Facebook :Travel @ Manager

บึงกาฬ จังหวัดที่ 77 ของไทย แม้จะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลัก แต่จังหวัดนี้ก็มีเสน่ห์ในวิถีชีวิตของผู้คนอันเรียบง่าย สงบ มีธรรมชาติงดงามจากริมแม่น้ำโขง
โดยจุดไฮไลท์เมื่อมาท่องเที่ยวที่บึงกาฬ จะต้องไม่พลาดมาชมก็คือ “แก่งอาฮง” หรือจุดชม “สะดือแม่น้ำโขง” ณ วัดอาฮงศิลาวาส เขตอำเภอเมืองบึงกาฬห่างจากตัวจังหวัด 21 กิโลเมตร ถือว่าเป็นจุดที่แม่น้ำโขงมีความลึกที่สุด กระแสน้ำไหลเชี่ยวมากในฤดูน้ำหลากและมีกระแสน้ำไหลวนเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่ ในฤดูน้ำลด สามารถมองเห็นแก่งได้ในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคมของทุกปี ซึ่งจะมีกลุ่มหินที่ปรากฏบริเวณนี้

“วัดอาฮงศิลาวาส” ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านอาฮง หมู่ 3 ตำบลไคสี เขตอำเภอเมืองบึงกาฬ ตามประวัติกล่าวว่า ผู้สร้างวัดนี้คือหลวงพ่อลุน สมัยก่อนมีชื่อเรียกว่า วัดป่าเลไลย เมื่อหลวงพ่อมรณภาพ วัดจึงถูกทิ้งร้าง จนกระทั่งปี พ.ศ.2517 ท่านเจ้าคุณนิเทศศาสนคุณ (หลวงพ่อมหาสมานสิริปัญโญ) ผ่านมาพบวัดที่มีสภาพสงบร่มรื่น อยู่ติดริมโขงนี้ จึงได้ทำการปฏิสังขรณ์วัด ด้วยความร่วมแรงจากพระภิกษุสงฆ์ และจากญาติโยม ให้เป็นวัดที่สมบูรณ์สวยงาม และตั้งชื่อวัดใหม่ว่า “วัดอาฮงศิลาวาส” ตามชื่อแก่งอาฮง
ภายในประดิษฐานพระพุทธคุวานันท์ศาสดา พระพุทธรูปขนาดหน้าตักกว้าง 4 เมตร สูง 7 เมตร น้ำหนัก 20 ตัน หล่อด้วยทองเหลือง ลักษณะเดียวกับพระพุทธชินราชที่งดงามยิ่ง นอกจากนี้ยังมีสวนหินที่บ่งบอกลักษณะกายภาพของพื้นที่ริมโขงเมื่อล้านปีก่อน โดยมีการปรับทัศนียภาพเป็นจุดเดินเล่นที่สวยงามแปลกตา

เมื่อชมไฮไลท์ของบึงกาฬแล้ว จากนั้นมุ่งหน้าไปยัง “หมู่บ้านหอคำ” ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นชุมชนต้นแบบ เพื่อการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ที่มีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประมงพื้นบ้าน หัตถกรรมพื้นถิ่น ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนสัมผัสเสน่ห์และวิถีชีวิตแท้ๆ ของชุมชนริมโขง

นางสาวนันทนา หวังธงชัยเจริญ พัฒนาการจังหวัดบึงกาฬ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้กรมพัฒนาชุมชนสานต่อโครงการท่องเที่ยวชุมชนขึ้น ซึ่งในบึงกาฬ มีโครงการโอทอปนววิถี โดยทั้ง 37 หมู่บ้าน และมีหมู่บ้านท่องเที่ยวอีก 5 หมู่บ้าน ซึ่งทั้งหมดเราใช้หลักโดยการนำเสน่ห์ของชุมชนเพื่อให้เป็นที่น่าท่องเที่ยวโดยมีการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของชุมชน พัฒนาศักยภาพของตัวเองในการรองรับนักท่องเที่ยว สำหรับเสน่ห์ของหมู่บ้านหอคำ เป็นหมู่บ้านที่มีความเข้มแข็ง ผู้ใหญ่บ้านมีศักยภาพ หมู่บ้านแห่งนี้มีประวัติความเป็นมารวมถึงวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

ที่หมู่บ้านหอคำจะได้พบงานหัตถกรรมจักสาน ที่มีชื่อเสียงของบ้านหอคำ และสินค้าจากหมู่บ้านข้างเคียง เพื่อการท่องเที่ยวแบบเชื่อมโยง อาทิ ปลาร้าบองทรงเครื่อง จากบ้านนาโซ่ / ผ้าหมักโคลนดาราพันปีจากบ้านสะง้อ / กลุ่มผ้าพื้นถิ่น จากบ้านโคกสะอาด เป็นต้น
กิจกรรมของหมู่บ้านสำหรับนักท่องเที่ยวมีมากมาย อาทิ ร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญ ปั่นจักรยานชมทิวทัศน์ริมโขง ล่องเรือในแม่น้ำโขง พักโฮมสเตย์ ลิ้มลองอาหารพื้นบ้าน โดยเฉพาะปลาโจก ที่นำมาทำเมนูสารพัด เลือกซื้อสินค้าโอทอป ลูกหยีกวน และชมกรรมวิธีการผลิตและสักการะวัดสำคัญที่อุดมด้วยความเชื่อของผู้คนในชุมชน
หลังจากรู้จักความเป็นมาของหมู่บ้านหอคำแล้ว จากนั้นไปชมวัดวาอารามที่ชาวบ้านที่นี่มีความเลื่อมใสศรัทธากันต่อ โดยมาที่ “วัดสุวรรณราชดาราม” หรือ “วัดหอคำ” เป็นวัดที่มีความสำคัญกับหมู่บ้านมาอย่างยาวนาน เริ่มแรกได้สร้างโบสถ์ขึ้นมาแต่ไม่มีใบเสมาอยู่ในวัด ต่อมาได้มีการปรับหน้าดินในวัดและไปพบก้อนหินขนาดใหญ่ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าไม่ใช่ก้อนหิน แต่คือก้อนคำสัมฤทธิ์หนัก 24 กิโลกรัม ชาวบ้านจึงกลัวว่าจะมีโจรมาขโมยจึงได้ร่วมกันหางบประมาณเพื่อมาสร้างหอคำขึ้นมา

ไม่ไกลกันเท่าไรนักจะพบกับ “วัดหอคำเหนือ” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “วัดเหนือ” ความเป็นมาของวัดนี้เริ่มขึ้นจากเจ้าอาวาสวัดเหนือไปได้ไม้ตะเคียนที่แช่อยู่ในน้ำโขง เมื่อได้นำไม้ตะเคียนที่มีความเก่าแก่ขึ้นมาแล้ว จึงได้ชักชวนชาวบ้านนำมาแกะสลักเพื่อสร้างเป็นพระพุทธรูปเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจให้กับคนในชุมชน

จากนั้นเดินทางไปยัง “วัดป่าเทพวิมุต” ภายในวัดแห่งนี้มีพระพุทธศากยมุนีศรีรัตนากร เป็นพระพุทธรูปปางลีลา มีความสูง 21.99 เมตร ซึ่งว่าเป็นพระพุทธรูปปางลีลาที่มีความสูงที่สุดในบึงกาฬ ถือเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เป็นแลนด์มาร์กของหมู่บ้านหอคำ
นอกจากในหมู่บ้านหอคำจะมีศาสนสถานที่เป็นจุดเด่นของหมู่บ้านแล้ว ยังวิวทิวทัศน์ริมแม่น้ำโขงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดที่สวยที่สุดของจ.บึงกาฬ เป็นบรรยากาศของแนวเขาประเทศเพื่อนบ้าน รวมกับลำน้ำโขงที่ไหลผ่านสุดตา นอกจากนี้ในหมู่บ้านหอคำยังมีการจัดประเพณีแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดขึ้นในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี
นักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวที่หอคำสามารถทำกิจกรรมร่วมกับคนในชุมชนได้ เช่น การทำลูกหยียักษ์ การสานกระติบข้าว การทอผ้า การทำประมงพื้นบ้าน และพานักท่องเที่ยวล่องเรือชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำโขง ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร หลังจากที่นักท่องเที่ยวทำกิจกรรมมาทั้งวันแล้ว ในหมู่บ้านแห่งนี้มีบริการบริการให้แก่นักท่องเที่ยว พร้อมด้วยอาหารที่ขึ้นชื่อของที่นี่อีกด้วย

อีกหนึ่งความน่าสนใจเมื่อมาเที่ยวที่บึงกาฬแล้ว นักท่องเที่ยวจะนิยมมากราบไหว้ขอพร หลวงพ่อพระใหญ่ ที่ “วัดโพธาราม” ตั้งอยู่ที่บ้านท่าไคร้ อ.เมืองบึงกาฬ มีประวัติเล่าขานสืบต่อกันถึงคนเมืองยศ (ปัจจุบันคือจ.ยโสธร) ย้ายมาตั้งฐานบริเวณริมโขงเมื่อ 200 ปีก่อน จนมาถึงบริเวณบ้านท่าไคร้ ซึ่งรกเรื้อด้วยป่าทึบนานาพรรณ เมื่อชาวบ้านทำการหักร้างถางพงเพื่อขยายพื้นที่จึงได้พบพระพุทธรูปที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์พันรอบ ส่วนบริเวณรอบๆ มีลักษณะเป็นโบราณสถาน และยังพบซากเครื่องปั้นดินเผา โอ่งโบราณ โดยทำการบูรณะวัด ต่อพระเศียรที่หัก พร้อมสร้างแท่นประดิษฐานหลวงพ่อพระใหญ่ โดยไม่เคยเคลื่อนย้าย

หลังจากนั้นก็มีคนในชุมชนที่อยู่โดยรอบวัดมาสักการะขอพร เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมาโดยตลอด ในทุกปีจะมีการจัดงานสมโภชหลวงพ่อปีละ 2 ครั้ง เพื่อน้อมรำลึกถึงความเมตตาของท่าน ชาวบ้านจะทำบุญด้วยข้าวจี่พร้อมปราสาทผึ้งสองหลัง โดยภายในโบสถ์จะห้ามสตรีเข้า

นอกจากนี้ในบริเวณวัดยังจัดแสดงเรือกำปั่นเครื่องจักรไอน้ำโบราณ ซึ่งเป็นเรือสินค้าจากนครพนม ที่เดินเรือไปค้าขายที่สปป.ลาว และจมลงใต้แม่น้ำโขงกว่า 60 ปี

ส่วนแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติแห่งใหม่ของบึงกาฬ “หนองเลิง ทะเลบัวแดง” ตั้งอยู่ที่บ้านสันติสุข ต.ดอนหญ้านาง โดยในฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-มีนาคม หนองน้ำขนาด 3,000 ไร่ จะเต็มไปด้วยบัวหลวงสีชมพูบานสะพรั่ง กิจกรรมยอดนิยมคือการล่องเรือชมทัศนียภาพ และเหล่านกน้ำ ส่วนในฤดูร้อนสามารถมาเล่นน้ำ (สวมชูชีพ) และล่องแพปิกนิกชมวิวและกินอาหารพื้นถิ่นกันได้

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
บึงกาฬ จังหวัดที่ 77 ของไทย แม้จะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลัก แต่จังหวัดนี้ก็มีเสน่ห์ในวิถีชีวิตของผู้คนอันเรียบง่าย สงบ มีธรรมชาติงดงามจากริมแม่น้ำโขง
โดยจุดไฮไลท์เมื่อมาท่องเที่ยวที่บึงกาฬ จะต้องไม่พลาดมาชมก็คือ “แก่งอาฮง” หรือจุดชม “สะดือแม่น้ำโขง” ณ วัดอาฮงศิลาวาส เขตอำเภอเมืองบึงกาฬห่างจากตัวจังหวัด 21 กิโลเมตร ถือว่าเป็นจุดที่แม่น้ำโขงมีความลึกที่สุด กระแสน้ำไหลเชี่ยวมากในฤดูน้ำหลากและมีกระแสน้ำไหลวนเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่ ในฤดูน้ำลด สามารถมองเห็นแก่งได้ในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคมของทุกปี ซึ่งจะมีกลุ่มหินที่ปรากฏบริเวณนี้
“วัดอาฮงศิลาวาส” ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านอาฮง หมู่ 3 ตำบลไคสี เขตอำเภอเมืองบึงกาฬ ตามประวัติกล่าวว่า ผู้สร้างวัดนี้คือหลวงพ่อลุน สมัยก่อนมีชื่อเรียกว่า วัดป่าเลไลย เมื่อหลวงพ่อมรณภาพ วัดจึงถูกทิ้งร้าง จนกระทั่งปี พ.ศ.2517 ท่านเจ้าคุณนิเทศศาสนคุณ (หลวงพ่อมหาสมานสิริปัญโญ) ผ่านมาพบวัดที่มีสภาพสงบร่มรื่น อยู่ติดริมโขงนี้ จึงได้ทำการปฏิสังขรณ์วัด ด้วยความร่วมแรงจากพระภิกษุสงฆ์ และจากญาติโยม ให้เป็นวัดที่สมบูรณ์สวยงาม และตั้งชื่อวัดใหม่ว่า “วัดอาฮงศิลาวาส” ตามชื่อแก่งอาฮง
ภายในประดิษฐานพระพุทธคุวานันท์ศาสดา พระพุทธรูปขนาดหน้าตักกว้าง 4 เมตร สูง 7 เมตร น้ำหนัก 20 ตัน หล่อด้วยทองเหลือง ลักษณะเดียวกับพระพุทธชินราชที่งดงามยิ่ง นอกจากนี้ยังมีสวนหินที่บ่งบอกลักษณะกายภาพของพื้นที่ริมโขงเมื่อล้านปีก่อน โดยมีการปรับทัศนียภาพเป็นจุดเดินเล่นที่สวยงามแปลกตา
เมื่อชมไฮไลท์ของบึงกาฬแล้ว จากนั้นมุ่งหน้าไปยัง “หมู่บ้านหอคำ” ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นชุมชนต้นแบบ เพื่อการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ที่มีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประมงพื้นบ้าน หัตถกรรมพื้นถิ่น ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนสัมผัสเสน่ห์และวิถีชีวิตแท้ๆ ของชุมชนริมโขง
นางสาวนันทนา หวังธงชัยเจริญ พัฒนาการจังหวัดบึงกาฬ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้กรมพัฒนาชุมชนสานต่อโครงการท่องเที่ยวชุมชนขึ้น ซึ่งในบึงกาฬ มีโครงการโอทอปนววิถี โดยทั้ง 37 หมู่บ้าน และมีหมู่บ้านท่องเที่ยวอีก 5 หมู่บ้าน ซึ่งทั้งหมดเราใช้หลักโดยการนำเสน่ห์ของชุมชนเพื่อให้เป็นที่น่าท่องเที่ยวโดยมีการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของชุมชน พัฒนาศักยภาพของตัวเองในการรองรับนักท่องเที่ยว สำหรับเสน่ห์ของหมู่บ้านหอคำ เป็นหมู่บ้านที่มีความเข้มแข็ง ผู้ใหญ่บ้านมีศักยภาพ หมู่บ้านแห่งนี้มีประวัติความเป็นมารวมถึงวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน
ที่หมู่บ้านหอคำจะได้พบงานหัตถกรรมจักสาน ที่มีชื่อเสียงของบ้านหอคำ และสินค้าจากหมู่บ้านข้างเคียง เพื่อการท่องเที่ยวแบบเชื่อมโยง อาทิ ปลาร้าบองทรงเครื่อง จากบ้านนาโซ่ / ผ้าหมักโคลนดาราพันปีจากบ้านสะง้อ / กลุ่มผ้าพื้นถิ่น จากบ้านโคกสะอาด เป็นต้น
กิจกรรมของหมู่บ้านสำหรับนักท่องเที่ยวมีมากมาย อาทิ ร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญ ปั่นจักรยานชมทิวทัศน์ริมโขง ล่องเรือในแม่น้ำโขง พักโฮมสเตย์ ลิ้มลองอาหารพื้นบ้าน โดยเฉพาะปลาโจก ที่นำมาทำเมนูสารพัด เลือกซื้อสินค้าโอทอป ลูกหยีกวน และชมกรรมวิธีการผลิตและสักการะวัดสำคัญที่อุดมด้วยความเชื่อของผู้คนในชุมชน
หลังจากรู้จักความเป็นมาของหมู่บ้านหอคำแล้ว จากนั้นไปชมวัดวาอารามที่ชาวบ้านที่นี่มีความเลื่อมใสศรัทธากันต่อ โดยมาที่ “วัดสุวรรณราชดาราม” หรือ “วัดหอคำ” เป็นวัดที่มีความสำคัญกับหมู่บ้านมาอย่างยาวนาน เริ่มแรกได้สร้างโบสถ์ขึ้นมาแต่ไม่มีใบเสมาอยู่ในวัด ต่อมาได้มีการปรับหน้าดินในวัดและไปพบก้อนหินขนาดใหญ่ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าไม่ใช่ก้อนหิน แต่คือก้อนคำสัมฤทธิ์หนัก 24 กิโลกรัม ชาวบ้านจึงกลัวว่าจะมีโจรมาขโมยจึงได้ร่วมกันหางบประมาณเพื่อมาสร้างหอคำขึ้นมา
ไม่ไกลกันเท่าไรนักจะพบกับ “วัดหอคำเหนือ” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “วัดเหนือ” ความเป็นมาของวัดนี้เริ่มขึ้นจากเจ้าอาวาสวัดเหนือไปได้ไม้ตะเคียนที่แช่อยู่ในน้ำโขง เมื่อได้นำไม้ตะเคียนที่มีความเก่าแก่ขึ้นมาแล้ว จึงได้ชักชวนชาวบ้านนำมาแกะสลักเพื่อสร้างเป็นพระพุทธรูปเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจให้กับคนในชุมชน
จากนั้นเดินทางไปยัง “วัดป่าเทพวิมุต” ภายในวัดแห่งนี้มีพระพุทธศากยมุนีศรีรัตนากร เป็นพระพุทธรูปปางลีลา มีความสูง 21.99 เมตร ซึ่งว่าเป็นพระพุทธรูปปางลีลาที่มีความสูงที่สุดในบึงกาฬ ถือเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เป็นแลนด์มาร์กของหมู่บ้านหอคำ
นอกจากในหมู่บ้านหอคำจะมีศาสนสถานที่เป็นจุดเด่นของหมู่บ้านแล้ว ยังวิวทิวทัศน์ริมแม่น้ำโขงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดที่สวยที่สุดของจ.บึงกาฬ เป็นบรรยากาศของแนวเขาประเทศเพื่อนบ้าน รวมกับลำน้ำโขงที่ไหลผ่านสุดตา นอกจากนี้ในหมู่บ้านหอคำยังมีการจัดประเพณีแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดขึ้นในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี
นักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวที่หอคำสามารถทำกิจกรรมร่วมกับคนในชุมชนได้ เช่น การทำลูกหยียักษ์ การสานกระติบข้าว การทอผ้า การทำประมงพื้นบ้าน และพานักท่องเที่ยวล่องเรือชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำโขง ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร หลังจากที่นักท่องเที่ยวทำกิจกรรมมาทั้งวันแล้ว ในหมู่บ้านแห่งนี้มีบริการบริการให้แก่นักท่องเที่ยว พร้อมด้วยอาหารที่ขึ้นชื่อของที่นี่อีกด้วย
อีกหนึ่งความน่าสนใจเมื่อมาเที่ยวที่บึงกาฬแล้ว นักท่องเที่ยวจะนิยมมากราบไหว้ขอพร หลวงพ่อพระใหญ่ ที่ “วัดโพธาราม” ตั้งอยู่ที่บ้านท่าไคร้ อ.เมืองบึงกาฬ มีประวัติเล่าขานสืบต่อกันถึงคนเมืองยศ (ปัจจุบันคือจ.ยโสธร) ย้ายมาตั้งฐานบริเวณริมโขงเมื่อ 200 ปีก่อน จนมาถึงบริเวณบ้านท่าไคร้ ซึ่งรกเรื้อด้วยป่าทึบนานาพรรณ เมื่อชาวบ้านทำการหักร้างถางพงเพื่อขยายพื้นที่จึงได้พบพระพุทธรูปที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์พันรอบ ส่วนบริเวณรอบๆ มีลักษณะเป็นโบราณสถาน และยังพบซากเครื่องปั้นดินเผา โอ่งโบราณ โดยทำการบูรณะวัด ต่อพระเศียรที่หัก พร้อมสร้างแท่นประดิษฐานหลวงพ่อพระใหญ่ โดยไม่เคยเคลื่อนย้าย
หลังจากนั้นก็มีคนในชุมชนที่อยู่โดยรอบวัดมาสักการะขอพร เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมาโดยตลอด ในทุกปีจะมีการจัดงานสมโภชหลวงพ่อปีละ 2 ครั้ง เพื่อน้อมรำลึกถึงความเมตตาของท่าน ชาวบ้านจะทำบุญด้วยข้าวจี่พร้อมปราสาทผึ้งสองหลัง โดยภายในโบสถ์จะห้ามสตรีเข้า
นอกจากนี้ในบริเวณวัดยังจัดแสดงเรือกำปั่นเครื่องจักรไอน้ำโบราณ ซึ่งเป็นเรือสินค้าจากนครพนม ที่เดินเรือไปค้าขายที่สปป.ลาว และจมลงใต้แม่น้ำโขงกว่า 60 ปี
ส่วนแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติแห่งใหม่ของบึงกาฬ “หนองเลิง ทะเลบัวแดง” ตั้งอยู่ที่บ้านสันติสุข ต.ดอนหญ้านาง โดยในฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-มีนาคม หนองน้ำขนาด 3,000 ไร่ จะเต็มไปด้วยบัวหลวงสีชมพูบานสะพรั่ง กิจกรรมยอดนิยมคือการล่องเรือชมทัศนียภาพ และเหล่านกน้ำ ส่วนในฤดูร้อนสามารถมาเล่นน้ำ (สวมชูชีพ) และล่องแพปิกนิกชมวิวและกินอาหารพื้นถิ่นกันได้
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager