xs
xsm
sm
md
lg

“เที่ยวล่องนาวี สดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” ชวนสัมผัสประวัติศาสตร์กลางกรุง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ชมความงามพระปรางค์วัดอรุณริมเจ้าพระยาขณะล่องเรือ
แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหนึ่งในไฮไลท์ที่ท่องเที่ยวหลักของกรุงเทพฯ เพราะเป็นแม่น้ำใหญ่ใจกลางเมืองที่เชื่อมต่อสถานที่สำคัญต่างๆเข้าด้วยกัน ทั้งสถานที่ราชการ พระราชวังเดิม วัด ตลาด โรงเรียน แหล่งช้อปปิ้ง และอื่นๆอีกมากมาย ถ้ามาล่องเรือที่แม่น้ำเจ้าพระยาคงตัดสินใจเลือกที่เที่ยวไม่ถูกเลยทีเดียว เพราะมีช้อยส์ให้เลือกเพียบ แต่ในบรรดาตัวเลือกก็มีหนึ่งเส้นทางล่องเจ้าพระยาที่น่าสนใจ คือ “เที่ยวล่องนาวี สดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช”

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยภูมิภาคกาคกลาง ร่วมกับกองทัพเรือได้จัดกิจกรรมล่องเรือเปิดเส้นทางท่องเที่ยวริมแม่น้ำเจ้าพระยาและเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ “เที่ยวล่องนาวี สดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” เนื่องในโอกาสครบรอบ 250 ปี กรุงธนบุรี ซึ่งเส้นทางการล่องเรือในครั้งนี้ เริ่มจากลงเรือ ณ ท่าเรือ ท่าราชวรดิษฐ์ เดินทางด้วยเรือปรับอากาศจากกรมการขนส่งทหารเรือ ล่องไปตามแม่น้ำชมวิถีชีวิตและบ้านเรือนตามลำน้ำเจ้าพระยา

เส้นทางเรือล่องผ่านท่าเรือยอดพิมาน หรือบริเวณปากตลองตลาดที่ในอดีตเคยเป็นตลาดขายปลา แต่ภายหลังย้ายไปอยู่ที่สาทรในภายหลัง ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวและตลาดผัก-ผลไม้ ดอกไม้ จากนั้นลอดใต้สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งเป็นสะพานแรกที่รถยนต์สามารถข้ามได้ รวมถึงมีระบบยกสะพานให้เรือลอดได้ ถัดไปจะผ่านศาลเจ้ากวนอู และมีมัสยิดตึกแดง เดิมเป็นที่ทำการของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ หรือชื่อเดิม ทัต บุนนาค แล้วให้ชาวอินเดียมาสร้างมัสยิด ส่วนศาลเจ้ากวนอูนี้ถูกเล่ากันว่า สมเด็จพระเจ้าตากมหาราชมักจะเสด็จทางเรือมาสักการะศาลเจ้ากวนอูก่อนออกรบทุกครั้ง
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชภายในพระราชวังเดิม
ต่อมาเรือแล่นผ่าน "พระราชวังเดิม" ในเขตกองทัพเรือ ซึ่งอดีตเป็นพระราชวังของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่เจ้าพระยาหรือฝั่งธนบุรี พื้นที่พระราชวังนั้นครอบคลุมพื้นที่ของวัดแจ้งและวัดท้ายตลาดเข้าไปด้วย ภายหลัง เมื่อราชวงศ์จักรีตั้งขึ้นจึงมีการกำหนดขอบเขตให้เล็กลง โดยสองวัดข้างต้นถือว่าอยู่นอกวัง แต่ก็ไม่ได้ทำให้หมดความสำคัญลงแต่อย่างใด เนื่องจากที่นี่ถูกใช้เป็นวังเจ้านายแทน โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงให้คนสำคัญมาประทับ แล้วก็ทำสืบต่อกันมาหลายสมัย จนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาพระราชวังเดิมได้กลายเป็นโรงเรียนนายเรือ แต่เมื่อตัวโรงเรียนย้ายไปอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ปัจจุบันที่นี่จึงกลายเป็นกองบัญชาการกองทัพเรือ ส่วนของโบราณสถานตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เหลือเพียงแค่ตัวท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่ว่าราชการเท่านั้น ซึ่งถ้าหากต้องการเข้าชมที่นี่จะต้องทำการนัดหมายล่วงหน้าเท่านั้น โดยติดต่อไปทางมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม ยกเว้นวันที่ 28 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่จะเปิดให้เข้าชมได้เลย
พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินที่พระราชวังเดิม
ป้อมวิไชยประสิทธิ์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ภายในพระราชวังเดิมเป็นที่ตั้งของ "ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ยิ่งช่วงสอบและเปลี่ยนตำแหน่ง เหล่าข้าราชการทหารเรือจะมาสักการะเป็นประจำ แม้จะมองจากบนเรือเห็นว่าด้านหน้าก็มีประดิษฐานพระบรมรูปของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แต่เป็นของกองทัพเรือสร้างขึ้นมาภายหลัง คนละส่วนกับภายในศาลเดิมด้านใน
ทศกัณฐ์และสหัสเดชะ ทวารบาลวัดอรุณฯ
จากนั้นเรือจอดลงที่ท่าเตียน แวะเข้าไปยัง “วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร” เป็นวัดเก่าที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยหันหน้าเข้าหาแม่น้ำ เนื่องจากในอดีตเป็นจะสัญจรทางเรือเป็นหลัก เมื่อความเจริญเข้ามาก็มีการตัดถนนด้านหลัง แต่ยังคงด้านหน้าวัดไว้ตามเดิม ซึ่งหากมองจากบนเรือไกลๆ ด้วยความคดโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยาจะทำให้เห็นเหมือนพระปรางค์ของวัดตั้งอยู่ทางฝั่งพระนคร ทั้งที่ในความจริงแล้วตั้งอยู่ที่ฝั่งธนบุรี
“วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร” เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยาและมีการบูรณะให้ยังคงสวยงามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งวัดนี้มีชื่อเรียกถึง 4 ชื่อ เดิมมีชื่อแรกว่า “วัดมะกอกนอก” การตั้งชื่อแรกนี้เป็นการตั้งตามพื้นที่เพื่อให้รู้ว่าวัดนี้ตั้งอยู่ที่ตำบลไหน ต่อมาในสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้เปลี่ยนเป็นชื่อที่ 2 คือ “วัดแจ้ง” ตั้งตามเวลาที่พระองค์เสด็จมาถึงท่าน้ำในเวลาเช้า และวัดนี้ก็ได้รับการสถาปนาเป็นวัดในพระราชวังเพราะตั้งอยู่ใกล้กับเขตพระราชฐาน หรือ พระราชวังเดิมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จนกระทั่งมีการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ฝั่งพระนครแล้วมีการสร้างวัดพระแก้วขึ้น “วัดแจ้ง” จึงไม่ใช่วัดในเขตพระราชฐานอีก และเมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้เสด็จมาประทับที่พระราชวังเดิม จึงได้ทรงปฏิสังขรณ์ “วัดแจ้ง” ใหม่ และพระราชฐานนามให้ว่า “วัดอรุณราชธาราม” นับเป็นชื่อที่ 3 ก่อนที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดอรุณราชวรราม” ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบัน
พระปรางค์วัดอรุณราชวรรามราชวรมหาวิหาร
“วัดอรุณราชวรรามราชวรมหาวิหาร” ถือเป็นวัดที่เป็นที่นิยมท่องเที่ยวทั้งในกลุ่มชาวไทยและต่างชาติเป็นอย่างมาก ไฮไลท์สำคัญคือส่วนที่เป็น “พระปรางค์ 9 ยอด” ที่จะทำให้คน “อึ้ง” ในความใหญ่โตซึ่งมอกจากไกลๆมักจะคิดว่าคงขนาดไม่ใหญ่มาก แล้ว “ทึ่ง” จากความสวยงามของพระปรางค์ที่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบลายดอกไม้จากจีน เปลือกหอย ร่วมกับถ้วยชามลายไทย และ “เสียว” เมื่อได้เดินขึ้นพระปรางค์ ที่มีความสูงจากฐานจนถึงยอดคือ 1 เส้น 13 วา 1 ศอก 1 คืบ 1 นิ้ว หรือวัดเป็นเมตรได้ 68 เมตร โดยตามความเชื่อแล้ว พระปรางค์หลักเป็นเหมือนภูเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นดั่งแกนกลางของโลก ส่วนพระปรางค์ทิศที่มีอยู่ทิศโดยรอบคือทวีปทั้ง 4 ที่ล้อมภูเขาพระสุเมรุอยู่ พระปรางค์ที่เป็นภูเขาแกนกลางจึงถูกออกแบบให้ดูเหมือนมีเทพาอารักษ์คอยปกปักษ์รักษา มีที่เป็นยักษ์บ้าง หนุมานบ้าง เทวดาบ้างคอยแบกไว้ ถ้าภูเขาแกนกลางนี้พังเสียหายลงมาโลกก็จะแตกนั่นเอง
อีกหนึ่งความน่าสนใจของ “พระปรางค์ 9 ยอดวัดอรุณฯ” คือ พระปรางค์นี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ชุ่มน้ำ เมื่อถึงฤดูฝน น้ำจากเจ้าพระยาหนุนขึ้นมา พื้นที่โดยรอบจะเต็มไปด้วยน้ำทั้งหมด แต่พระปรางค์ไม่เอียง ไม่ทรุด จากภูมิปัญญาคนโบราณที่แม้จะไม่มีเสาเข็ม แต่ใช้ไม้สักทองมาวางเป็นแพรับน้ำหนักใต้พระปรางค์ ดังนั้นไม่ว่าดินจะอ่อน-แข็ง หรือจะมีน้ำขึ้น-ลง ตัวพระปรางค์จะรักษาสมดุลตัวเองทำให้ไม่ทรุด ไม่เอียงนั่นเอง
สักการะสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชภายในโบสถ์น้อยวัดอรุณฯ
ลอดพระแท่นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ชมความสวยงามภายในวัดแล้วต้องเข้าไปสักการะสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งที่นี่ถือเป็นสถานที่สักการะที่พิเศษกว่าที่อื่น เพราะยังมี “พระแท่นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี” ซึ่งเป็นพระแท่นทำจากไม้สักทองขนาดใหญ่ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเคยใช้เป็นที่เจริญพระกรรมฐาน จึงมีความเชื่อว่า ถ้าใครได้ “ลอดพระแท่น” จะทำให้ “รอดพ้นอุปสรรคและภัยต่างๆ” ดังนั้นจึงมีผู้คนไม่น้อยตั้งใจมาที่นี่ มาสักการะแล้วตั้งจิตอธิษฐานลอดพระแท่นเสริมมงคลแก่ชีวิต
กระโดดลงเรือแล้วเดินทางต่อไปยังวัดที่ 2 คือ “วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร” หรือ “วัดหลวงพ่อโต” ซึ่งเดิมเคยมีชื่อว่า “วัดบางว้าใหญ่” (หรือ บางหว้าใหญ่) และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้โปรดเกล้าฯให้ยกที่นี่ขึ้นเป็นพระอารามหลวง และให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชด้วย
เสียงระฆังน้อยใหญ่ดังไม่ขาดสายภายในวัด
บรรยากาศเมื่อก้าวเข้ามาในเขตวัด จะได้ยินเสียงระฆังน้อยใหญ่ดังไม่ขาดสายอยู่ตลอดเวลา เชื่อกันว่าถ้าใครได้ไปไหว้พระที่วัดระฆัง ก็จะมีชื่อเสียงขจรขจายเหมือนเสียงระฆังที่ดังกังวาลออกไป
หอไตรภายในวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
ตู้โบราณลายรดน้ำภายในหอไตร
จุดสำคัญที่วัดระฆังคือ “หอไตร” โดย “ไตร” หมายถึง 3 เป็นการเรียกตามรูปแบบการปลูกเรือน 3 หลังต่อกัน และอีกนัยหนึ่งของชื่อ “หอไตร” คือ ภายในเรือนนี้มีตู้โบราณลายรดน้ำ ซึ่งต้องใช้ช่างสิบหมู่เขียนอย่างประณีตเป็นเวลานาน ในตู้บรรจุคัมภีร์ใบลาน หรือ “พระไตรปิฎก” ไว้อยู่ ขณะเดินชมภายในหอไตรก็มีหลวงพ่ออธิบายให้ข้อมูลต่างๆและเล่าถึงคำพูดของคนโบราณที่พูดกันว่า “ช่างปั้นดินไม่มีหม้อใช้ เลี้ยงไก่ไม่มีเสียงขัน อยากไปสวรรค์ให้ไปแก้ผ้าซิ่นที่วัด” ซึ่งใจความหลักอยู่ในประโยคท้ายที่ว่า “ให้ไปแก้ผ้าซิ่นที่วัด” แต่ไม่ได้หมายถึง ให้ผู้หญิงไปถอดผ้านุ่ง เพราะผ้าซิ่นในที่นี้ หมายถึงผ้าซิ่นที่ใช้ห่อคัมภีร์ใบลานนี้ต่างหาก เมื่อแกะออกแล้วก็ให้อ่านคัมภีร์ที่เขียนเกี่ยวกับการกระทำที่ดีที่พึงปฏิบัติ จากนั้นก็นำไปใช้ในชีวิตประจำวันก็จะเกิดแต่สิ่งที่ดีแก่ตนเอง
ถัดมาด้านข้างไม่ไกลจะเป็นที่ตั้งของ “พระตำหนักแดง” อีกหนึ่งจุดสำคัญในวัดระฆังที่ผู้คนนิยมมาสักการะสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เนื่องจากที่นี่เป็นเรือนที่พระเจ้ากรุงธนบุรีเคยเสด็จมาเจริญพระกรรมฐานเมื่อในอดีต และในปัจจุบันที่นี่มีจัดวิปัสนากรรมฐานวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย แต่เดิมเรือนนี้ด้านล่างเป็นพื้นที่โล่ง หลายสิบปีที่ผ่านมาก็ถูกยกตัวเรือนขึ้นเป็นอาคารสองชั้น และในช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงการปรับปรุงอาคารให้เรียบร้อยแข็งแรงยิ่งขึ้นอีกครั้ง
บรรยากาศภายในแผนกเรือราชพิธี กองเรือเล็ก กรมการขนส่งทหารเรือ
หลังจากรับบุญเสริมสิริมงคลกันจนอิ่มอกอิ่มใจแล้วก็ไปต่อกับสถานที่ท่องเที่ยวในเขตพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ เริ่มจากที่แรกคือที่ “แผนกเรือราชพิธี กองเรือเล็ก กรมการขนส่งทหารเรือ” ซึ่งกองเรือเล็กนี้ มีหน้าที่ดูแลเรือส่วนประกอบในกระบวนเรือพระราชพิธีพยุหยาตราทางชลมารคทั้งหมด 38 ลำ ที่นี่จึงเป็นสถานที่เก็บเรือที่อยู่ระหว่างซ่อมแซมส่วนหนึ่ง และยังเป็นสถานที่สำหรับฝึกฝนกำลังพลกองทัพเรือ ทั้งคนเห่เรือ และฝีพายในงานพระราชพิธีพยุหยาตราทางชลมารค ซึ่งสามารถเดินเข้ามาชมได้ทุกวัน ปัจจุบันยังไม่มีการเก็บค่าเข้าชมแต่อย่างใด และถ้าหากได้ทำการติดต่อเจ้ากรมการขนส่งทหารเรือไว้ล่วงหน้าก่อนเข้าชม อาจมีการจัดสาธิตการเห่และพายเรือในงานพระราชพิธีให้ได้ชมกันสดๆเลยทีเดียว
สาธิตการเห่เรือพระราชพิธี
นาวาโท ณัฐวัฏ อร่ามเกลื้อ หัวหน้าแผนกเรือราชพิธี
นาวาโท ณัฐวัฏ อร่ามเกลื้อ หัวหน้าแผนกเรือราชพิธีและเป็นผู้เห่เรือในงานพระราชพิธีได้เล่าว่า “ที่นี่เริ่มฝึกฝีพายโดยการจำลองเรือบนบก เพื่อให้ครูฝึกจัดท่าทางที่ถูกต้องให้ ก่อนจะฝึกพายในน้ำ ให้ชินกับน้ำ หลังจากจากพายเรือและลากน้ำเป็นแล้ว จึงปลอดเชือกปล่อยออกไปข้างนอก ฝึกเรื่องการนำเรือต่อไป ซึ่งต้องใช้ศิลปะพอสมควร เพราะต้องทำให้เรือถึงตรงเวลาและอยู่ในหน้าริ้วขบวนที่จัดไว้ให้เท่ากันอย่างสวยงาม เมื่อต้องมาประกอบกันทั้งหมด 52 ลำ ในพระราชพิธี การเห่เรือจึงเป็นการให้สัญญาณให้สามารถพายพร้อมกันได้”
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเรือพระราชพิธี
ชมเรือพระที่นั่งอนันตนาคราชอย่างใกล้ชิดภายในพิพิธภัณฑ์
สัมผัสการเห่เรือกันพอหอมปากหอมคอแล้วก็เดินข้ามฝั่งไปในส่วนของ “พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเรือพระราชพิธี” เพื่อเข้าชมเรือพระราชพิธีของจริงที่ใช้ในพระราพิธีพยุหยาตราทางชลมารคกันต่อ ที่นี่สามารถซื้อตั๋วเข้าชมได้ทุกวัน เว้นวันปีใหม่ 31 ธันวาคม 1 มกราคม และวันสงกรานต์ 13-15 เมษายน ที่จะปิดทำการ ภายในพิพิธภัณฑ์จะได้ชมเรือพระราชพิธีจำนวน 8 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เรือกระบี่ปราบเมืองมาร เรือเอกชัยเหินหาว เรืออสุรวายุภักษ์ และเรือครุฑเหินเห็จ ทุกคนที่มาชมจะสัมผัสได้ถึงบารมีจากโคนเรือแต่ละลำที่สะสมมากว่าร้อยปี แม้ว่าในช่วงนี้เรือพระราชพิธีจะอยู่ในช่วงของการซ่อมแซม ทำให้ไม่สามารถชมความงดงามเมื่อเสร็จสมบูรณ์อย่างในงานพระราชพิธีได้ แต่ก็จะได้เห็นอีกมิติหนึ่งของความเป็นมา กว่าจะออกมาอลังกาลอย่างที่เคยเห็นได้ ต้องใช้ฝีมือและความประณีตของช่างเป็นอย่างมาก ยิ่งได้ฟังเรื่องเล่ากระบวนเรือจากเจ้าหน้าที่กองทัพเรือที่มีมาเล่าสู่กันฟังมากมาย ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของเรือพระที่นั่งแต่ละลำมากยิ่งขึ้น
พิพิธภัณฑ์สักทองภายในวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร
พระสยามเทวาธิราชองค์จำลองภายในพิพิธภัณฑ์สักทอง
เมื่อจุใจกับบรรยากาศในพิพิธภัณฑ์เรือพระราชพิธีแล้วก็มุ่งสู่จุดหมายสุดท้ายคือ “พิพิธภัณฑ์สักทอง” ที่วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นเรือนทรงปั้นหยาแบบประยุกต์ 2 ชั้น สร้างจากไม้สักทองทั้งหลัง เสาแต่ละต้นมีขนาด 2 คนโอบ ทั้งหมด 59 เสา และไม้สักเหล่านี้ก็มีอายุถึง 479 ปีแล้ว ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับไม้สัก การดูวงปีเพื่อนับอายุต้นไม้ และประวัติความเป็นมาของเรือนไม้สักทองหลังนี้ รวมถึงบนชั้น 2 ของพิพิธภัณฑ์ ยังมี “พระสยามเทวาธิราชองค์จำลอง” ให้สักการะ และ “หุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพระสังฆราช”ที่ทำจากไฟเบอร์กลาส ขนาดเท่าคนจริง ทั้ง 19 องค์ (องค์ที่ 20 ปัจจุบันเป็นรูปถ่ายยังไม่ได้ปั้นหุ่นขี้ผึ้งขึ้น) ในรัตนโกสินทร์
หุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
บรรยากาศการ “เที่ยวล่องนาวี สดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” นี้ เป็นการท่องเที่ยวสถานที่ริมฝั่งเจ้าพระยาที่มีความสำคัญทางใจสำหรับคนไทยหลายแห่ง ทั้งได้อิ่มบุญตามสถานที่สำคัญที่พระเจ้ากรุงธนบุรีเคยเสด็จ แถมยังได้ชื่นชมความยิ่งใหญ่ของเรือพระราชพิธีที่มีอายุกว่าร้อยปีอย่างใกล้ชิด เป็นการล่องแม่น้ำใหญ่ใจกลางเมือง สัมผัสความรุ่งเรืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ไทย
สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานครได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกรุงเทพฯ โทร.0 2276 2720-1  
ติดต่อเข้าชมพระราชวังเดิมได้ที่ https://www.facebook.com/wangdermpalace/
ติดต่อเจ้ากรมการขนส่งทหารเรือได้ที่ กรมการขนส่งทหารเรือ ถ.อิสรภาพ บางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700
ติดต่อพิพิธภัณฑ์สักทอง โทร. 0-2628 7956, 0-2628 9880-1, 08 9812 2295, 08 1555 2450
....................................................................................................

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager


กำลังโหลดความคิดเห็น