xs
xsm
sm
md
lg

ชวนวัยเก๋าไปเที่ยว...สุดฟินกิน "หลงลับแล" นั่งรถรางชมมรดกโลกสุโขทัย-กำแพงเพชร

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

Facebook : Travel @ Manager
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย มรดกโลกของไทย
สมัยนี้คำว่า "วัยเก๋า" ถูกใช้แทนคำว่า "แก่" หรือ "ผู้สูงอายุ" เพราะเหล่า สว. (สูงวัย) เดี๋ยวนี้ไม่ยอมแก่กันง่ายๆ ยังดูแลใส่ใจสุขภาพร่างกายของตนเองให้แข็งแรงดูดีตลอดเวลา แถมยังพัฒนาตัวเองให้ทันสมัยอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีต่างๆ หรือการเดินทางเพื่อเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่สำคัญคือมีความพร้อมทั้งการเงินและเวลาอีกด้วย

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เล็งเห็นศักยภาพของคนวัยเก๋า จึงได้นำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวที่เหมาะสมกับคนวัยนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยเส้นทางหนึ่งที่ "ตะลอนเที่ยว" เห็นว่าคนวัยเก๋าน่าจะชอบก็คือเส้นทางท่องเที่ยวในจังหวัด “สุโขทัย-อุตรดิตถ์-กำแพงเพชร” ที่นอกจากจะได้ไหว้พระ เที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์ที่เป็นมรดกโลกแล้ว ช่วงนี้ที่อำเภอลับแล อุตรดิตถ์ก็กำลังคึกคักเพราะ “ทุเรียนหลงลับแล” กำลังออกผลผลิตมาให้คนรักทุเรียนได้ฟินกันอีกด้วย
ยามเย็นที่วัดมหาธาตุ ในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
รุ่งอรุณแห่งความสุขที่ "สุโขทัย"

สำหรับเส้นทางท่องเที่ยวนี้เริ่มต้นกันที่สุโขทัย แน่นอนว่าต้องมีไฮไลต์อยู่ที่ “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย” ที่ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ที่นี่มีบริการรถรางสำหรับผู้ที่มาชมเป็นหมู่คณะ หรือจะขับรถเที่ยวชมโบราณสถานเองก็ได้

แน่นอนว่าต้องไม่พลาดชม “วัดมหาธาตุ” วัดที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของกรุงสุโขทัยในยุคนั้น วัดมหาธาตุโดดเด่นไปด้วยพระเจดีย์ทรงดอกบัวตูมหรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์อันเป็นศิลปะแบบสุโขทัยแท้เเต่ดั้งเดิม เป็นเจดีย์ประธานล้อมรอบด้วยเจดีย์ 8 องค์บนฐานเดียวกัน ที่ด้านเหนือและด้านใต้ของเจดีย์มหาธาตุมีพระพุทธรูปยืนภายในซุ้มพระเรียกว่าพระอัฏฐารส
โบราณสถานของไทยที่มีความสำคัญระดับโลก
นอกจากนั้นก็ยังมี “วัดศรีสวาย” ที่เชื่อว่าแต่เดิมเคยเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูมาก่อนแล้วแปลงเป็นพุทธสถาน โดยต่อเติมวิหารขึ้นที่ด้านหน้าเป็นวัดในพุทธศาสนาในภายหลัง “วัดตระพังเงิน” ที่มีเจดีย์ทรงดอกบัวตูมเป็นเจดีย์ประธาน อีกทั้งยังมีโบสถ์กลางน้ำตามคตินทีสีมา เช่นเดียวกับ “วัดสระศรี” ซึ่งตั้งอยู่กลางสระน้ำเช่นเดียวกัน

และพิเศษสำหรับใครที่มาเยือนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยในวันศุกร์แรกของเดือน (ตั้งแต่เดือน ก.พ.-ก.ย.) ก็จะได้ชมการแสดงมินิไลท์แอนด์ซาวน์ "เล่าเรื่องเมืองสุโขทัย" ให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันในบรรยากาศยามค่ำ (เริ่มเวลา 19.00 น.) ที่วัดสระศรีในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยนี่เอง
มาลองพิมพ์พระด้วยมือตัวเอง
แค่ได้มาเยี่ยมชมอย่างเดียวอาจไม่ตราตรึงใจถ้าไม่ได้มาลองทำกิจกรรมควบคู่กันไป ขอแนะนำให้มาที่ “บ้านพระพิมพ์เมืองสุโขทัย” ที่นี่เราจะได้ลงมือสร้างพระเครื่องแบบสุโขทัยด้วยการกดดินเหนียวลงในพิมพ์ โดยมี ณรงค์ชัย โตอินทร์ เจ้าของบ้านพระพิมพ์และยังเป็นปราชญ์ท้องถิ่นด้านพุทธศิลป์เป็นผู้แนะนำรวมถึงเล่าเรื่องราวของพระเครื่องเมืองสุโขทัยให้ฟัง

ณรงค์ชัยเล่าว่า สุโขทัยนั้นมีแบบพระพิมพ์มากมายหลายพันแบบ ไม่ว่าจะเป็นพระซุ้มเรือนแก้ว พระร่วงนั่งโพธิบัลลังก์ พระลีลาถ้ำหีบ พระงบน้ำอ้อย ฯลฯ คนสร้างพระขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า เพื่อระลึกถึงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ในอดีตพระพิมพ์ถูกสร้างขึ้นจำนวนมากเพื่อบรรจุไว้ตามฐานเจดีย์ ฐานพระอุโบสถ หรือฐานพระพุทธรูป
ณรงค์ชัย โตอินทร์ เจ้าของบ้านพระพิมพ์เมืองสุโขทัย
แนะนำการพิมพ์พระ
ทางบ้านพระพิมพ์ได้เตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างไว้ให้พร้อมสำหรับการพิมพ์พระ เรามีหน้าที่กดดินเหนียวลงในพิมพ์ให้แน่นเพื่อให้พระมีลวดลายที่คมชัดและแน่นไม่แตก เมื่อกดพิมพ์เรียบร้อยแล้วปาดดินส่วนเกินด้านหลังออก แล้วเขียนชื่อหรือทำลวดลายไว้ด้านหลัง จากนั้นใช้ดินเหนียวก้อนเล็กแปะระหว่างพิมพ์กับดินที่กดไว้เพื่อใช้ดินดึงดิน ค่อยๆ ดึงพระพิมพ์ออกมา จากนั้นทางบ้านพระพิมพ์จะจัดการนำพระไปเผาให้ แล้ววันรุ่งขึ้นก็มารับหรือจะให้ส่งไปรษณีย์ไปให้ที่บ้านก็ค่อยพูดคุยตกลงกัน
ละลานตาเครื่องสังคโลกที่กะเณชา
อีกหนึ่งกิจกรรมที่มาลองทำแล้วจะจำสุโขทัยไม่ลืม นั่นก็คือการมาเพ้นท์ลวดลายสังคโลกที่ “กะเณชาสังคโลก” ที่นอกจากจะเป็นแหล่งจำหน่ายเครื่องสังคโลกและพระคเณศแล้ว ก็ยังเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับสังคโลกทั้งการปั้นและการเขียนลาย ในวันนี้เราได้ลองมาเขียนลายบนจานสังคโลก โดยมีคุณหทัยรัตน์ พรมเพ็ชร หรือชมพู่ เจ้าของบ้านคนสวยมาเป็นคนสอนวาดลวดลาย โดยเครื่องสังคโลกสุโขทัยส่วนมากแล้วจะวาดเป็นลวดลายปลา ทั้งปลาหมอ ปลาตะเพียน ปลาช่อน ซึ่งแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์
คุณชมพู่สอนวาดลวดลายปลาลงบนชิ้นงาน
เครื่องสังคโลกที่วาดลวดลายด้วยฝีมือตัวเอง
ใครที่ไม่ถนัดวาดรูปก็ไม่ต้องเครียดไปเพราะคุณชมพู่จะสอนวาดไปทีละขั้นตอน เราก็ค่อยๆ วาดตามไป สวยหรือไม่ไม่ใช่ประเด็นเพราะนี่จะเป็นเครื่องสังคโลกที่มีเพียงชิ้นเดียว ดังนั้นจงภูมิใจกับฝีมือของเราเอง และเมื่อวาดและลงสีลายเส้นเสร็จแล้ว จานดินเผาชิ้นนี้จะถูกนำไปเผาซ้ำอีกครั้งด้วยความร้อนสูง จนเดินเผากลายเป็นกระเบื้องสีเขียว มีลายแตกลายงานิดๆ ที่เรียกว่า “เครื่องสังคโลก” นั่นเอง (เมื่อเผาเสร็จเรียบร้อยทางร้านจะส่งจานสังคโลกที่แต่ละคนวาดไปให้ถึงบ้าน)
ซุ้มประตูเมืองลับแลและประติมากรรมแม่ม่าย
ฟินกับทุเรียนและผลไม้หลากหลายที่ "ลับแล" อุตรดิตถ์

วันที่สองเราจะมุ่งหน้าไป “เมืองลับแล” อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองที่ห้ามพูดโกหก” ตามตำนานที่เล่าว่า ชายหนุ่มคนหนึ่งพลัดหลงเข้าไปยังเมืองลับแลและได้พบรักอยู่กินกับหญิงสาวคนหนึ่งจนมีลูกด้วยกัน วันหนึ่งเมื่อลูกร้องไห้คิดถึงแม่ พ่อจึงแกล้งโกหกลูกว่าแม่กลับมาแล้ว ภายหลังเมื่อภรรยารู้เข้าถึงคำโกหกจึงต้องทำตามกฎเมืองลับแลโดยให้สามีออกไปจากเมือง และได้จัดข้าวของใส่ย่ามให้ก่อนออกเดินทาง

ระหว่างทางสามีรู้สึกว่าย่ามที่สะพายหนักขึ้นๆ เมื่อเปิดดูก็เห็นแต่แท่งขมิ้นอยู่ในย่ามจึงทิ้งไปเกือบหมด แต่พอกลับถึงบ้านกลับพบว่าขมิ้นกลายเป็นทองคำ และเมื่อพยายามหาทางกลับมาเมืองลับแลอีกครั้งก็ไม่เจอเสียแล้ว
รถรางพามาสักการะอนุสาวรีย์พระศรีพนมมาศ
แต่ลับแลทุกวันนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เน้นการเข้าไปชิมอาหารถิ่นและชมวิถีชีวิต โดยเฉพาะชาวสวนผลไม้ เราจะขับรถเที่ยวชมเอง หรือถ้ามาเป็นกลุ่มใหญ่จะใช้บริการรถรางของทางเทศบาลเมืองลับแลก็ได้ (ติดต่อล่วงหน้า)

รถรางจะพาเราวิ่งจากซุ้มประตูเมืองลับแลพามาสักการะ “อนุสาวรีย์พระศรีพนมมาศ” ซึ่งตั้งอยู่ตรงแยกตลาดสดเทศบาลศรีพนมมาศ “พระศรีพนมมาศ” เป็นเจ้าเมืองลับแลและนายอำเภอเมืองพิชัยในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นผู้ที่ดูแลเมืองลับแลให้เจริญรุ่งเรืองสืบมา ในเวลาต่อมาชาวเมืองได้สร้างอนุสาวรีย์ของท่านไว้ให้คนลับแลและนักท่องเที่ยวที่มาเยือนได้ระลึกถึงท่านอีกด้วย
ผ้าทอผืนงามในพิพิธภัณฑ์ผ้าตีนจกไท-ยวนเมืองลับแล
จากนั้นรถรางพาวิ่งไปชม "พิพิธภัณฑ์ผ้าซิ่นตีนจก ไท-ยวน ลับแล" ที่มีครูโจ หรือจงจรูญ มะโนคำ เป็นผู้ก่อตั้ง พิพิธภัณฑ์แห่งนี้บ่งบอกความเป็นมาและวิถีชีวิตของชาวลับแล เรายังจะได้ชมผ้าซิ่นตีนจกของลับแลซึ่งทุกวันเหลือคนทออยู่ไม่กี่บ้าน อีกทั้งยังมีผ้าซิ่นโบราณอายุนับร้อยปีจากแหล่งอื่นๆ ในประเทศที่ล้วนแล้วแต่มีความประณีตสวยงาม รวมไปถึงผ้าพื้นเมืองแบบใหม่ที่มีการประยุกต์สีและลวดลายให้มันสมัยมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันครูโจ ได้ก่อตั้งกลุ่มทอผ้าซิ่นตีนจกขึ้นและยังออกแบบผ้าซิ่นตีนจกให้มีความหลากหลายจนเป็นที่ยอมรับ นอกจากนั้นยังคงเอกลักษณ์ในการทอผ้าแบบดั้งเดิม คือ การจกด้วยขนเม่น และใช้วัตถุจากธรรมชาติในการย้อมสีผ้า เพราะมีความมุ่งมั่นว่า การขายผ้าซิ่นตีนจกลับแลไม่ได้ขายเฉพาะฝีมือเท่านั้น แต่เป็นการขายจิตวิญญาณของชาวลับแลอีกด้วย
ประตูไม้สักแกะสลักที่วัดดอนสัก
จากนั้นไปชมวัดงามของลับแลกันบ้างคือ “วัดดอนสัก” วัดเก่าแก่ของเมืองลับแลสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา วัดแห่งนี้มีสิ่งที่ชวนชมคืออุโบสถหลังเก่าของวัดที่มีบานประตูไม้สักแกะสลักอย่างวิจิตรมีความลึกถึง 4 นิ้ว แกะเป็นลวดลายกนกก้านขดไขว้ มีรูปนกคุ้ม หงส์ เทพพนม และยักษ์ เป็นศิลปะเชียงแสนผสมสุโขทัย
ชมเจดีย์หัวกลับที่วัดท้องลับแล
ส่วนที่ “วัดท้องลับแล” เป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ที่มีสิ่งมหัศจรรย์อย่าง “เจดีย์กลับหัว” ให้ได้ชม โดยในยามกลางวันเมื่อเราเข้าไปในอุโบสถที่ปิดประตูหน้าต่างหมดทุกบาน แสงจากภายนอกที่ส่องลอดรูเล็กๆเข้ามาจะทำให้เกิดภาพสะท้อนหัวกลับตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เป็นภาพของเจดีย์แก้วข้างพระอุโบสถ ยิ่งแดดจัดเท่าไรยิ่งเห็นชัดเท่านั้น
อิ่มอร่อยกับของทอดเจ๊นีย์
อีกหนึ่งจุดเด่นของลับแลที่ต้องมาสัมผัสนั่นก็คืออาหารอร่อยหลากหลาย รถรางพาเรามาที่ “ถนนคนกิน” หรือ "ถนนราษฎร์อุทิศ" ที่มีทั้งร้าน “เจ๊นีย์ของทอดลับแล” ที่ขายของทอดต่างๆ คลุกแป้งสูตรเฉพาะ ทั้งเต้าหู้ทอด เผือกทอด และห้ามพลาด “กระบองทอด” หรือหน่อไม้ทอดแสนอร่อย ร้าน “หมี่พันป้าหว่าง” หมี่พันของขึ้นชื่อใน อ.ลับแล ที่นำเส้นหมี่หรือบะหมี่ปรุงรสมาห่อด้วยข้าวแคบเป็นม้วน อร่อยติดใจไปตามๆ กัน โดยข้าวแคบนี้เป็นของกินเล่นของคนลับแล เป็นแผ่นแป้งปรุงรสแล้วตากแห้ง ชาวสวนสมัยก่อนใช้ข้าวแคบห่อข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนใหญ่แล้วพกไปเป็นเสบียงเวลาเข้าสวน กินง่ายพกสะดวก ทุกวันนี้ชาวลับแลก็ยังทำข้าวแคบไว้กินเองและไว้ขาย บนถนนสายนี้ก็มีร้านขายข้าวแคบให้เลือกหลายร้าน
หมี่พันและหมี่ขยุ้มร้านป้าหว่าง
นอกจากนั้นยังมีเมนู “ข้าวพันผัก” อีกอย่างหนึ่งที่ห้ามพลาด ข้าวพันผักก็คล้ายกับข้าวเกรียบปากหม้อที่ใช้แป้งข้าวเจ้าละเลงบนผ้าที่ขึงบนปากหม้อที่ต้มน้ำกำลังเดือด เมื่อแป้งสุกเติมไข่ใส่ผักเข้าไป แล้วใช้ไม้พายแซะแป้งห่อไส้ไว้ ตักใส่จานโรยหน้าด้วยกากหมูกระเทียมเจียวกินกับน้ำจิ้มเปรี้ยวหวานอร่อยมากๆ ที่ลับแลก็มีให้เลือกหลายร้านไม่ว่าจะเป็น “เฮือนข้าวพันผัก” ที่ตั้งอยู่ริมคลอง หรือร้าน “ข้าวพันผักอินดี้” หรือร้านอื่นๆ เลือกชิมได้ตามอัธยาศัย
หลงลับแลพร้อมขายที่สวนป้าเรียน
แต่ที่แน่ๆ มาช่วงนี้ (พ.ค.-ก.ค.) เป็นช่วงหน้าผลไม้ ทุเรียนแสนอร่อยอย่าง “หลงลับแล” กำลังออกผลผลิตมาให้ชิม ถ้าใครอยากกินไปชมสวนทุเรียนไป ขอแนะนำ “สวนป้าเรียน” ที่เขาเปิดสวนที่มีทั้งทุเรียน ลองกอง มะไฟ ฯลฯ ให้เข้าไปเดินเล่นชมสวน เดินเสร็จแล้วอยากจะนั่งกินทุเรียนเพลินๆ ก็ให้ทางร้านแกะทุเรียนใส่กระจาดแล้วไปนั่งกินตามศาลาใต้ร่มไม้ก็ชิลไปอีกแบบ
เดินชมสวนผลไม้ที่สวนป้าเรียน
มาตลาดหัวดงรับรองไม่ผิดหวังกับทุเรียนหลงลับแลคัดมาแล้ว
แต่ขอแนะนำว่าอย่าเพิ่งกินจนอิ่มเต็มที่ ให้เผื่อท้องไว้เพื่อมายัง “ตลาดหัวดง” ตลาดผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในลับแล มีสารพัดสารพันทุเรียนทั้งหลงลับแล หมอนทอง ทุเรียนพื้นเมืองจากสวนต่างๆ ให้เลือกกินกันแบบเต็มที่ ช่วงนี้ทุเรียนหลงลับแลในตลาดขายราคาใกล้เคียงกัน ลูกสวยๆ อยู่ที่กิโลละ 400-450 บาท เกรดรองลงมาก็ราวๆ 250-350 บาท หมอนทองก็ราว 120-140 บาท มาที่ตลาดนี้รับรองว่าคนชอบทุเรียนต้องได้ฟินกับหลงลับแลคุณภาพคัดมาแล้ว แต่คนรักหลินลับแลต้องรออีกนิดเพราะตอนนี้ยังไม่ออกผลผลิต
ทุเรียนหลากชนิดที่ตลาดหัวดง
วัดช้างรอบ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
ชมโบราณสถาน แช่น้ำพุร้อนชิลๆ ที่ "กำแพงเพชร"

จังหวัดสุดท้ายที่เรามาเยือนในทริปนี้คือ “กำแพงเพชร” เมืองเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ก็มีความน่าสนใจอยู่ที่ “อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร” ซึ่งเป็นดังเมืองบริวารของสุโขทัยและถือเป็นมรดกโลกด้วยเช่นกัน ความงามของศิลปะและสถาปัตยกรรมของวัดวาอารามในอุทยานฯ กำแพงเพชรที่ยังหลงเหลืออยู่นั้นนับว่าไม่แพ้ที่อุทยานฯ สุโขทัย โดยสร้างขึ้นภายใต้รูปแบบศิลปะสุโขทัยผสมผสานกับอิทธิพลของศิลปะแบบอยุธยาและล้านนา จนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสกุลช่างเมืองกำแพงเพชร

เราใช้บริการรถรางไฟฟ้าของอุทยานฯ ในการเที่ยวชมอีกเช่นเคย โดยโบราณสถานในอุทยานประวัติศาสตร์เมืองกำแพงเพชรแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือโบราณสถานหรือกลุ่มวัดที่อยู่ภายในเขตกำแพง โดยมีโบราณสถานสำคัญคือ วัดพระแก้ว วัดพระธาตุ เขตวังโบราณ ศาลพระอิศวร ส่วนกลุ่มวัดที่อยู่นอกกำแพงเมือง หรือที่เรียกกันว่าเขตอรัญญิก มีโบราณสถานสำคัญที่ไม่ควรพลาดชมหลายแห่ง ได้แก่ “วัดช้างรอบ” ที่รับรูปแบบองค์เจดีย์มาจากเจดีย์ช้างล้อมในศิลปะสุโขทัย แตกต่างตรงที่เป็นช้างปูนปั้นครึ่งตัว จำนวน 68 เชือก หัวและสองขาหน้าที่โผล่พ้นจากผนังประดับลวดลายปูนปั้นที่แผงคอ กำไลโคนขาและข้อเท้า
วัดพระสี่อิริยาบถ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
“วัดพระสี่อิริยาบถ” โดดเด่นด้วยมณฑปทรงจตุรมุขขนาดใหญ่ แต่ละด้านก่อผนังให้เว้าเข้าไปเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น 4 อิริยาบถ ได้แก่ พระพุทธรูปลีลา พระพุทธรูปนอน พระพุทธรูปนั่ง และพระพุทธรูปยืน ซึ่งเป็นองค์เดียวที่สภาพสมบูรณ์ที่สุด
เสาศิลาแลงขนาดใหญ่ที่วัดพระนอน อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
“วัดพระนอน” แม้จะเหลือเพียงแท่นประดิษฐานองค์พระนอนและเสาวิหารรองรับหลังคา แต่ก็ทำให้เราเห็นถึงความสามารถของช่างยุคเก่าที่ใช้วัสดุขนาดใหญ่ในการสร้างอาคาร เพราะเสาศิลาแลงที่รองรับหลังคาแต่ละต้นนั้นเป็นเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่แท่งเดียวไม่มีรอยต่อ กว้างด้านละ 1 ม. สูง 4-5 ม. อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงคุณภาพศิลาแลงเมืองกำแพงเพชรที่มีชื่อเสียง และยังเป็นที่มาของวลี “ศิลาแลงใหญ่” วรรคหนึ่งในคำขวัญจังหวัดกำแพงเพชรอีกด้วย
อุโบสถศิลาแลงที่วัดหนองปลิง
ศิลาแลงของกำแพงเพชรที่มีชื่อเสียงนี้ถูกนำมาสร้างเป็นอุโบสถหลังใหม่ของ “วัดหนองปลิง” เป็นโบสถ์ศิลาแลงทั้งหลัง ใช้ศิลาแลงของกำแพงเพชรและใช้ช่างชาวกำแพงเพชรแกะสลักจนเป็นลวดลายงามวิจิตร ขณะนี้การก่อสร้างภายนอกสำเร็จเกือบเต็มที่ แต่ภายในรวมถึงกำแพงศิลาแลงรอบๆ พระอุโบสยังคงอยู่ระหว่างการก่อสร้างต่อไป ใครสนใจจะไปชมหรือร่วมทำบุญสร้างอุโบสถให้สำเร็จเสร็จสิ้นก็ขอเชิญมาที่วัดหนองปลิงกันได้เลย
งานแกะสลักศิลาแลงเป็นพระพุทธรูปอย่างงดงามที่ด้านหลังอุโบสถ
บรรยากาศเป็นธรรมชาติของบ่อน้ำพุร้อนพระร่วง
มาปิดท้ายแหล่งท่องเที่ยวในกำแพงเพชรแบบชิลๆ ด้วยการมาแช่ “บ่อน้ำพุร้อนพระร่วง” ที่นี่มีแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติผุดขึ้นมาจากใต้ดินจำนวน 5 จุด อุณหภูมิประมาณ 40-65 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณภูมิที่จะช่วยผ่อนคลายร่างกายและความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ รวมถึงกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
นั่งแช่เท้าเพลินๆ ทั้งครอบครัว
ปัจจุบันมีการพัฒนาบ่อน้ำพุร้อนพระร่วงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยมีการสร้างลำธารน้ำพุร้อนที่ต่อมาจากบ่อน้ำร้อนผุดให้นักท่องเที่ยวได้มานั่งแช่เท้าผ่อนคลายร่างกายกันแบบไม่ต้องเสียเงิน แต่ใครที่อยากลงแช่ทั้งตัวหรือมากันเป็นครอบครัวหมู่คณะก็มีห้องส่วนตัวให้บริการ ทั้งห้องเล็กจุได้ 4-5 คน หรือห้องรวมใหญ่ 30 คน

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเส้นทางท่องเที่ยว 3 จังหวัดภาคเหนือ "สุโขทัย-อุตรดิตถ์กำแพงเพชร" เที่ยวแบบชิลๆ ไม่เหนื่อยนัก ได้ชมมรดกโลกล้ำค่าของไทย ไหว้พระงามหลายวัด และอิ่มอร่อยของกินท้องถิ่นหลากหลาย แถมได้ของฝากเป็นหลงลับแลแสนอร่อย ถ้าใครอยากสอบถามรายละเอียดการท่องเที่ยวในเส้นทางนี้ก็สามารถติดต่อ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุโขทัย โทร.0 5561 6228-9 ก็ยินดีให้ข้อมูลทั้งเรื่องที่เที่ยว ที่กิน และที่พัก

และสำหรับวัยเก๋าที่รวมก๊วนเที่ยวได้ 8 คนขึ้นไป ทาง ททท.ก็ขอเสนอแพ็คเกจท่องเที่ยว 3 วัน 2 คืน "เก๊ายกก๊วนชวนกันเที่ยว" ที่รวมเอาตั๋วเครื่องบินไปกลับสนามบินสุวรรณภูมิ-สุโขทัย จากสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส / ที่พักหรู 2 คืนพร้อมอาหารเช้า / แถมด้วยรถตู้ปรับอากาศพร้อมมัคคุเทศก์ที่จะนำเที่ยวตลอดทั้ง 3 วัน โดยมีให้เลือก 2 เส้นทางคือ 1. "สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-อุตรดิตถ์" ท่องเที่ยววิถีชีวิต อาหารถิ่นห้ามพลาด ช้อปปิ้งผ้าพื้นเมือง เงิน-ทองลายโบราณ  และ 2. "สุโขทัย-กำแพงเพชร-ตาก" ท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ อาหารถิ่นห้ามพลาด แช่น้ำพุร้อนพระร่วง ขอพรหลวงพ่อทันใจ ช้อปปิ้งสินค้าชาวไทยภูเขา ทั้งสองเส้นทางราคาคนละ 5,599 บาท (ยังไม่รวมภาษี และไม่รวมค่าธรรมเนียมเข้าชมแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงค่าอาหารระหว่างวัน) แพ็คเกจนี้มีตั้งแต่วันนี้-30 ก.ย. 2561 สนใจสามารถสอบถามได้ที่ ททท.สุโขทัย หรือติดต่อ บริษัทสุโขไทย ทราเวิล เซอร์วิส จำกัด โทร. 09 8794 6322, 0 5561 3075-6

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager


กำลังโหลดความคิดเห็น