xs
xsm
sm
md
lg

ซอกแซก “ปีนัง” มนต์ขลังเมืองเล็กมรดกโลก

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

Facebook :Travel @ Manager
สตรีทอาร์ตเมืองปีนัง
ในอดีต หลายคนรู้จัก “ปีนัง” ในฐานะเมืองท่าและเมืองศูนย์กลางการปกครองอาณานิคมช่องแคบมะละกาของอังกฤษ เป็นเมืองที่มีความเจริญที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของผู้คนหลากเชื้อชาติ และเป็นเมืองที่ชาวไทยผู้มีอันจะกินนิยมส่งลูกหลานมาร่ำเรียนภาษากันที่นี่

ในปัจจุบัน เรารู้จัก “ปีนัง” ในฐานะรัฐหนึ่งของประเทศมาเลเซีย โดยพื้นที่ของรัฐปีนังนั้นแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนของแผ่นดินใหญ่ ที่เรียกว่าบัตเตอร์เวิร์ธ และส่วนที่เป็นเกาะปีนัง ซึ่งในภาษามาลายูเรียกว่า ปูเลาปีนัง (“ปูเลา” หมายถึง เกาะ “ปีนัง” หมายถึง ต้นหมาก ซึ่งในสมัยก่อน บนเกาะปีนังนั้นมีต้นหมากขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก) โดยเมืองหลวงของรัฐปีนังก็คือ “จอร์จทาวน์” ที่ตั้งอยู่บนเกาะปีนัง
บรรยากาศในจอร์จทาวน์
บรรยากาศในจอร์จทาวน์
การเดินทางมายังปีนังนั้นก็ง่ายแสนง่าย จะเดินทางทางรถไฟ ก็สามารถนั่งรถไฟจากประเทศไทยมาลงที่บัตเตอร์เวิร์ธ แล้วข้ามเรือ หรือนั่งรถข้ามมายังเกาะปีนังก็ได้ หรือจะให้สะดวกกว่านั้นก็คือการบินตรงมาจากเมืองไทย โดยมีสายการบินไทยแอร์เอชีย ให้บริการบินตรงมายังปีนัง โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที

มาถึงปีนังแล้ว แน่นอนว่า “ตะลอนเที่ยว” ก็ต้องตรงมายังจอร์จทาวน์เป็นอันดับแรก ซึ่งที่ “จอร์จทาวน์” นั้นได้รับยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกคู่กันกับเมืองมะละกา เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2551 เนื่องด้วยมีภูมิสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่งดงามและมีคุณค่า โดยภายในเมืองจอร์จทาวน์นั้นมีการอนุรักษ์อาคารบ้านเรือนโดยเฉพาะอาคารโคโลเนียลสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ไว้ได้เป็นอย่างดี โดยทั่วทั้งเมืองจะเห็นอาคารบ้านเรือนสวยๆ แบบนี้ที่มีสีสันสดใสแตกต่างกันไป ได้บรรยากาศความเป็นเมืองเก่าที่มีเสน่ห์ยิ่งนัก

อีกทั้งเมืองนี้ยังมีความกลมกลืนกันของผู้คนที่แม้จะต่างเชื้อชาติศาสนา แต่ก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยมีทั้งชาวจีน (เป็นประชากรส่วนใหญ่บนเกาะปีนัง) ชาวมลายู และชาวอินเดีย ในเมืองนี้เราจึงได้เห็นศาสนสถานของคนแต่ละเชื้อชาติทั้งศาลเจ้า มัสยิด และวัดแขก กระจายตัวกันอยู่ในเมืองและได้รับการบำรุงรักษาอย่างสวยงามเท่าเทียมกัน
โบสถ์ฮินดูในย่านลิตเติ้ลอินเดีย
อย่างในย่าน “ลิตเติ้ลอินเดีย” ในจอร์จทาวน์ ชุมชนของชาวอินเดียที่มีทั้งโบสถ์ฮินดูเก่าแก่ บ้านเรือนที่ตกแต่งในสไตล์อินเดีย มีร้านขายอาหารของคาวของหวานแบบอินเดีย หรือจะดูหนังฟังเพลงอ่านหนังสืออินเดีย ที่มีก็มีครบทุกสิ่ง แถมยังเห็นสาวอินเดียห่มส่าหรีสีสันสวยสดเดินผ่านไปผ่านมา ได้อารมณ์เดินในเมืองหนึ่งในประเทศอินเดีย มากกว่าจะอยู่ที่ปีนังเสียอีก
วัดเจ้าแม่กวนอิม
มัสยิดกาปิตัน เคลิง
แต่ถึงจะเป็นชุมชนอินเดีย บริเวณใกล้ๆ กันนั้นก็ยังมี “วัดเจ้าแม่กวนอิม” ที่สร้างขึ้นโดยชาวจีนฮกเกี้ยนและชาวจีนกวางตุ้งกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาตั้งรกรากบนเกาะปีนัง ซึ่งถือว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดบนเกาะปีนัง และถ้าเดินตรงตามถนนไปเรื่อยๆ ก็จะมาถึง “มัสยิดกาปิตัน เคลิง” ที่มองจากด้านนอกก็จะเห็นอาคารของมัสยิดเป็นสีขาวสะอาดตา ประดับด้วยโดมและหอคอยแบบโมกุลสีเหลือง ริมกำแพงด้านหนึ่งมีหอคอยสูง และล้อมรอบมัสยิดด้วยกำแพงรั้วเตี้ยๆ
พิพิธภัณฑ์ปีนังเพอรานากัน
ด้านในพิพิธภัณฑ์ปีนังเพอรานากัน
ด้านในพิพิธภัณฑ์ปีนังเพอรานากัน
ด้านในพิพิธภัณฑ์ปีนังเพอรานากัน
อีกจุดหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความกลมกลืนของแต่ละเชื้อชาติที่มาอาศัยอยู่ด้วยกันก็คือที่ “พิพิธภัณฑ์ปีนังเพอรานากัน” ที่อยู่ไม่ห่างจากย่านลิตเติ้ลอินเดียมากนัก ที่นี่เป็นบ้านเก่าหลังใหญ่ที่มีการปรับปรุง และจัดแสดงเรื่องราวต่างๆ ของชาวเพอรานากัน (บ้าบ๋า ย่าหยา) ได้อย่างสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็น วิถีชีวิต วัฒนธรรม อาหารการกิน การแต่งกาย ศิลปวัตถุต่างๆ ฯลฯ ที่เมื่อเข้าไปในนี้จะเหมือนเดินเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว
เดินชมสตรีทอาร์ตในจอร์จทาวน์
ปั่นจักรยานชมเมือง
อีกหนึ่งอย่างที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยือนปีนังก็คือ ชื่อเสียงอันโด่งดังของ “สตรีทอาร์ต” ที่มีให้ชมอยู่ตามมุมต่างๆ ในจอร์จทาวน์ ราวกับเป็น Open Air Gallery กันเลยทีเดียว

บรรยากาศในย่านที่นักท่องเที่ยวเดินมาชมสตรีทอาร์ตก็จะมีทั้งบ้านเรือนสวยๆ มีวัด ศาลเจ้า ร้านขายของที่ระลึก คาเฟ่ รวมถึงร้านจักรยานให้เช่า ซึ่งเป็นกิจกรรมที่นิยมอย่างมาก นักท่องเที่ยวสามารถเช่าจักรยานเพื่อปั่นไปรอบๆ จอร์จทาวน์ ชมสตรีทอาร์ตที่มีตามมุมต่างๆ และสัมผัสบรรยากาศของเมืองมรดกโลกได้อย่างใกล้ชิด
สตรีทอาร์ตเมืองปีนัง
สตรีทอาร์ตเมืองปีนัง
สตรีตอาร์ตในจอร์จทาวน์ให้ฟังเสียหน่อยว่า สำหรับคำว่า “สตรีตอาร์ต” นั้นหากจะแปลตรงตัวก็คือศิลปะข้างถนนที่สามารถพบเห็นได้ตามที่สาธารณะ แต่งานสตรีตอาร์ตที่เมืองนี้ไม่ใช่งานขีดเขียนผนังกำแพงเล่นๆ แบบกวนเมือง แต่เป็นโปรเจกต์งานศิลปะของศิลปินชาวตะวันตกที่ชื่อ เออร์เนสต์ ซาคาเรวิก (Ernest Zacharevic) ศิลปินชาวลิทัวเนียที่จบการศึกษาทางด้านศิลปะจากมหาวิทยาลัยมิดเดิลเซ็กที่ลอนดอน และได้เดินทางมาอยู่ที่ปีนัง

ในงาน George Town Festival 2012 ซึ่งเป็นงานเทศกาลเกี่ยวกับศิลปะที่จัดขึ้นเป็นประจำในเมืองจอร์จทาวน์ นายเออร์เนสต์ก็มีส่วนร่วมแสดงฝีมือด้วยกับโครงการ “Mirrors George Town” ซึ่งเป็นการวาดภาพต่างๆ บนผนังกำแพงในเมืองจอร์จทาวน์ โดยภาพวาดเหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรมที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ โดยตอนเริ่มต้นนั้นเออร์เนสต์ได้วาดไว้ 8 ภาพ แต่ภายหลังทีมงานก็ได้วาดภาพอื่นๆ เพิ่มเติม จนภาพวาดเหล่านี้กลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาที่จอร์จทาวน์เพื่อมาชมงานศิลปะเหล่านี้กัน
สตรีทอาร์ตเมืองปีนัง
นอกจากภาพวาดบนกำแพงแล้ว ก็ยังมีผลงานศิลปะน่าชมอีกอย่างหนึ่งคือภาพเหล็กดัดเป็นรูปคนในท่าทางต่างๆ บอกเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของเมืองจอร์จทาวน์เชิงตลกสนุกสนาน แต่ละภาพจะมีคำบรรยายบอกเล่าเป็นภาษาอังกฤษให้เข้าใจง่ายๆ และส่วนมากจะเป็นภาพล้อเลียนขำๆ ให้เราได้เห็นถึงอดีตของเมืองจอร์จทาวน์
Chew Jetty
Chew Jetty
ใกล้ๆ กับย่านที่มีสตรีทอาร์ตให้ชม ก็ยังมีสิ่งที่น่าสนใจชวนเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ “Chew Jetty” ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมง (Chew เป็นชื่อสกุล ส่วน Jetty หมายถึงท่าเรือ) ที่มีการอนุรักษ์บรรยากาศแบบดั้งเดิมไว้ มีทางเดินเป็นสะพานไว้ทอดยาวออกไปสู่ทะเล ผ่านบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่ง ปัจจุบันก็มีร้านค้า ร้านอาหาร มาเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชม

Chew Jetty เป็นหนึ่งในเจ็ดท่าเรือของปีนัง (ปัจจุบันเหลือ 6 ท่าเรือ) ซึ่งหมู่บ้านชาวประมงแบบนี้ เกิดขึ้นเมื่อคราวที่อังกฤษเข้ามาปกครองที่นี่ ก็จะเก็บภาษีที่อยู่อาศัยจากคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินปีนัง ชาวบ้านบางกลุ่มเห็นว่าไม่ถูกต้อง เนื่องจากอาศัยอยู่ที่นี่กันมานานแล้ว เพิ่งจะมีการเก็บภาษี จึงได้รวบรวมกันออกมาสร้างหมู่บ้านใหม่ ที่สร้างเป็นสะพานยื่นออกไปในทะเล ถือว่าไม่ได้มีบ้านอยู่บนแผ่นดินดังนั้นจึงไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐ (แต่ปัจจุบันนี้ก็ต้องเสียภาษีเช่นกัน เพราะเปลี่ยนจากภาษีที่ดินที่อยู่อาศัย กลายมาเป็นภาษีประตูบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าทุกบ้านต้องมีประตู เลยต้องเสียภาษีเหมือนกันทุกหลัง)
ชมวิวที่ชั้น 65 บนตึก Komtar
หากใครที่มาเดินอยู่ในจอร์จทาวน์ ไม่ว่าจะอยู่มุมไหน หากสังเกตดีๆ ก็จะได้เห็นตึกสูงที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ตึกนี้มีชื่อว่า “Komtar” โดยในอดีตนั้นตึกนี้มีความสูง 65 ชั้น แล้วกมีการต่อเติมเพิ่มขึ้นเป็น 68 ชั้นในภายหลัง

ที่ตึก Komtar นับว่าเป็นศูย์กลางการขนส่งของเกาะปีนังก็ว่าได้ ในอดีตจะเป็นท่ารถที่เดินทางระหว่างปีนังและเมืองต่างๆ ของมาเลเซีย และประเทศอื่นๆ รวมถึงเป็นจุดเชื่อมต่อสายรถเมล์ที่ให้บริการอยู่บนเกาะปีนังด้วย (ปัจจุบัน ท่ารถย้ายออกไปยังจุดใกล้ๆ แล้ว) ส่วนในตัวตึกก็ยังมีสำนักงานต่างๆ มีร้านค้า ร้านอาหาร
The Top Penang ชั้น 68 บนตึก Komtar
นอกจากจะถือว่าเป็นแลนด์มาร์กกลางเมืองแล้ว ที่ตึก Komtar ก็ยังสามารถขึ้นมาชมวิวมุมสูงได้ด้วย โดยที่ชั้น 65 จะเป็นจุดชมวิวผ่านกระจก ที่สามารถเดินชมได้รอบๆ แล้วก็ยังมีกิจกรรมหวาดเสียว ให้ผู้กล้าลองออกไปเดินชมด้านนอกที่ความสูง 65 ชั้น

ส่วนที่ชั้น 68 ที่เรียกกันว่า “The Top Penang” ก็ทำเป็นสะพานกระจกยื่นออกไปจากตัวอาคาร รับลมเย็นๆ ชมวิวมุมสูงมากๆ ของเกาะปีนัง ใครที่ใจกล้าก็สามารถออกไปแชะภาพมุมสูงสุดเสียวกันได้ตามสะดวก
ทางขึ้นปีนังฮิลล์
รถรางไฟฟ้าขึ้นสู่ปีนังฮิลล์
จุดชมวิวด้านบน
ชมวิวมุมสูงรับลมเย็นๆ
ใครที่อยากชมวิวมุมสูงของปีนังในอีกมุม ก็ต้องมาที่ “Penang Hill” ที่เป็นจุดสูงสุดของเกาะปีนัง โดยมีความสูง 830 เมตรจากระดับน้ำทะเล ใครที่จะขึ้นมาบนยอดปีนังฮิลล์มีให้เลือกสองทางคือ ใช้บริการรถรางไฟฟ้าไต่ระดับขึ้นไปด้านบน ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที ส่วนใครที่กำลังขาดี กำลังใจถึง ก็สามารถเดินลัดเลาะขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ได้

ด้านบนปีนังฮิลล์อากาศเย็นสบาย (แม้อากาศด้านล่างจะร้อนก็ตาม) ด้วยความร่มครึ้มของแมกไม้ มีลมเย็นๆ พัดมาเรื่อยๆ ก็สามารถมายืนชมวิวสวยๆ สุดลูกหูลูกตาได้
เส้นทางเดินชมธรรมชาตใน The Habitat Penang Hill
แวะพักชมวิว
ทางเดินสะพานยอดไม้
curtis crest
curtis crest
จากจุดชมวิวบนปีนังฮิลล์ ยังสามารถขึ้นเขาไปด้านบนได้อีก โดยมีจุดท่องเที่ยวที่เรียกว่า “The Habitat Penang Hill” ซึ่งเป็นเส้นทางเดินสำรวจธรรมชาติ โดยที่นี่ต้องซื้อตั๋วเข้าชม และจะมีเจ้าหน้าที่พาเข้าชม

เส้นทางเดินชมธรรมชาติก็สามารถเดินได้เรื่อยๆ สบายๆ ไม่ร้อน ระหว่างทางก็มีพืชพรรณหลากหลายชนิดที่น่าชี้ชวนให้ดู บางทีก็มีสัตว์ร่วมโลกอยู่ตามมุมต่างๆ มีเส้นทางเดินชมธรรมชาติเหนือยอดไม้ ให้ได้สัมผัสบรรยากาศสดชื่นแบบในป่าเขา และยังมีไฮไลต์สำคัญก็คือ “curtis crest” ที่สร้างเป็นสกายวอล์คสูงขึ้นไปอีก ให้ได้ชมวิวมุมสูงรอบๆ ถึง 360 องศา
Love Lane
ส่วนใครที่อยากชมแสงสียามค่ำคืนของเกาะปีนัง ก็มีที่ “Love Lane” เป็นซอยเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากย่านลิตเติ้ลอินเดีย ในซอยนี้จะเริ่มเปิดร้านกันตอนหัวค่ำ แต่จะคึกคึกก็ดึกหน่อย มีทั้งคาเฟ่และร้านนั่งดื่ม บรรยากาศคล้ายๆ ย่านถนนข้าวสารในบ้านเรา เพียงแต่ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านมากนัก

ติดกับ Love Lane ก็คือ “Chulia Street” ที่ถือว่าเป็นย่านสตรีทฟู้ดแบบที่ชาวปีนังนิยมชมชอบกัน มีของอร่อยๆ ให้เลือกกินหลายร้าน

เสน่ห์ของการมาเดินเที่ยวในเกาะปีนัง โดยเฉพาะในย่านจอร์จทาวน์ ก็คือการเดินลัดเลาะตามตรอกซอกซอยเล็กๆ ที่มักจะทะลุถึงกัน (จากการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบตั้งแต่ช่วงที่อังกฤษมาปกครอง) แต่ละมุมก็จะมีสตรีทอาร์ตเล็กๆ ให้ได้ชมกันอยู่ทั่ว นอกจากนี้ก็ยังมีบ้านเก่าแก่สไตล์ชิโน-โปรตุกีส ให้ได้ชมตลอดเส้นทาง โดยปัจจุบันนอกจากจะเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ก็ยังเปิดเป็นร้านค้า คาเฟ่ ร้านอาหาร และโรงแรมเล็กๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่อยากจะเข้ามาสัมผัสมนต์ขลังของเมืองเล็กๆ ที่เป็นมรดกโลกแห่งนี้
Chulia Street
* * * * * * * * * * * * * * * * *

การเดินทางสู่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย มีสายการบินไทยแอร์เอเชีย ให้บริการเส้นทาง กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) - ปีนัง วันละ 2 เที่ยว เวลา 10.50-13.35 น. และ 15.40-18.25 น. และเส้นทาง ปีนัง - กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) วันละ 2 เที่ยวบิน เวลา 14.00-14.45 น. และ 18.55-19.55 น. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่www.airasia.com โทร. 0-2515-9999

สำหรับข้อมูลการท่องเที่ยวในปีนัง สามารถดูรายละเอียกเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์การท่องเที่ยวมาเลเซีย www.malaysia.travel/th-th/th และที่ เว็บไซต์ mypenang.gov.my
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager


กำลังโหลดความคิดเห็น