Facebook :Travel @ Manager
หากใครกำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวแบบวันเดียว เที่ยวเช้า-เย็นกลับแล้วละก็ ขอแนะนำให้มาที่ “เมืองโบราณ” จ.สมุทรปราการ เพราะที่นี่ได้รวบรวมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเอาไว้มากมาย มาสร้างจำลองตั้งอยู่บนพื้นที่เกือบ 1 พันไร่ให้ได้ชมกัน
“เมืองโบราณ” นับได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ บนพื้นที่กว่า 800 ไร่ที่มีรูปร่างคล้ายด้ามขวานทองของประเทศไทย เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2506 และเปิดให้บริการครั้งแรกในปี พ.ศ.2515 โดยรวบรวมปราสาท วัง วัดและงานประติมากรรมต่างๆ บางแห่งจำลองตามแบบสถานที่จริง บางแห่งได้ยกเอาสิ่งปลูกสร้างจากสถานที่จริงมาบูรณะให้อยู่ในสภาพเดิม
หลังจากซื้อบัตรเข้าชมเรียบร้อยแล้ว โดยครั้งนี้ฉันขอซื้อบัตรแบบที่สามารถนำรถยนต์เข้าด้วย เพื่อความสะดวกสบายในการชม เพราะภายในเมืองโบราณมีพื้นที่กว้างขวางมาก คงไม่สามารถเดินชมด้วยขาทั้งสองข้างได้ หรือหากใครอยากจะปั่นจักรยานเข้าไปชม ที่นี่ก็มีบริการให้เช่าจักรยานด้วยเช่นกัน
ภายใน “เมืองโบราณ” มีถนนเล็กๆ ปูเรียบด้วยยางมะตอย มีต้นไม้ใหญ่สีเขียวขจีสร้างความร่มรื่นและบังความร้อนของแสงแดดได้เป็นอย่างดี โดยโบราณสถานจำลองที่จะไปชมนั้นได้แบ่งพื้นที่ตามภูมิภาคต่างๆ เช่น ภาคเหนือ ชมวัดภูมินทร์วิหารจัตุรมุขแห่งจังหวัดน่าน ภายในตกแต่งภาพปู่ม่านย่าม่าน และวัดจองคำซึ่งเชื่อมต่อวิหาร ศาลา และกุฏิไม้สักทั้งหมดไว้ในอาคารเดียวซึ่งทำการผาติกรรมมาจากจังหวัดลำปาง
ส่วนภาคกลางงามเด่นด้วยพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทจากสมัยอยุธยาซึ่งหลงเหลือเพียงซากฐานพระที่นั่ง แต่เมืองโบราณค้นคว้าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆแล้วสร้างขึ้นใหม่ตามต้นแบบอย่างน่าอัศจรรย์ ส่วนภาคอีสานจะได้ชมพระธาตุพนมที่สร้างตามแบบโบราณสีขององค์พระธาตุจึงต่างจากที่เห็นในปัจจุบัน
และต้องตะลึงอีกครั้งกับความอลังการของเขาพระวิหารที่มีการถมที่คล้ายภูเขาสูง ให้ขึ้นไปชมความงดงามของตัวปราสาทและทิวทัศน์เมืองปากน้ำรอบทิศทาง 360 องศา ซึ่งมองเห็นไกลไปถึงปากอ่าวไทยเลยทีเดียว
ส่วนโซนที่ไม่ควรพลาดคือโซนรังสรรค์ที่มีสิ่งปลูกสร้างจากจิตนาการของคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ เจ้าของบริษัทวิริยะประกันภัย เช่น ศาลาพระอรหันต์ สะพานรุ้ง เขาพระสุเมรุ และสวนพฤษชาติในวรรณคดีไทย ซึ่งยังรวมสถานที่ตามบันทึกหรือภาพจารึกในประวัติศาสตร์ หรือสถานที่ซึ่งหาชมไม่ได้แล้วในปัจจุบัน
เมืองโบราณได้สร้างเรือนไทยอยุธยา โดยถ่ายแบบมาจาก “คุ้มขุนแผน” ซึ่งทางราชการได้สร้างขึ้นไว้กลางสระบริเวณคุกโบราณหลังวัดเกษ จังหวัดอยุธยา คุ้มขุนแผนเป็นเรือนหมู่ 4 หลัง โดยได้แบบมาจากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ด้านในได้จัดแบ่งสัดส่วนเป็นห้องต่างๆ ด้านนอกล้อมรอบด้วยต้นไม้และดอกไม้หลากชนิด เพื่อเพิ่มความร่มรื่นให้กับเรือนไทยหลังนี้ บริเวณด้านหลังมีลำน้ำเล็กๆ สามารถเดินข้ามสะพานเพื่อไปยังชมจุดที่น่าสนใจอื่นๆ ได้
จากนั้นไปชม “พระธาตบังพวน” ตั้งอยู่ที่ตำบลดอนหมู อำเภอบังพวน จังหวัดหนองคาย เชื่อกันว่าเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่นำมาจากอินเดีย มีประวัติกล่าวไว้ในตำนานอุรังคธาตุ ทำให้เชื่อได้ว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 6-8 ซึ่งพระธาตุองค์นี้สร้างด้วยอิฐ มีฐานย่อมุมไม้สิบสอง 4 ชั้น เรือนธาตุย่อมุมไม้ยี่สิบ มีซุ้มจระนำ 4 ด้าน หลังคาเรือนธาตุทำอย่างบัวถลา เหนือขึ้นไปเป็นบัลลังก์มีองค์ระฆังสี่เหลี่ยมเป็นบัลลังก์อีก 3 ชั้น จึงออกเป็นยอดสี่เหลี่ยมแหลม ปลายปีพ.ศ. 2513 พระธาตุองค์นี้พังลงมา ทำให้ทราบว่าเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมมีซุ้มจระนำนั้นสร้างครอบเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมอย่างพระธาตุพนมเอาไว้ แล้วเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมแบบพระธาตุพนมครอบเจดีย์แลงไว้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเจดีย์แลงนั้นรูปทรงสัณฐานเป็นอย่างไรไม่ทราบแน่ชัด
อีกหนึ่งจุดที่มีความน่าสนใจก็คือ “วิหารหลวงวัดมหาธาตุ สุโขทัย” เป็นวิหารสิบเอ็ดห้อง ภายในมีฐานที่เคยประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่พระนามว่า “พระศรีศากยมุนี” ซึ่งถูกอัญเชิญมาไว้ที่วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ เมื่อครั้งรัชกาลที่ 1 เสาวิหารทำด้วยศิลาแลง ตัดเป็นแผ่นหนากลม วางเรียงซ้อนกันเป็นรูปเสาโคนใหญ่ปลายเรียว
จุดต่อไปไม่ใกลจากวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จะพบกับ “เนินปราสาท สุโขทัย” เป็นเนินปราสาทที่อยู่บริเวณวัดมหาธาตุ เมืองเก่าสุโขทัย มีสิ่งสำคัญคือ ศิลาจารึกหลักที่ 1 จารึกภาษาไทยที่เล่าถึงพระราชประวัติของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และพระราชกิจของพระองค์ ศิลาจารึกหลักนี้ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร และได้พบแผ่นหินมีลายจำหลักเป็นรูปกลีบบัวและลายบางอย่างประกอบกัน เชื่อว่าแผ่นหินนี้คือพระแท่นมนังคศิลาอาสน์ที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงสร้างขึ้นเมื่อพ.ศ. 1835 เพื่อให้มหาเถระนั่งแสดงธรรมแก่ราษฎรในวันธรรมสวนะ ปัจจุบันพระแท่นนี้ได้รับกาหรเก็บรักษาไว้ในวิหารยอดวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ
สำหรับนักท่องเที่ยวขาชอปต้องไม่พรากกับ “ตลาดโบราณ” หรือตลาดบก เป็นบรรยากาศของชุมชนเมืองในอดีต ซึ่งผู้คนยังดำรงชีพในรูปแบบของสังคมที่สามารถดำเนินอยู่ได้โดยลำพัง เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าขายสิ่งของจำเป็น สถานบริการต่างๆ การมหรสพ แหล่งอบายมุข โดยอาคารบ้านเรือน ณ ตลาดโบราณแห่งนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากถนนสายเก่าในจังหวัดตากและเมือกำแพงเพชร โดยผสมผสานกับสภาพบ้านเรือนย่านเก่าในกรุงเทพฯ แถบยานนาวามาปลูกสร้างขึ้น การเข้าชมตลาดโบราณจึงให้ภาพความทรงจำจากอดีตหวนคืนได้อย่างมีชีวิตชีวา
โดยภายในตลาดโบราณนี้จำมีสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องดื่ม ขายให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปผ่านมา ได้เลือกซื้อกันอย่างเพลิดเพลิน
นี่เป็นสถานที่เพียงส่วนหนึ่งของเมืองโบราณ ยังมีจุดอื่นๆ ให้เข้าไปชมอีกมากมาย วันหยุดนี้ลองมาเที่ยวที่ “เมืองโบราณ” กันดูสักครั้ง สามารถเที่ยวกันได้ง่ายๆ และอยู่ไม่ไกลกรุงเทพฯ มีสิ่งที่น่าสนใจหลากหลาย บรรยากาศร่มรื่นและผ่อนคลาย เที่ยวกันได้ทั้งครอบครัวอีกด้วย
“เมืองโบราณ” เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-19.00 น. โดยมีอัตราค่าบริการเข้าชม แบ่งเป็น บัตรเที่ยวชมเวลา 09.00-16.00 น. ผู้ใหญ่ 350 บาท เด็ก 175 บาท ค่านำพาหนะเข้าสถานที่คันละ 400 บาท และบัตรเที่ยวชมเวลา 16.00-19.00 น. ผู้ใหญ่ 175 บาท เด็ก 80 บาท ค่านำพาหนะเข้าสถานที่คันละ 200 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2709-1644-8
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
หากใครกำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวแบบวันเดียว เที่ยวเช้า-เย็นกลับแล้วละก็ ขอแนะนำให้มาที่ “เมืองโบราณ” จ.สมุทรปราการ เพราะที่นี่ได้รวบรวมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเอาไว้มากมาย มาสร้างจำลองตั้งอยู่บนพื้นที่เกือบ 1 พันไร่ให้ได้ชมกัน
“เมืองโบราณ” นับได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ บนพื้นที่กว่า 800 ไร่ที่มีรูปร่างคล้ายด้ามขวานทองของประเทศไทย เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2506 และเปิดให้บริการครั้งแรกในปี พ.ศ.2515 โดยรวบรวมปราสาท วัง วัดและงานประติมากรรมต่างๆ บางแห่งจำลองตามแบบสถานที่จริง บางแห่งได้ยกเอาสิ่งปลูกสร้างจากสถานที่จริงมาบูรณะให้อยู่ในสภาพเดิม
หลังจากซื้อบัตรเข้าชมเรียบร้อยแล้ว โดยครั้งนี้ฉันขอซื้อบัตรแบบที่สามารถนำรถยนต์เข้าด้วย เพื่อความสะดวกสบายในการชม เพราะภายในเมืองโบราณมีพื้นที่กว้างขวางมาก คงไม่สามารถเดินชมด้วยขาทั้งสองข้างได้ หรือหากใครอยากจะปั่นจักรยานเข้าไปชม ที่นี่ก็มีบริการให้เช่าจักรยานด้วยเช่นกัน
ภายใน “เมืองโบราณ” มีถนนเล็กๆ ปูเรียบด้วยยางมะตอย มีต้นไม้ใหญ่สีเขียวขจีสร้างความร่มรื่นและบังความร้อนของแสงแดดได้เป็นอย่างดี โดยโบราณสถานจำลองที่จะไปชมนั้นได้แบ่งพื้นที่ตามภูมิภาคต่างๆ เช่น ภาคเหนือ ชมวัดภูมินทร์วิหารจัตุรมุขแห่งจังหวัดน่าน ภายในตกแต่งภาพปู่ม่านย่าม่าน และวัดจองคำซึ่งเชื่อมต่อวิหาร ศาลา และกุฏิไม้สักทั้งหมดไว้ในอาคารเดียวซึ่งทำการผาติกรรมมาจากจังหวัดลำปาง
ส่วนภาคกลางงามเด่นด้วยพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทจากสมัยอยุธยาซึ่งหลงเหลือเพียงซากฐานพระที่นั่ง แต่เมืองโบราณค้นคว้าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆแล้วสร้างขึ้นใหม่ตามต้นแบบอย่างน่าอัศจรรย์ ส่วนภาคอีสานจะได้ชมพระธาตุพนมที่สร้างตามแบบโบราณสีขององค์พระธาตุจึงต่างจากที่เห็นในปัจจุบัน
และต้องตะลึงอีกครั้งกับความอลังการของเขาพระวิหารที่มีการถมที่คล้ายภูเขาสูง ให้ขึ้นไปชมความงดงามของตัวปราสาทและทิวทัศน์เมืองปากน้ำรอบทิศทาง 360 องศา ซึ่งมองเห็นไกลไปถึงปากอ่าวไทยเลยทีเดียว
ส่วนโซนที่ไม่ควรพลาดคือโซนรังสรรค์ที่มีสิ่งปลูกสร้างจากจิตนาการของคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ เจ้าของบริษัทวิริยะประกันภัย เช่น ศาลาพระอรหันต์ สะพานรุ้ง เขาพระสุเมรุ และสวนพฤษชาติในวรรณคดีไทย ซึ่งยังรวมสถานที่ตามบันทึกหรือภาพจารึกในประวัติศาสตร์ หรือสถานที่ซึ่งหาชมไม่ได้แล้วในปัจจุบัน
เมืองโบราณได้สร้างเรือนไทยอยุธยา โดยถ่ายแบบมาจาก “คุ้มขุนแผน” ซึ่งทางราชการได้สร้างขึ้นไว้กลางสระบริเวณคุกโบราณหลังวัดเกษ จังหวัดอยุธยา คุ้มขุนแผนเป็นเรือนหมู่ 4 หลัง โดยได้แบบมาจากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ด้านในได้จัดแบ่งสัดส่วนเป็นห้องต่างๆ ด้านนอกล้อมรอบด้วยต้นไม้และดอกไม้หลากชนิด เพื่อเพิ่มความร่มรื่นให้กับเรือนไทยหลังนี้ บริเวณด้านหลังมีลำน้ำเล็กๆ สามารถเดินข้ามสะพานเพื่อไปยังชมจุดที่น่าสนใจอื่นๆ ได้
จากนั้นไปชม “พระธาตบังพวน” ตั้งอยู่ที่ตำบลดอนหมู อำเภอบังพวน จังหวัดหนองคาย เชื่อกันว่าเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่นำมาจากอินเดีย มีประวัติกล่าวไว้ในตำนานอุรังคธาตุ ทำให้เชื่อได้ว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 6-8 ซึ่งพระธาตุองค์นี้สร้างด้วยอิฐ มีฐานย่อมุมไม้สิบสอง 4 ชั้น เรือนธาตุย่อมุมไม้ยี่สิบ มีซุ้มจระนำ 4 ด้าน หลังคาเรือนธาตุทำอย่างบัวถลา เหนือขึ้นไปเป็นบัลลังก์มีองค์ระฆังสี่เหลี่ยมเป็นบัลลังก์อีก 3 ชั้น จึงออกเป็นยอดสี่เหลี่ยมแหลม ปลายปีพ.ศ. 2513 พระธาตุองค์นี้พังลงมา ทำให้ทราบว่าเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมมีซุ้มจระนำนั้นสร้างครอบเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมอย่างพระธาตุพนมเอาไว้ แล้วเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมแบบพระธาตุพนมครอบเจดีย์แลงไว้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเจดีย์แลงนั้นรูปทรงสัณฐานเป็นอย่างไรไม่ทราบแน่ชัด
อีกหนึ่งจุดที่มีความน่าสนใจก็คือ “วิหารหลวงวัดมหาธาตุ สุโขทัย” เป็นวิหารสิบเอ็ดห้อง ภายในมีฐานที่เคยประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่พระนามว่า “พระศรีศากยมุนี” ซึ่งถูกอัญเชิญมาไว้ที่วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ เมื่อครั้งรัชกาลที่ 1 เสาวิหารทำด้วยศิลาแลง ตัดเป็นแผ่นหนากลม วางเรียงซ้อนกันเป็นรูปเสาโคนใหญ่ปลายเรียว
จุดต่อไปไม่ใกลจากวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จะพบกับ “เนินปราสาท สุโขทัย” เป็นเนินปราสาทที่อยู่บริเวณวัดมหาธาตุ เมืองเก่าสุโขทัย มีสิ่งสำคัญคือ ศิลาจารึกหลักที่ 1 จารึกภาษาไทยที่เล่าถึงพระราชประวัติของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และพระราชกิจของพระองค์ ศิลาจารึกหลักนี้ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร และได้พบแผ่นหินมีลายจำหลักเป็นรูปกลีบบัวและลายบางอย่างประกอบกัน เชื่อว่าแผ่นหินนี้คือพระแท่นมนังคศิลาอาสน์ที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงสร้างขึ้นเมื่อพ.ศ. 1835 เพื่อให้มหาเถระนั่งแสดงธรรมแก่ราษฎรในวันธรรมสวนะ ปัจจุบันพระแท่นนี้ได้รับกาหรเก็บรักษาไว้ในวิหารยอดวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ
สำหรับนักท่องเที่ยวขาชอปต้องไม่พรากกับ “ตลาดโบราณ” หรือตลาดบก เป็นบรรยากาศของชุมชนเมืองในอดีต ซึ่งผู้คนยังดำรงชีพในรูปแบบของสังคมที่สามารถดำเนินอยู่ได้โดยลำพัง เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าขายสิ่งของจำเป็น สถานบริการต่างๆ การมหรสพ แหล่งอบายมุข โดยอาคารบ้านเรือน ณ ตลาดโบราณแห่งนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากถนนสายเก่าในจังหวัดตากและเมือกำแพงเพชร โดยผสมผสานกับสภาพบ้านเรือนย่านเก่าในกรุงเทพฯ แถบยานนาวามาปลูกสร้างขึ้น การเข้าชมตลาดโบราณจึงให้ภาพความทรงจำจากอดีตหวนคืนได้อย่างมีชีวิตชีวา
โดยภายในตลาดโบราณนี้จำมีสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องดื่ม ขายให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปผ่านมา ได้เลือกซื้อกันอย่างเพลิดเพลิน
นี่เป็นสถานที่เพียงส่วนหนึ่งของเมืองโบราณ ยังมีจุดอื่นๆ ให้เข้าไปชมอีกมากมาย วันหยุดนี้ลองมาเที่ยวที่ “เมืองโบราณ” กันดูสักครั้ง สามารถเที่ยวกันได้ง่ายๆ และอยู่ไม่ไกลกรุงเทพฯ มีสิ่งที่น่าสนใจหลากหลาย บรรยากาศร่มรื่นและผ่อนคลาย เที่ยวกันได้ทั้งครอบครัวอีกด้วย
“เมืองโบราณ” เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-19.00 น. โดยมีอัตราค่าบริการเข้าชม แบ่งเป็น บัตรเที่ยวชมเวลา 09.00-16.00 น. ผู้ใหญ่ 350 บาท เด็ก 175 บาท ค่านำพาหนะเข้าสถานที่คันละ 400 บาท และบัตรเที่ยวชมเวลา 16.00-19.00 น. ผู้ใหญ่ 175 บาท เด็ก 80 บาท ค่านำพาหนะเข้าสถานที่คันละ 200 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2709-1644-8
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
