และมีวิทยากรบรรยายเรื่องราววิธีคิดของกำนันจุลที่สามารถก่อร่างสร้างไร่กำนันจุลแห่งนี้จนประสบความสำเร็จ พร้อมกับเป็นแหล่งสร้างงานให้คนในท้องถิ่นนับหมื่นชีวิต
ด้วยความที่ทางไร่ทำธุรกิจผลิตเส้นไหมส่งขาย ทำให้ที่นี่เป็นเป็นแหล่งปลูกหม่อนขึ้นชื่อ มีทั้งหม่อนใบและหม่อนกินผลหรือ “มัลเบอร์รี่” (Mulberry) ดังนั้นในช่วงฤดูหนาวของทุกปีจะมีการจัดงาน “เทศกาลหม่อน” หรือ “มัลเบอร์รี่เฟสต์” (Mulberry Fest) ขึ้น โดยจะมีกิจกรรมนั่งรถไถชมไร่กำนันจุลพาสัมผัสบรรยากาศของไร่ที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา ชมแปลงผลไม้สวนเกษตรผสมผสาน ชมบ่อปลาที่ทางไร่เลี้ยงไว้ทำปลาส้มกำนันจุล ชม “อุโมงค์มัลเบอร์รี่” ที่ทางไร่จัดสรรแปลงปลูกมัลเบอร์รี่ส่วนหนึ่งไว้สำหรับทำกิจกรรมเก็บมัลเบอร์รี่สดๆจากต้น แบบอิ่มไม่อั้น และทำกิจกรรมทำแยมมัลเบอร์รี่โฮมเมด
ไร่กำนันจุลจึงเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดไปเยี่ยมชม เพื่อเรียนรู้วิถีเกษตรของคนไทย และเพื่อซื้อหาของฝากติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้าน ซึ่งเป็นการกระจายรายได้ทางอ้อมสู่คนในพื้นที่อีกด้วย
จะเห็นได้ว่า นอกจากแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วนั้น เพชรบูรณ์ก็ยังมีที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย ดังนั้นหากมาเพชรบูรณ์ครั้งหน้า อย่าลืมมาตามรอยกินรีกับ 3 สถานที่ท่องเที่ยวไม่ควรพลาดข้างต้นนี้กัน
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.tourismthailand.org/tourismawards
www.facebook.com/thailandtourismawards
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager