โดย : ปิ่น บุตรี (pinn109@hotmail.com)

“อารมย์ดี”
นี่ไม่ใช่การสะกดผิด เพราะ“อารมย์ดี” ไม่ใช่ “อารมณ์ดี”
แต่อารมย์ดีเป็นโครงการที่เกิดจากกลุ่มคนเล็ก ๆ แต่มีใจและฝันอันยิ่งใหญ่ ได้มารวมตัวกันปลุกชีวิต“เมืองเก่าปัตตานี”ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง พร้อมเชิญชวนให้ผู้ที่มาสัมผัสได้เพลิดเพลินเจริญใจ
และรู้สึก“อารมณ์ดี”ไปกับ“อารมย์ดี”
เมืองเก่าปัตตานี

ความเปลี่ยนแปลงเป็นสัจธรรมของทุกสรรพสิ่ง
ย่านเมืองเก่าปัตตานีก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับชุมชนเก่าหลาย ๆ แห่งในบ้านเรา ที่มีความเปลี่ยนแปลง จากกำเนิดเกิดก่อ เติบโต เจริญรุ่งเรือง และเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา
สำหรับความเป็นมาของย่านชุมชนเมืองเก่าปัตตานีนั้นมีข้อมูลระบุว่า เริ่มที่นี่ก่อตั้งเป็นชุมชนชาวจีนมาตั้งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา (ประวัติของชุมชนมีความเกี่ยวกันกับการสร้างศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว)

ความที่อยู่ติดกับแม่น้ำปัตตานี ทำให้ชุมชนแห่งนี้ค่อย ๆ เติบโตขึ้นตามลำดับกลายเป็นเมืองท่าสำคัญริมแม่น้ำปัตตานี ที่มีเรือ(ขึ้น-ล่อง) ทั้ง จาก จีน สิงคโปร์ ชวา อยุธยา พระนคร เดินทางมาขนถ่ายสินค้าที่นี่
ในสมัยรัชกาลที่ 3 ชุมชนเมืองเก่าปัตตานีมีความเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น มีการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมจีนขึ้นมาจำนวนหลายหลัง ซึ่งยังคงความสวยงามคลาสสิกเป็นมรดกแห่งชุมชนตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้
ขณะที่สถาปัตยกรรมสมัย ร.5 ที่โดดเด่นไปด้วยเทคนิคของตะวันตกก็เป็นอีกหนึ่งยุคอันโดดเด่นของย่านแห่งนี้ เนื่องจากเป็นยุคที่ชุมชนแห่งนี้เติบโตอย่างมาก มีคนเข้ามาอยู่ในชุมชนเพิ่มมากขึ้น
นอกจากจะเป็นเมืองท่าสำคัญแล้ว ในอดีตที่นี่ยังเป็นย่านการค้าสำคัญ และย่านตลาดยุคแรก ๆ ของปัตตานี จึงเกิดเป็นชุมชนหัวตลาดและมีการสร้างวัดหัวตลาดขึ้นที่บริเวณย่านเมืองเก่าแห่งนี้ รวมถึงย่านนี้ยังเป็นที่ตั้งของ“ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญแห่งดินแดนด้ามขวาน

อิทธิพลจากการเป็นเมืองท่าสำคัญ นอกจากจะทำให้ย่านชุมชนหัวตลาดแห่งเมืองเก่าปัตตานีมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ ๆ ในปัตตานี อย่างเช่น มีระบบการปั่นไฟแบบอังกฤษที่ริเริ่มโดยขุนธำรงพันธุ์ภักดี มีทีวีเครื่องแรกของจังหวัดที่เด็ก ๆ มานั่งรอต่อคิวดู มีโรงภาพยนตร์ที่สร้างความบันเทิงอย่างไม่หลับใหล
ที่สำคัญคือที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวไทยพุทธ ไทยมุสลิม และชาวไทยเสื้อสายจีน อย่างผสมกลมกลืนมายาวนานนับร้อยปี สมดังกับฉายา “ปัตตานี เมืองงาม 3 วัฒนธรรม”

ชุมชนเมืองเก่าปัตตานีดำรงความเจริญรุ่งเรืองเรื่อยมา จนกระทั่งหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชุมชนเมืองใหญ่ต่างพากันขยายตัว การขนส่งทางน้ำลดความสำคัญลง(มาก) ถนนเข้ามามีความสำคัญแทนที่
ขณะที่ผู้คนจำนวนมากต่างออกนอกพื้นที่ทั้งไปศึกษาหาความรู้และสร้างเนื้อสร้างตัว ชุมชนเมืองเก่าปัตตานีจึงค่อย ๆ ซบเซาลงไปเรื่อย ๆ ทำให้บ้านหลายหลังถูกทิ้งร้าง จนมีคนซื้อไปทำบ้าน(รัง)นกแทน
เท่านั้นยังไม่พอ ผลจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีความรุนแรงมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึงปัจจุบัน ก็ซัดซ้ำให้ชุมชนเมืองเก่าปัตตานียิ่งซบเซา(ลง)มากยิ่งขึ้นไปอีก
รู้จักอารมย์ดี
แม้ชุมชนเมืองเก่าปัตตานีจะผ่านยุคอันรุ่งโรจน์มาสู่ยุคถดถอยในปัจจุบัน แต่ ที่นี่ “ยังมีลมหายใจ” รวมถึงมีคนส่วนหนึ่งพยายามที่จะปลุกชีวิตย่านเมืองเก่าปัตตานีขึ้นมาอีกครั้ง

กระทั่งเมื่อราว ๆ 2 ปีที่แล้ว ได้มีการจัดงานรื้อฟื้น“ย่านตลาดเก่า”หรือ“กือดาจีนอ”ขึ้นที่ชุมชนเมืองเก่าปัตตานี(กือดา แปลว่าตลาด, จีนอ หมายถึงจีน) ซึ่งเกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของคนในหลายภาคส่วน
หลังจากนั้นมาในวันนี้ ความพยายามในการปลุกชีวิตเมืองเก่าปัตตานีก็ได้ถูกต่อยอด เดินหน้ามาสู่โครงการ“อารมย์ดี” ที่เกิดจากความตั้งใจอันแน่วแน่ของคน(เล็ก ๆ)กลุ่มหนึ่ง นำโดยกลุ่ม“มลายู ลีฟวิ่ง”ที่ต้องการปลุกชีวิตย่านเมืองเก่าปัตตานี จากที่เคยเงียบเหงาซบเซาให้กลับมาคึกคักมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

มลายู ลีฟวิ่ง(Melayu Living) เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่เป็นสถาปนิกและคนทำงานด้านศิลปะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มารวมตัวกันเพื่อสร้างความเคลื่อนไหวอย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวทาง ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยว ฯลฯ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน การร่วมมือของคนในพื้นที่ อันนำไปสู่การรับรู้เพื่อเปลี่ยนมุมมองเปลี่ยนวิถีคิดของคนภายนอกเสียใหม่ว่า
...ในสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้นั้น มันยังมีแง่งาม มีเรื่องราวดี ๆ ปรากฏให้คนนอกที่มีโอกาสมาสัมผัสได้ชุ่มชื่นชูใจกัน...
สำหรับ“อารมย์ดี”เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ทางกลุ่มมลายู ลีฟวิ่ง และพันธมิตร ได้ร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้น โดยมีทาง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)” มาร่วมส่งเสริมประชาสัมพันธ์ด้วยอีกแรง

อารมย์ดี(อา-รมย์-ดี) เป็นคำเฉพาะ ที่เกิดจากการนำคำประกอบของถนนสามสายในย่านเมืองเก่าปัตตานี อันได้แก่ “อา” มาจากถนน“อาเนาะรู”, “รมย์” มาจากถนน“ปัตตานีภิรมย์” และ“ดี” มาจากถนน“ฤาดี” มาร้อยเรียงเชื่อมโยงกันเป็นชื่อ“อารมย์ดี” ที่เมื่อผมฟังแล้วพลอยให้เกิดความรู้สึกอารมณ์ดีตามไปด้วย
นอกจากถนนทั้งสามสายอารมย์ดีแล้วก็ยังมีถนนนาเกลือและถนนมายอ เป็นเส้นทางเชื่อมโยงในพื้นที่เมืองเก่าปัตตานี ซึ่งทางโครงการอารมย์ดีเขาได้เชิญชวนให้ผู้สนใจมาสัมผัสกับชุมชนเมืองเก่าปัตตานีกันอย่างลึกซึ้งผ่านการ “เดิน” (Walking Tour) หรือ “เดินอารมย์ดี”ที่เป็นหนึ่งในกิจกรรมท่องเที่ยวเรียนรู้ในปัตตานีที่น่าสนใจไม่น้อย
ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว

สำหรับเส้นทางเดินอารมย์ดีสัมผัสวิถีชุมชนเมืองเก่าปัตตานีนั้น เริ่มตั้งต้นกันที่ “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” หรือ “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” บนช่วงกลางถนนอาเนาะรู
ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว อยู่คู่กับชุมชนเมืองเก่าปัตตานีมายาวนานนับร้อยปี เดิมที่นี่คือ“ศาลเจ้าโจวซือกง” เนื่องจากมีองค์“โจวซือกง”(พระหมอเชงจุ้ยโจวซือกง) เทพเจ้าแห่งการรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นประธานประจำศาลเจ้า

ต่อมาได้มีการอัญเชิญรูปแกะสลักองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งเดิมอยู่ในศาลเจ้าใกล้ ๆ กับ“สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว”(ที่บ้านกรือเซะ ต.ตันยงลุโละ อ.เมือง จ.ปัตตานี)มาประทับที่ศาลเจ้าแห่งนี้ จึงมีการเรียกขานศาลเจ้าแห่งนี้ใหม่ว่า “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” ที่หมายถึง ศาลเจ้าแห่งความเมตตาและศักดิ์สิทธิ์ แต่คนส่วนใหญ่กลับนิยมเรียกศาลแห่งนี้ว่า“ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว”ติดปากมาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวนั้น มีความเชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดในปัตตานี ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตา โชคลาภ ค้าขาย ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจและศูนย์รวมศรัทธาของชาวไทยเชื้อสายจีนในปัตตานี ในต่างจังหวัด และในต่างประเทศ

เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เป็นผู้ที่มีความกตัญญูต่อมารดา ซื่อสัตย์ และรักษาในคำมั่นสัญญาเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดยอมฆ่าตัวตาย เพราะไม่อาจรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับมารดาว่าจะพาพี่ชายคือ“ลิ้มโต๊ะเคี่ยม”กลับบ้านได้ ทำให้ชาวจีนในยุคนั้นซาบซึ้งในคุณธรรมของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นอย่างยิ่ง
ใครที่อยากรู้เรื่องราวของเทพโจวซือกง และประวัติความเป็นของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวอย่างละเอียด สามารถเดิน(ไม่กี่ก้าว)ไปทัศนากันได้ที่ “หอนิทรรศน์สานอารยธรรม จังหวัดปัตตานี” หรือ “พิพิธภัณฑ์เจ้าแม่ลิ้มหอเหนี่ยว” ที่ตั้งอยู่ติดกับศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว

หอนิทรรศน์สานอารยธรรมฯ เป็นอาคารสถาปัตยกรรมแบบจีน ด้านหน้าโดดเด่นไปด้วยประติมากรรม 18 อรหันต์จากเมืองจีนที่ช่างแกะสลักได้อย่างมีชีวิตชีวา
ส่วนภายในมีการแบ่งออกเป็น 9 โซนหลัก จัดแสดงเรื่องราวน่าสนใจต่าง ๆได้แก่ ส่วนจัดแสดงประวัติปัตตานี และชุมชนจีน(จุดเปลี่ยนแห่งยุคสมัย), เรื่องราวประวัติพระหมอเชงจุ้ยโจวซือกง, เรื่องราวการเดินทางข้ามแผ่นดิน, เรื่องราวประวัติเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว, ส่วนจัดแสดงเกี้ยว และงานพิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว, ส่วนจัดแสดงมัลติมีเดีย 1 หรือห้องบรรยาย, ห้องคนรักปัตตานี, ห้องรำลึกมหาราชา และ ห้องตลาดจีนเมืองปัตตานี

หอนิทรรศน์สานอารยธรรมฯ ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีการจัดแสดงที่ดีและน่าสนใจมากอีกแห่งหนึ่ง หากใครที่มาสักการะองค์เจ้าลิ้มกอเหนี่ยวแล้ว ก็ไม่ควรพลาดการเข้าไปเที่ยวชมในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วยประการทั้งปวง
เดินอารมย์ดี
หลังสักการะองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว องค์เทพโจวซือกง และเทพองค์อื่น ๆ ที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเสริมสิริมงคล และไปชมสิ่งน่าสนใจใน หอนิทรรศน์สานอารยธรรมฯแล้ว

ต่อจากนี้ก็ได้เวลาออกเดินอารมย์ดีจากศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว สัมผัสกับบรรยากาศของเมืองเก่าปัตตานี(ในยามเย็น) ไปตามถนน(3)สายอารมย์ดี คืออาเนาะรู-ปัตตานีภิรมย์-ฤาดี และเชื่อมโยงกับถนนนาเกลือ ถนนมายอ ซึ่งในระหว่างทางจะได้สัมผัสกับบรรยากาศของย่านเมืองเก่าปัตตานีที่มีสิ่งน่าสนใจให้ชมกันหลากหลาย อาทิ

-“บ้านกงสี”(บ้านเลขที่ 27 ) อาคารเก่าแก่สมัย ร.3 เป็นสถาปัตยกรรมจีนชั้นเดียว ด้านหน้าทาสีฟ้าอ่อน ตัวบ้านก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้องดินเผาโค้งท้องช้าง ภายในบ้านโดดเด่นไปด้วยขื่อไม้สีแดงขนาดใหญ่ วางพาดขวาง ปัจจุบันบ้านหลังนี้จัดเป็นห้องสำหรับประดิษฐานองค์เทพต่างๆ

-“บ้าน 300 ปี” เป็นบ้านของคุณสุพิศ ดาราพันธ์(ทายาทรุ่นที่ 4) ถือเป็นบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในย่านนี้มีอายุราว 300 ปี เป็นบ้านชั้นเดียว สถาปัตยกรรมแบบจีน(ถอดแบบการก่อสร้างมาจากจีน) มีโครงหลังคาขนาดใหญ่ ด้านในมีพื้นที่ส่วนหน้า ส่วนกลาง และส่วนหลัง ตามพื้นที่กลางใช้สอยแบบจีน

-“บ้านตึกขาว” เดิมเป็นบ้านของคุณพระจีนคณานุรักษ์(ตันจูล้าย) ก่อสร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 2426 รัชกาลที่ 5 เคยแวะมาประทับ เมื่อคราวเสด็จประพาสตลาดจีนและศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว

-“ร้านโรงเตี๊ยม อาเนาะรู” เดิมเป็นบ้านภรรยาน้อยของหลวงสุนทรสิทธิโลหะ(ตันจูเบ้ง) ในอดีตเคยถูกทำเป็นป้อมยามและเรือนรับรองสำหรับผู้ที่มาหาหลวงสุนทรฯ ส่วนปัจจุบันถูกปรับเปลี่ยนเป็นร้านโรงเตี๊ยม อาเนาะรู ขายชา กาแฟ และติ่มซำยามเย็น

- “บ้านเลขที่ 1” เป็นบ้านทรงจีน 2 ชั้น หลังงามตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนอาเนาะรู บ้านเลขที่ 1 ไม่ใช่บ้านหลังแรกของย่านเมืองเก่า แต่เป็นบ้านที่มีเลขที่เป็นลำดับแรกของที่นี่หลังมีระบบจัดทำทะเบียนบ้าน
บ้านหลังนี้มีกำแพงรอบบริเวณบ้าน มีสวนอยู่หลังบ้าน พื้นบ้านสร้างยกสูงจากถนน ผนังบ้านมีความหนามาก สร้างชนิดที่เรียกว่า ทึบ ตัน มั่นคง

ส่วนหลังคาเป็นหลังคาจั่ว 3 แถว บริเวณหน้าจั่วประดับด้วยงานปูนปั้นอันเป็นเอกลักษณ์ 3 รูปแบบ ได้แก่ สิงห์ พระจีนฯ และดาบไขว้ ตามความเชื่อในเรื่องความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ที่หัวเสาด้านบนยังประดับลวดลายปูนปั้นศิลปะจีนอย่างสวยงาม

-“บ้านรังนก” ปัจจุบันมีอยู่หลายหลังในย่านเมืองเก่า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของชุมชนแห่งนี้ ที่ในยุคหนึ่งบ้านเรือนบางส่วนถูกทิ้งร้าง ก็ได้มีคนมาซื้อบ้านในย่านนี้ทำบ้านนก สำหรับบ้านรังนกที่เด่นมาก ๆ ก็คือ บ้านรังนกที่อยู่ติดกับบ้านเลขที่ 1 ซึ่งถือเป็นบ้านรังนกหลังแรกที่มีนกนางแอ่นเข้ามาอาศัยทำรัง จนเจ้าของบ้านต้องยกบ้านชั้นบนให้เป็นที่อยู่อาศัยของนก ส่วนคนอาศัยอยู่ชั้นล่าง
-“บ้านขุนพิทักษ์รายา” ที่วันนี้กำลังทำการปรับปรุงบูรณะให้มีสภาพใกล้เคียงกับอดีตเมื่อ ราว 100 ปีที่แล้ว เพื่อร่วมบอกเล่าประวัติความเป็นมาของประวัติชุมชน

นอกจากบ้านเรือนเด่น ๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในย่านเมืองเก่าปัตตานี ยังมีสิ่งชวนชมอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มตึกแถวสไตล์ชิโนโปรตุกีสสีสันสดใส,กลุ่มอาคารเรือนไม้ 2 ชั้นอันเรียบง่ายแต่ดูทรงเสน่ห์, อาคารธรรมศาลาที่เคยปรับปรุงบริเวณบ้านให้เป็นโรงธรรม, โรงยาฝิ่นแบบถูกกฎหมาย ที่สร้างขึ้นเพื่อความผ่อยคลายอารมณ์และการพักผ่อนอย่างเสรี

และ “อินตออาฟ คาเฟ่ แอนด์ แกลเลอรี่”(In T AF Cafe' & Gallery) ร้านกาแฟร่วมสมัยของกลุ่ม มลายู ลีฟวิ่ง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปัตตานีที่นอกจากจะเป็นร้านกาแฟบรรยากาศดี ตกแต่งกิ๊กเก๋แล้ว ยังเป็นแกลเลอรี่และพื้นที่แลกเปลี่ยนทางศิลปวัฒนธรรม

การก่อกำเนิดของร้านกาแฟและแกลเลอรี่ร้านนี้ เป็นส่วนสำคัญในการฟื้นชีวิตเมืองเก่าปัตตานีขึ้นมา เพราะเมื่อมีร้านกาแฟ ก็มีคนมานั่งพบปะพูดคุยกัน ชีวิตชีวาก็ตามมา ร้านรวงอื่นๆก็เกิดตามมา

รวมถึงโครงการอารมย์ดีก็เกิดขึ้นตามมาช่วยปลุกชีวิตในย่านเมืองเก่าปัตตานีให้มีชีวิตชีวามีความคึกคักมากขึ้น ที่สำคัญคือการมีกิจกรรมต่างๆ ทำให้ความระแวงจากเหตุการณ์ความสงบของชาวชุมชนลดลงไปมาก หลายบ้านเริ่มทำการปรับปรุงบ้าน ทาสีใหม่ มีการเปิดบ้านให้นักท่องเที่ยวชมภายใน(กรณีที่ติดต่อมาเป็นหมู่คณะ) ชุมชนกลับมาเข้มแข็งขึ้น ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย
สำหรับผมการได้มาเดิน“อารมย์ดี”เที่ยวย่านเมืองเก่าปัตตานีนั้น มันก็ทำให้เราพลอยรู้สึก “อารมณ์ดี”ตามไปด้วย

...................................................................................................
สอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดปัตตานีเชื่อมโยงกับกิจกรรมอารมย์ดี รวมถึง ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางได้ที่ ททท.สำนักงานนราธิวาส(รับผิดชอบพื้นที่ นราธิวาส,ปัตตานี, ยะลา) โทร.0 7352 2411 , 0 7354 2345
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
“อารมย์ดี”
นี่ไม่ใช่การสะกดผิด เพราะ“อารมย์ดี” ไม่ใช่ “อารมณ์ดี”
แต่อารมย์ดีเป็นโครงการที่เกิดจากกลุ่มคนเล็ก ๆ แต่มีใจและฝันอันยิ่งใหญ่ ได้มารวมตัวกันปลุกชีวิต“เมืองเก่าปัตตานี”ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง พร้อมเชิญชวนให้ผู้ที่มาสัมผัสได้เพลิดเพลินเจริญใจ
และรู้สึก“อารมณ์ดี”ไปกับ“อารมย์ดี”
เมืองเก่าปัตตานี
ความเปลี่ยนแปลงเป็นสัจธรรมของทุกสรรพสิ่ง
ย่านเมืองเก่าปัตตานีก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับชุมชนเก่าหลาย ๆ แห่งในบ้านเรา ที่มีความเปลี่ยนแปลง จากกำเนิดเกิดก่อ เติบโต เจริญรุ่งเรือง และเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา
สำหรับความเป็นมาของย่านชุมชนเมืองเก่าปัตตานีนั้นมีข้อมูลระบุว่า เริ่มที่นี่ก่อตั้งเป็นชุมชนชาวจีนมาตั้งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา (ประวัติของชุมชนมีความเกี่ยวกันกับการสร้างศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว)
ความที่อยู่ติดกับแม่น้ำปัตตานี ทำให้ชุมชนแห่งนี้ค่อย ๆ เติบโตขึ้นตามลำดับกลายเป็นเมืองท่าสำคัญริมแม่น้ำปัตตานี ที่มีเรือ(ขึ้น-ล่อง) ทั้ง จาก จีน สิงคโปร์ ชวา อยุธยา พระนคร เดินทางมาขนถ่ายสินค้าที่นี่
ในสมัยรัชกาลที่ 3 ชุมชนเมืองเก่าปัตตานีมีความเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น มีการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมจีนขึ้นมาจำนวนหลายหลัง ซึ่งยังคงความสวยงามคลาสสิกเป็นมรดกแห่งชุมชนตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้
ขณะที่สถาปัตยกรรมสมัย ร.5 ที่โดดเด่นไปด้วยเทคนิคของตะวันตกก็เป็นอีกหนึ่งยุคอันโดดเด่นของย่านแห่งนี้ เนื่องจากเป็นยุคที่ชุมชนแห่งนี้เติบโตอย่างมาก มีคนเข้ามาอยู่ในชุมชนเพิ่มมากขึ้น
นอกจากจะเป็นเมืองท่าสำคัญแล้ว ในอดีตที่นี่ยังเป็นย่านการค้าสำคัญ และย่านตลาดยุคแรก ๆ ของปัตตานี จึงเกิดเป็นชุมชนหัวตลาดและมีการสร้างวัดหัวตลาดขึ้นที่บริเวณย่านเมืองเก่าแห่งนี้ รวมถึงย่านนี้ยังเป็นที่ตั้งของ“ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญแห่งดินแดนด้ามขวาน
อิทธิพลจากการเป็นเมืองท่าสำคัญ นอกจากจะทำให้ย่านชุมชนหัวตลาดแห่งเมืองเก่าปัตตานีมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ ๆ ในปัตตานี อย่างเช่น มีระบบการปั่นไฟแบบอังกฤษที่ริเริ่มโดยขุนธำรงพันธุ์ภักดี มีทีวีเครื่องแรกของจังหวัดที่เด็ก ๆ มานั่งรอต่อคิวดู มีโรงภาพยนตร์ที่สร้างความบันเทิงอย่างไม่หลับใหล
ที่สำคัญคือที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวไทยพุทธ ไทยมุสลิม และชาวไทยเสื้อสายจีน อย่างผสมกลมกลืนมายาวนานนับร้อยปี สมดังกับฉายา “ปัตตานี เมืองงาม 3 วัฒนธรรม”
ชุมชนเมืองเก่าปัตตานีดำรงความเจริญรุ่งเรืองเรื่อยมา จนกระทั่งหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชุมชนเมืองใหญ่ต่างพากันขยายตัว การขนส่งทางน้ำลดความสำคัญลง(มาก) ถนนเข้ามามีความสำคัญแทนที่
ขณะที่ผู้คนจำนวนมากต่างออกนอกพื้นที่ทั้งไปศึกษาหาความรู้และสร้างเนื้อสร้างตัว ชุมชนเมืองเก่าปัตตานีจึงค่อย ๆ ซบเซาลงไปเรื่อย ๆ ทำให้บ้านหลายหลังถูกทิ้งร้าง จนมีคนซื้อไปทำบ้าน(รัง)นกแทน
เท่านั้นยังไม่พอ ผลจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีความรุนแรงมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึงปัจจุบัน ก็ซัดซ้ำให้ชุมชนเมืองเก่าปัตตานียิ่งซบเซา(ลง)มากยิ่งขึ้นไปอีก
รู้จักอารมย์ดี
แม้ชุมชนเมืองเก่าปัตตานีจะผ่านยุคอันรุ่งโรจน์มาสู่ยุคถดถอยในปัจจุบัน แต่ ที่นี่ “ยังมีลมหายใจ” รวมถึงมีคนส่วนหนึ่งพยายามที่จะปลุกชีวิตย่านเมืองเก่าปัตตานีขึ้นมาอีกครั้ง
กระทั่งเมื่อราว ๆ 2 ปีที่แล้ว ได้มีการจัดงานรื้อฟื้น“ย่านตลาดเก่า”หรือ“กือดาจีนอ”ขึ้นที่ชุมชนเมืองเก่าปัตตานี(กือดา แปลว่าตลาด, จีนอ หมายถึงจีน) ซึ่งเกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของคนในหลายภาคส่วน
หลังจากนั้นมาในวันนี้ ความพยายามในการปลุกชีวิตเมืองเก่าปัตตานีก็ได้ถูกต่อยอด เดินหน้ามาสู่โครงการ“อารมย์ดี” ที่เกิดจากความตั้งใจอันแน่วแน่ของคน(เล็ก ๆ)กลุ่มหนึ่ง นำโดยกลุ่ม“มลายู ลีฟวิ่ง”ที่ต้องการปลุกชีวิตย่านเมืองเก่าปัตตานี จากที่เคยเงียบเหงาซบเซาให้กลับมาคึกคักมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
มลายู ลีฟวิ่ง(Melayu Living) เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่เป็นสถาปนิกและคนทำงานด้านศิลปะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มารวมตัวกันเพื่อสร้างความเคลื่อนไหวอย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวทาง ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยว ฯลฯ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน การร่วมมือของคนในพื้นที่ อันนำไปสู่การรับรู้เพื่อเปลี่ยนมุมมองเปลี่ยนวิถีคิดของคนภายนอกเสียใหม่ว่า
...ในสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้นั้น มันยังมีแง่งาม มีเรื่องราวดี ๆ ปรากฏให้คนนอกที่มีโอกาสมาสัมผัสได้ชุ่มชื่นชูใจกัน...
สำหรับ“อารมย์ดี”เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ทางกลุ่มมลายู ลีฟวิ่ง และพันธมิตร ได้ร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้น โดยมีทาง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)” มาร่วมส่งเสริมประชาสัมพันธ์ด้วยอีกแรง
อารมย์ดี(อา-รมย์-ดี) เป็นคำเฉพาะ ที่เกิดจากการนำคำประกอบของถนนสามสายในย่านเมืองเก่าปัตตานี อันได้แก่ “อา” มาจากถนน“อาเนาะรู”, “รมย์” มาจากถนน“ปัตตานีภิรมย์” และ“ดี” มาจากถนน“ฤาดี” มาร้อยเรียงเชื่อมโยงกันเป็นชื่อ“อารมย์ดี” ที่เมื่อผมฟังแล้วพลอยให้เกิดความรู้สึกอารมณ์ดีตามไปด้วย
นอกจากถนนทั้งสามสายอารมย์ดีแล้วก็ยังมีถนนนาเกลือและถนนมายอ เป็นเส้นทางเชื่อมโยงในพื้นที่เมืองเก่าปัตตานี ซึ่งทางโครงการอารมย์ดีเขาได้เชิญชวนให้ผู้สนใจมาสัมผัสกับชุมชนเมืองเก่าปัตตานีกันอย่างลึกซึ้งผ่านการ “เดิน” (Walking Tour) หรือ “เดินอารมย์ดี”ที่เป็นหนึ่งในกิจกรรมท่องเที่ยวเรียนรู้ในปัตตานีที่น่าสนใจไม่น้อย
ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
สำหรับเส้นทางเดินอารมย์ดีสัมผัสวิถีชุมชนเมืองเก่าปัตตานีนั้น เริ่มตั้งต้นกันที่ “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” หรือ “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” บนช่วงกลางถนนอาเนาะรู
ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว อยู่คู่กับชุมชนเมืองเก่าปัตตานีมายาวนานนับร้อยปี เดิมที่นี่คือ“ศาลเจ้าโจวซือกง” เนื่องจากมีองค์“โจวซือกง”(พระหมอเชงจุ้ยโจวซือกง) เทพเจ้าแห่งการรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นประธานประจำศาลเจ้า
ต่อมาได้มีการอัญเชิญรูปแกะสลักองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งเดิมอยู่ในศาลเจ้าใกล้ ๆ กับ“สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว”(ที่บ้านกรือเซะ ต.ตันยงลุโละ อ.เมือง จ.ปัตตานี)มาประทับที่ศาลเจ้าแห่งนี้ จึงมีการเรียกขานศาลเจ้าแห่งนี้ใหม่ว่า “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” ที่หมายถึง ศาลเจ้าแห่งความเมตตาและศักดิ์สิทธิ์ แต่คนส่วนใหญ่กลับนิยมเรียกศาลแห่งนี้ว่า“ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว”ติดปากมาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวนั้น มีความเชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดในปัตตานี ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตา โชคลาภ ค้าขาย ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจและศูนย์รวมศรัทธาของชาวไทยเชื้อสายจีนในปัตตานี ในต่างจังหวัด และในต่างประเทศ
เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เป็นผู้ที่มีความกตัญญูต่อมารดา ซื่อสัตย์ และรักษาในคำมั่นสัญญาเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดยอมฆ่าตัวตาย เพราะไม่อาจรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับมารดาว่าจะพาพี่ชายคือ“ลิ้มโต๊ะเคี่ยม”กลับบ้านได้ ทำให้ชาวจีนในยุคนั้นซาบซึ้งในคุณธรรมของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นอย่างยิ่ง
ใครที่อยากรู้เรื่องราวของเทพโจวซือกง และประวัติความเป็นของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวอย่างละเอียด สามารถเดิน(ไม่กี่ก้าว)ไปทัศนากันได้ที่ “หอนิทรรศน์สานอารยธรรม จังหวัดปัตตานี” หรือ “พิพิธภัณฑ์เจ้าแม่ลิ้มหอเหนี่ยว” ที่ตั้งอยู่ติดกับศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
หอนิทรรศน์สานอารยธรรมฯ เป็นอาคารสถาปัตยกรรมแบบจีน ด้านหน้าโดดเด่นไปด้วยประติมากรรม 18 อรหันต์จากเมืองจีนที่ช่างแกะสลักได้อย่างมีชีวิตชีวา
ส่วนภายในมีการแบ่งออกเป็น 9 โซนหลัก จัดแสดงเรื่องราวน่าสนใจต่าง ๆได้แก่ ส่วนจัดแสดงประวัติปัตตานี และชุมชนจีน(จุดเปลี่ยนแห่งยุคสมัย), เรื่องราวประวัติพระหมอเชงจุ้ยโจวซือกง, เรื่องราวการเดินทางข้ามแผ่นดิน, เรื่องราวประวัติเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว, ส่วนจัดแสดงเกี้ยว และงานพิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว, ส่วนจัดแสดงมัลติมีเดีย 1 หรือห้องบรรยาย, ห้องคนรักปัตตานี, ห้องรำลึกมหาราชา และ ห้องตลาดจีนเมืองปัตตานี
หอนิทรรศน์สานอารยธรรมฯ ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีการจัดแสดงที่ดีและน่าสนใจมากอีกแห่งหนึ่ง หากใครที่มาสักการะองค์เจ้าลิ้มกอเหนี่ยวแล้ว ก็ไม่ควรพลาดการเข้าไปเที่ยวชมในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วยประการทั้งปวง
เดินอารมย์ดี
หลังสักการะองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว องค์เทพโจวซือกง และเทพองค์อื่น ๆ ที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเสริมสิริมงคล และไปชมสิ่งน่าสนใจใน หอนิทรรศน์สานอารยธรรมฯแล้ว
ต่อจากนี้ก็ได้เวลาออกเดินอารมย์ดีจากศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว สัมผัสกับบรรยากาศของเมืองเก่าปัตตานี(ในยามเย็น) ไปตามถนน(3)สายอารมย์ดี คืออาเนาะรู-ปัตตานีภิรมย์-ฤาดี และเชื่อมโยงกับถนนนาเกลือ ถนนมายอ ซึ่งในระหว่างทางจะได้สัมผัสกับบรรยากาศของย่านเมืองเก่าปัตตานีที่มีสิ่งน่าสนใจให้ชมกันหลากหลาย อาทิ
-“บ้านกงสี”(บ้านเลขที่ 27 ) อาคารเก่าแก่สมัย ร.3 เป็นสถาปัตยกรรมจีนชั้นเดียว ด้านหน้าทาสีฟ้าอ่อน ตัวบ้านก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้องดินเผาโค้งท้องช้าง ภายในบ้านโดดเด่นไปด้วยขื่อไม้สีแดงขนาดใหญ่ วางพาดขวาง ปัจจุบันบ้านหลังนี้จัดเป็นห้องสำหรับประดิษฐานองค์เทพต่างๆ
-“บ้าน 300 ปี” เป็นบ้านของคุณสุพิศ ดาราพันธ์(ทายาทรุ่นที่ 4) ถือเป็นบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในย่านนี้มีอายุราว 300 ปี เป็นบ้านชั้นเดียว สถาปัตยกรรมแบบจีน(ถอดแบบการก่อสร้างมาจากจีน) มีโครงหลังคาขนาดใหญ่ ด้านในมีพื้นที่ส่วนหน้า ส่วนกลาง และส่วนหลัง ตามพื้นที่กลางใช้สอยแบบจีน
-“บ้านตึกขาว” เดิมเป็นบ้านของคุณพระจีนคณานุรักษ์(ตันจูล้าย) ก่อสร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 2426 รัชกาลที่ 5 เคยแวะมาประทับ เมื่อคราวเสด็จประพาสตลาดจีนและศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
-“ร้านโรงเตี๊ยม อาเนาะรู” เดิมเป็นบ้านภรรยาน้อยของหลวงสุนทรสิทธิโลหะ(ตันจูเบ้ง) ในอดีตเคยถูกทำเป็นป้อมยามและเรือนรับรองสำหรับผู้ที่มาหาหลวงสุนทรฯ ส่วนปัจจุบันถูกปรับเปลี่ยนเป็นร้านโรงเตี๊ยม อาเนาะรู ขายชา กาแฟ และติ่มซำยามเย็น
- “บ้านเลขที่ 1” เป็นบ้านทรงจีน 2 ชั้น หลังงามตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนอาเนาะรู บ้านเลขที่ 1 ไม่ใช่บ้านหลังแรกของย่านเมืองเก่า แต่เป็นบ้านที่มีเลขที่เป็นลำดับแรกของที่นี่หลังมีระบบจัดทำทะเบียนบ้าน
บ้านหลังนี้มีกำแพงรอบบริเวณบ้าน มีสวนอยู่หลังบ้าน พื้นบ้านสร้างยกสูงจากถนน ผนังบ้านมีความหนามาก สร้างชนิดที่เรียกว่า ทึบ ตัน มั่นคง
ส่วนหลังคาเป็นหลังคาจั่ว 3 แถว บริเวณหน้าจั่วประดับด้วยงานปูนปั้นอันเป็นเอกลักษณ์ 3 รูปแบบ ได้แก่ สิงห์ พระจีนฯ และดาบไขว้ ตามความเชื่อในเรื่องความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ที่หัวเสาด้านบนยังประดับลวดลายปูนปั้นศิลปะจีนอย่างสวยงาม
-“บ้านรังนก” ปัจจุบันมีอยู่หลายหลังในย่านเมืองเก่า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของชุมชนแห่งนี้ ที่ในยุคหนึ่งบ้านเรือนบางส่วนถูกทิ้งร้าง ก็ได้มีคนมาซื้อบ้านในย่านนี้ทำบ้านนก สำหรับบ้านรังนกที่เด่นมาก ๆ ก็คือ บ้านรังนกที่อยู่ติดกับบ้านเลขที่ 1 ซึ่งถือเป็นบ้านรังนกหลังแรกที่มีนกนางแอ่นเข้ามาอาศัยทำรัง จนเจ้าของบ้านต้องยกบ้านชั้นบนให้เป็นที่อยู่อาศัยของนก ส่วนคนอาศัยอยู่ชั้นล่าง
-“บ้านขุนพิทักษ์รายา” ที่วันนี้กำลังทำการปรับปรุงบูรณะให้มีสภาพใกล้เคียงกับอดีตเมื่อ ราว 100 ปีที่แล้ว เพื่อร่วมบอกเล่าประวัติความเป็นมาของประวัติชุมชน
นอกจากบ้านเรือนเด่น ๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในย่านเมืองเก่าปัตตานี ยังมีสิ่งชวนชมอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มตึกแถวสไตล์ชิโนโปรตุกีสสีสันสดใส,กลุ่มอาคารเรือนไม้ 2 ชั้นอันเรียบง่ายแต่ดูทรงเสน่ห์, อาคารธรรมศาลาที่เคยปรับปรุงบริเวณบ้านให้เป็นโรงธรรม, โรงยาฝิ่นแบบถูกกฎหมาย ที่สร้างขึ้นเพื่อความผ่อยคลายอารมณ์และการพักผ่อนอย่างเสรี
และ “อินตออาฟ คาเฟ่ แอนด์ แกลเลอรี่”(In T AF Cafe' & Gallery) ร้านกาแฟร่วมสมัยของกลุ่ม มลายู ลีฟวิ่ง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปัตตานีที่นอกจากจะเป็นร้านกาแฟบรรยากาศดี ตกแต่งกิ๊กเก๋แล้ว ยังเป็นแกลเลอรี่และพื้นที่แลกเปลี่ยนทางศิลปวัฒนธรรม
การก่อกำเนิดของร้านกาแฟและแกลเลอรี่ร้านนี้ เป็นส่วนสำคัญในการฟื้นชีวิตเมืองเก่าปัตตานีขึ้นมา เพราะเมื่อมีร้านกาแฟ ก็มีคนมานั่งพบปะพูดคุยกัน ชีวิตชีวาก็ตามมา ร้านรวงอื่นๆก็เกิดตามมา
รวมถึงโครงการอารมย์ดีก็เกิดขึ้นตามมาช่วยปลุกชีวิตในย่านเมืองเก่าปัตตานีให้มีชีวิตชีวามีความคึกคักมากขึ้น ที่สำคัญคือการมีกิจกรรมต่างๆ ทำให้ความระแวงจากเหตุการณ์ความสงบของชาวชุมชนลดลงไปมาก หลายบ้านเริ่มทำการปรับปรุงบ้าน ทาสีใหม่ มีการเปิดบ้านให้นักท่องเที่ยวชมภายใน(กรณีที่ติดต่อมาเป็นหมู่คณะ) ชุมชนกลับมาเข้มแข็งขึ้น ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย
สำหรับผมการได้มาเดิน“อารมย์ดี”เที่ยวย่านเมืองเก่าปัตตานีนั้น มันก็ทำให้เราพลอยรู้สึก “อารมณ์ดี”ตามไปด้วย
...................................................................................................
สอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดปัตตานีเชื่อมโยงกับกิจกรรมอารมย์ดี รวมถึง ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางได้ที่ ททท.สำนักงานนราธิวาส(รับผิดชอบพื้นที่ นราธิวาส,ปัตตานี, ยะลา) โทร.0 7352 2411 , 0 7354 2345
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager