Facebook : Travel @ Manager
“ตลาดพลู” บริเวณถนนเทอดไทในฝั่งธนบุรี ถือเป็นอีกหนึ่งย่านเดินเล่นและย่านเดินหาของกินที่ฉันชื่นชอบมาในช่วงยามเย็น เพราะที่นี่มีทั้งวัดวาอาราม มุมถ่ายรูปชิคๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ รวมถึงมีสตรีทฟู้ดที่รวมร้านอร่อยคาวหวานไว้มากมาย ให้ได้เดินชมชิมตลอดเส้นทาง
แน่นอนว่าชื่อ “ตลาดพลู” ย่อมต้องมีที่มาที่ไป โดยแต่เดิมนั้นพื้นที่ริมคลองบางกอกใหญ่ หรือคลองบางหลวงนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวจีนมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี แต่เมื่อมีการย้ายราชธานีไปยังฝั่งพระนคร ชาวจีนบางส่วนก็โยกย้ายบ้านเรือนไปย่านสำเพ็ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของชุมชนชาวจีน และก็ได้มีชาวอิสลามเข้ามาอาศัยแทนที่
และเป็นชาวอิสลามนี่เองที่เป็นผู้ริเริ่มทำสวนพลูในย่านนี้ขึ้น จนต่อมาทั้งชาวอิสลามและชาวจีนต่างก็ทำสวนพลูเป็นอาชีพอย่างแพร่หลาย จนบริเวณริมคลองบางหลวงนี้กลายเป็นตลาดซื้อขายพลู และเกิดเป็นชุมชนเก่าแก่ที่เรียกกันว่า “ตลาดพลู” มาแต่บัดนั้น มาถึงปัจจุบันแม้จะหาพลูไม่ได้แล้วสักต้นในย่านนี้ แต่ชื่อของตลาดพลูก็ยังคงอยู่
รู้ประวัติคร่าวๆ ของชุมชมนี้ไปแล้ว ฉันก็ขอเดินลัดเลาะตามริมทางเท้าชมกลิ่นอายของชุมชนเก่าแก่แห่งนี้ดูบ้าง สิ่งแรกที่ฉันเห็นเมื่อเดินมาจากทางถนนวุฒากาศก็คือ “กำแพงสตรีทอาร์ต” แต่จะเรียกเป็นสตรีทอาร์ตเลยก็ไม่เชิง เพราะภาพกราฟิกบนผนังที่ฉันเห็นนี้ไม่ได้มีให้ชมเป็นทางยาวมากมายเหมือนที่อื่น แต่ภาพเหล่านี้จะซุกซ่อนอยู่ตามกำแพงหรือผนังบ้านเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น
จากที่ฉันเดินซอกแซกดูรอบๆ บริเวณนั้น เห็นภาพทั้งหมด 3 ภาพ 3 จุดด้วยกัน จุดแรกจะอยู่ที่ป้ายรถโดยสารประจำทางบริเวณหน้าปากซอยเทอดไท 27 ที่เป็นรูปกลุ่มคนทำท่าชี้นิ้วไปทางสี่แยกตลาดพลู และเมื่อฉันลองเดินตามทางที่ชี้มานั้นฉันก็เจอกับภาพที่สองที่อยู่บริเวณกำแพงของป้อมตำรวจใต้สะพานตลาดพลูนั่นเอง
ภาพที่สองนี้สะท้อนให้เห็นความแหล่งรวมความอร่อยของย่านนี้มาก เพราะเป็นรูปของคนอยู่ในเรือที่กำลังลอยอยู่ท่ามกลางนานาของกินขึ้นชื่อของที่นี่ อย่างเช่น กุยช่ายตลาดพลู ขนมหวานตลาดพลู เป็นต้น ดูแล้วฉันก็อดที่จะท้องขึ้นมาเสียไม่ได้ เพราะภาพวาดและสีสันนั้นดูแล้วเรียกน้ำย่อยได้ดีจริงๆ
ส่วนภาพที่สามจะอยู่ด้านถนนที่จะแยกไปถนนท่าพระ โดยรูปนี้จะอยู่บนผนังตรงบริเวณจุดจอดวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ซึ่งแน่นอนว่าภาพบนผนังนั้นก็ต้องเป็นภาพของคนขี่วินมอเตอร์ไซค์นั่นเอง ฉันรู้สึกว่าช่วยทำให้บริเวณนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมามากเลย
อีกหนึ่งสีสันที่เป็นเสน่ห์ของที่ย่านนี้ก็คือ “วิถีชีวิตของผู้คน” ที่ฉันได้พบเห็นระหว่างทางที่เดิน โดยจะมีกลุ่มคนมีอายุที่รวมตัวกันนั่งเล่นหมากฮอส หมากรุกกันอยู่ประมาณ 4-5 โต๊ะ และรอบๆ โต๊ะก็จะมีกลุ่มกองเชียร์คอยยืนตะโกนส่งเสียงเป็นแรงใจให้กับคนเล่นอีกด้วย เรียกรอยยิ้มให้กับผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี
เดินถัดมาอีกไม่มากก็จะถึง “สถานีรถไฟตลาดพลู" ในช่วงเวลาเย็นๆ ของวันธรรมดาแบบนี้ ที่นี่ก็จะเต็มไปด้วยเด็กนักเรียนและผู้ใหญ่วัยทำงาน ที่ยังคงใช้รถไฟในการเดินทางกลับบ้านหลีกหนีรถติดบนถนน และด้านหน้าของสถานีก็จะเป็นจุดต่อรถโดยสารอีกด้วย ทำให้ย่านนี้คึกคักตลอดเวลาเพราะถือเป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมของชาวฝั่งธนฯ นั่นเอง
เดินมาได้สักพักท้องก็เริ่มจะส่งเสียงประท้วง ฉันจึงไม่รอช้ารีบเดินย้อนกลับมาทางด้านริมทางรถไฟ เพื่อหาของอร่อยลงท้อง ซึ่งขอบอกเลยว่าบริเวณนี้ทั้งซ้ายและขวา ยาวไปจนถึงใต้สะพานตลาดพลู และภาพวาดภาพแรก จะอัดแน่นไปด้วยของอร่อยๆ มากมาย อย่างเช่น กระเพาะปลา ข้าวหมูกรอบ ข้าวหมูแดง กุยช่าย ขนมหวาน ฯลฯ ที่จะเปิดตั้งแต่ช่วงเย็นๆ ไปจนถึงช่วงดึกเลย
ซึ่งนอกจากนั้นยังมีวัดวาอารามที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน อย่างเช่น วัดราชคฤห์วรวิหาร, วัดจันทารามวรวิหาร, วัดอินทารามวรวิหาร เป็นต้น ให้ได้แวะกราบไว้ขอพรกันด้วย และนี่จึงทำให้ “ตลาดพลู” เป็นหนึ่งในเส้นทางอาหารผสมผสานกับวัฒนธรรมและชุมชน ที่จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวเชิงอาหารของไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นนั่นเอง
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
“ตลาดพลู” บริเวณถนนเทอดไทในฝั่งธนบุรี ถือเป็นอีกหนึ่งย่านเดินเล่นและย่านเดินหาของกินที่ฉันชื่นชอบมาในช่วงยามเย็น เพราะที่นี่มีทั้งวัดวาอาราม มุมถ่ายรูปชิคๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ รวมถึงมีสตรีทฟู้ดที่รวมร้านอร่อยคาวหวานไว้มากมาย ให้ได้เดินชมชิมตลอดเส้นทาง
แน่นอนว่าชื่อ “ตลาดพลู” ย่อมต้องมีที่มาที่ไป โดยแต่เดิมนั้นพื้นที่ริมคลองบางกอกใหญ่ หรือคลองบางหลวงนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวจีนมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี แต่เมื่อมีการย้ายราชธานีไปยังฝั่งพระนคร ชาวจีนบางส่วนก็โยกย้ายบ้านเรือนไปย่านสำเพ็ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของชุมชนชาวจีน และก็ได้มีชาวอิสลามเข้ามาอาศัยแทนที่
และเป็นชาวอิสลามนี่เองที่เป็นผู้ริเริ่มทำสวนพลูในย่านนี้ขึ้น จนต่อมาทั้งชาวอิสลามและชาวจีนต่างก็ทำสวนพลูเป็นอาชีพอย่างแพร่หลาย จนบริเวณริมคลองบางหลวงนี้กลายเป็นตลาดซื้อขายพลู และเกิดเป็นชุมชนเก่าแก่ที่เรียกกันว่า “ตลาดพลู” มาแต่บัดนั้น มาถึงปัจจุบันแม้จะหาพลูไม่ได้แล้วสักต้นในย่านนี้ แต่ชื่อของตลาดพลูก็ยังคงอยู่
รู้ประวัติคร่าวๆ ของชุมชมนี้ไปแล้ว ฉันก็ขอเดินลัดเลาะตามริมทางเท้าชมกลิ่นอายของชุมชนเก่าแก่แห่งนี้ดูบ้าง สิ่งแรกที่ฉันเห็นเมื่อเดินมาจากทางถนนวุฒากาศก็คือ “กำแพงสตรีทอาร์ต” แต่จะเรียกเป็นสตรีทอาร์ตเลยก็ไม่เชิง เพราะภาพกราฟิกบนผนังที่ฉันเห็นนี้ไม่ได้มีให้ชมเป็นทางยาวมากมายเหมือนที่อื่น แต่ภาพเหล่านี้จะซุกซ่อนอยู่ตามกำแพงหรือผนังบ้านเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น
จากที่ฉันเดินซอกแซกดูรอบๆ บริเวณนั้น เห็นภาพทั้งหมด 3 ภาพ 3 จุดด้วยกัน จุดแรกจะอยู่ที่ป้ายรถโดยสารประจำทางบริเวณหน้าปากซอยเทอดไท 27 ที่เป็นรูปกลุ่มคนทำท่าชี้นิ้วไปทางสี่แยกตลาดพลู และเมื่อฉันลองเดินตามทางที่ชี้มานั้นฉันก็เจอกับภาพที่สองที่อยู่บริเวณกำแพงของป้อมตำรวจใต้สะพานตลาดพลูนั่นเอง
ภาพที่สองนี้สะท้อนให้เห็นความแหล่งรวมความอร่อยของย่านนี้มาก เพราะเป็นรูปของคนอยู่ในเรือที่กำลังลอยอยู่ท่ามกลางนานาของกินขึ้นชื่อของที่นี่ อย่างเช่น กุยช่ายตลาดพลู ขนมหวานตลาดพลู เป็นต้น ดูแล้วฉันก็อดที่จะท้องขึ้นมาเสียไม่ได้ เพราะภาพวาดและสีสันนั้นดูแล้วเรียกน้ำย่อยได้ดีจริงๆ
ส่วนภาพที่สามจะอยู่ด้านถนนที่จะแยกไปถนนท่าพระ โดยรูปนี้จะอยู่บนผนังตรงบริเวณจุดจอดวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ซึ่งแน่นอนว่าภาพบนผนังนั้นก็ต้องเป็นภาพของคนขี่วินมอเตอร์ไซค์นั่นเอง ฉันรู้สึกว่าช่วยทำให้บริเวณนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมามากเลย
อีกหนึ่งสีสันที่เป็นเสน่ห์ของที่ย่านนี้ก็คือ “วิถีชีวิตของผู้คน” ที่ฉันได้พบเห็นระหว่างทางที่เดิน โดยจะมีกลุ่มคนมีอายุที่รวมตัวกันนั่งเล่นหมากฮอส หมากรุกกันอยู่ประมาณ 4-5 โต๊ะ และรอบๆ โต๊ะก็จะมีกลุ่มกองเชียร์คอยยืนตะโกนส่งเสียงเป็นแรงใจให้กับคนเล่นอีกด้วย เรียกรอยยิ้มให้กับผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี
เดินถัดมาอีกไม่มากก็จะถึง “สถานีรถไฟตลาดพลู" ในช่วงเวลาเย็นๆ ของวันธรรมดาแบบนี้ ที่นี่ก็จะเต็มไปด้วยเด็กนักเรียนและผู้ใหญ่วัยทำงาน ที่ยังคงใช้รถไฟในการเดินทางกลับบ้านหลีกหนีรถติดบนถนน และด้านหน้าของสถานีก็จะเป็นจุดต่อรถโดยสารอีกด้วย ทำให้ย่านนี้คึกคักตลอดเวลาเพราะถือเป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมของชาวฝั่งธนฯ นั่นเอง
เดินมาได้สักพักท้องก็เริ่มจะส่งเสียงประท้วง ฉันจึงไม่รอช้ารีบเดินย้อนกลับมาทางด้านริมทางรถไฟ เพื่อหาของอร่อยลงท้อง ซึ่งขอบอกเลยว่าบริเวณนี้ทั้งซ้ายและขวา ยาวไปจนถึงใต้สะพานตลาดพลู และภาพวาดภาพแรก จะอัดแน่นไปด้วยของอร่อยๆ มากมาย อย่างเช่น กระเพาะปลา ข้าวหมูกรอบ ข้าวหมูแดง กุยช่าย ขนมหวาน ฯลฯ ที่จะเปิดตั้งแต่ช่วงเย็นๆ ไปจนถึงช่วงดึกเลย
ซึ่งนอกจากนั้นยังมีวัดวาอารามที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน อย่างเช่น วัดราชคฤห์วรวิหาร, วัดจันทารามวรวิหาร, วัดอินทารามวรวิหาร เป็นต้น ให้ได้แวะกราบไว้ขอพรกันด้วย และนี่จึงทำให้ “ตลาดพลู” เป็นหนึ่งในเส้นทางอาหารผสมผสานกับวัฒนธรรมและชุมชน ที่จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวเชิงอาหารของไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นนั่นเอง
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager