Facebook :Travel @ Manager
ฤดูฝนกำลังจะมาเยือน พร้อมๆ กับที่ฤดูผลไม้สุกงอมแห่งภาคตะวันออกก็กำลังเริ่มต้นขึ้น ช่วงเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนกรกฎาคมถือเป็นช่วงเวลาทองของคนรักผลไม้ เพราะในช่วงนี้ทั้งราชา-ราชินีของผลไม้อย่างทุเรียนและมังคุด รวมไปถึงเงาะ ลองกอง สละ และผลไม้แสนอร่อยอีกหลากชนิดของสวนทางภาคตะวันออกต่างก็ทยอยออกผลอันหอมหวานมาให้ชิมกัน
ในเวลาเช่นนี้ทำให้นึกอยากไปเที่ยว “จันทบุรี” จังหวัดที่ได้ชื่อว่าเป็น “แดนสวรรค์ของผลไม้” เพราะในหลายๆ อำเภอของจันทบุรี ไม่ว่าจะเป็น อ.แหลมสิงห์ อ.ท่าใหม่ อ.มะขาม หรือ อ.เมือง ก็ล้วนแล้วแต่มีการทำสวนผลไม้กันอย่างหนาแน่น จนกลายเป็นมนต์เสน่ห์อันโดดเด่นของเมืองจันท์ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลไม้อันหลากหลาย
ใครที่มาเที่ยวเมืองจันท์ในช่วงฤดูผลไม้ยังจะได้สัมผัสกับบรรยากาศพิเศษของทัวร์ “อร่อยทุกไร่ ชิมไปทุกสวน” ที่หนึ่งปีมีเพียงช่วงนี้ที่เกษตรกรจะเปิดไร่สวนของตน ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปอร่อยรสผลไม้สดๆกันถึงแหล่ง
สำหรับสวนเด่นๆชวนเที่ยวไป กินผลไม้ไป อร่อยไปในเมืองจันท์ก็มี “สวนโถทอง” อ.เมือง “อิสรีย์ ฟาร์มม้าไทย” “สวนป้าแกลบ OTOP 5 ดาว” “สวนชุมชนเขาบายศรี” อ.ท่าใหม่ “สวนเจริญชัย” “สวนสาวสุดใจ” อ.แหลมสิงห์ “สวนภูทิพย์ธารา” อ.ขลุง และ “สวนเคพี การ์เด้น” อ.มะขาม เป็นต้น
นอกจากเป็นแดนสวรรค์แห่งผลไม้แล้ว จันทบุรียังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายชวนให้ไปสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนในตัวเมืองจันท์อย่าง “ชุมชนริมน้ำจันทบูร” (อ.เมือง) ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำจันทบุรีที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมอันหลากหลาย มาเดินเที่ยวที่นี่จะได้สัมผัสกับอาคารบ้านเรือนเก่าแก่อันทรงเสน่ห์ ไม่ว่าจะเป็น บ้านไม้หลังคาปั้นหยา เรือนขนมปังขิง ตึกฝรั่งแบบยุโรป แบบปีนังและสิงคโปร์ หรือที่ล้วนแล้วแต่มีความเก่าแก่คลาสสิกแตกต่างกันไป นอกจากนี้ที่นี่ยังมีอาหารและขนมหลากหลายชวนให้อร่อยกันอย่างเต็มอิ่ม
และที่เป็นไฮไลท์ของชุมชนริมน้ำจันทบูรก็คือ “อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล” หรือ “โบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล” โบสถ์คริสต์ที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิกอันโดดเด่น จนได้รับการยกย่องให้เป็นโบสถ์คริสต์ที่เก่าแก่และงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย
ชายหาดของจันทบุรีแม้จะไม่สวยขาวใสแต่ก็มีความสงบสวยงามไม่ว่าจะเป็นหาดคุ้งวิมาน อ.นายายอาม หาดแหลมเสด็จ หาดเจ้าหลาว อ.ท่าใหม่ หาดแหลมสิงห์ อ.แหลมสิงห์ เป็นต้น โดยบริเวณชายหาดแต่ละแห่งก็จะมีโรงแรมรีสอร์ตและร้านอาหารไว้รองรับนักท่องเที่ยว
หากใครอยากชมวิวทะเลและพระอาทิตย์ตกงามๆ ต้องมาที่ “จุดชมวิวเนินนางพญา” (อ.ท่าใหม่) เป็นเนินสูงที่สามารถมองลงไปชมทิวทัศน์ของ “ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต” (ถนนชล-จันท์) อันคดโค้งเลาะเลียบไปกับท้องทะเลเมืองจันท์ดูงดงามชวนให้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
และอีกหนึ่งจุดชมวิวบนถนนเฉลิมบูรพาชลทิตที่อยากแนะนำก็คือ “สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” (อ.แหลมสิงห์) สะพานที่ทอดผ่านปากน้ำแหลมสิงห์และเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในภาคตะวันออก จากบนสะพานมองลงไปเห็นบ้านเรือนและเรือประมงหลายสิบลำ รวมถึงกระเตง กระชัง และราวไม้สำหรับเพาะเลี้ยงหอย เป็นภาพของวิถีชีวิตชาวประมงที่น่าชม
“ตึกแดง” และ “คุกขี้ไก่” เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวน่าชมของแหลมสิงห์ ตึกแดงเป็นอาคารที่สร้างขึ้นในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองจันทบุรี เป็นอาคารปูนชั้นเดียวทาด้วยสีแดงทั้งหลัง แต่เดิมใช้เป็นกองบัญชาการและที่พักนายทหารฝรั่งเศส ส่วนคุกขี้ไก่เป็นอาคารปูนสองชั้น เล่ากันว่าใช้เป็นที่คุมขังนักโทษโดยเลี้ยงไก่ไว้ชั้นบนเพื่อให้ถ่ายมูลรดศีรษะนักโทษ นอกจากนั้นก็ยังสามารถไปชมบรรยากาศของหาดแหลมสิงห์อันเงียบสงบและเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกด้วย
ที่จันทบุรียังมีน้ำตกสวยๆ หลายแห่ง อาทิ “น้ำตกกระทิง” ในอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ อ.เขาคิชฌกูฏ “น้ำตกเขาสอยดาว” ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว อ.เขาสอยดาว และ “น้ำตกพลิ้ว” ในอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว อ.แหลมสิงห์
สำหรับน้ำตกพลิ้ว ถือเป็นน้ำตกยอดนิยมที่สุดก็ว่าได้ เพราะเดินทางเข้าถึงได้สะดวกสบาย อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความงามตามธรรมชาติ และมีเรื่องราวเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของไทย โดยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประพาสมายังน้ำตกแห่งนี้หลายครั้งในระหว่าง พ.ศ. 2417-2424 นอกจากนั้น พระองค์ยังได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “สถูปพระนางเรือล่ม” รูปทรงพีระมิด เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักและเป็นที่บรรจุพระอังคารของพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (พระนางเรือล่ม) ซึ่งเคยเสด็จประพาสน้ำตกพลิ้ว เมื่อ พ.ศ. 2417
ตัวน้ำตกพลิ้วไหลทิ้งตัวลงมาจากผาสูง 20 เมตร ลงมาสู่แอ่งน้ำใสขนาดใหญ่ มีความลึกราว 2 เมตร เป็นศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวที่มาแหวกว่ายรับความเย็นกับสายน้ำ และมาว่ายน้ำเล่นกับ “ปลาพลวงหิน” หรือ “ปลาพลวง” ตัวสีดำเป็นเงาว่ายนิ่งๆ อยู่ในธารน้ำใสคู่กับน้ำตกพลิ้วมาแต่ไหนแต่ไร
และสำหรับคนที่ชอบไหว้พระไหว้เจ้า ในจันทบุรีก็มีวัดงามและสำคัญอยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเป็น “วัดทองทั่ว” (ต.คลองนารายณ์ อ.เมือง) วัดสมัยกรุงศรีอยุธยาที่มี "พระพุทธสุวรรณมงคลศากยมุนีศรีสรรเพ็ชญ์" หรือ “หลวงพ่อทอง” เป็นพระพุทธรูปสำคัญที่เก่าแก่และมีพุทธลักษณะงดงาม อีกทั้งในวัดยังเป็นที่ตั้งของ “พิพิธภัณฑ์โบราณสถานเมืองเพนียด” จัดแสดงเรื่องราวของโบราณสถานเมืองเพนียดที่สันนิษฐานว่าเคยเป็นที่ตั้งของเมืองจันทบุรีในยุคแรก โดยมีโบราณวัตถุนำมาจัดแสดงไว้ให้ชมกัน เช่น ทับหลัง เทวรูป ศิวลึงค์ เป็นต้น
“วัดเขาแหลมสิงห์” (ต.บางกะไชย อ.แหลมสิงห์) วัดสีขาวงดงามที่อยู่บริเวณปากแม่น้ำจันทบุรี สามารถมองเห็นได้จากสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ภายในอุโบสถประดิษฐานหลวงพ่อแก้วสารพัดนึกเป็นพระประธาน
“วัดชากใหญ่” (ต.พลิ้ว อ.แหลมสิงห์) เป็นที่ตั้งของ "พุทธอุทยานมหาปทุมวิทยาญาณสัมปันโน" ซึ่งมีพุทธประติมากรรมอันยิ่งใหญ่อลังการเป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าที่แสดงธรรมเทศนาโปรดพระอรหันต์ในวันมาฆบูชา อีกทั้งยังมีประติมากรรมเกี่ยวกับพุทธชาดกพร้อมทั้งแผ่นป้ายอธิบายรายละเอียด รวมถึงยังจะได้สักการะพระพุทธรูปปางไสยาสน์ และพระพุทธรูปปางนาคปรก เพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย
“วัดมังกรบุปผาราม” หรือ “เล่งฮั้วยี่” (ต.พลิ้ว อ.แหลมสิงห์) วัดแห่งนี้มีประวัติเกี่ยวข้องกับพระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร (สกเห็ง) ผู้สร้างวัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน้ยยี่) ที่เยาวราช กรุงเทพฯ และวัดจีนประชาสโมสร (เล่งฮกยี่) จ.ฉะเชิงเทรา เล่ากันว่า ทั้งสามวัดนี้สร้างขึ้นในสามจุดสำคัญตามฮวงจุ้ยมังกร โดยตำแหน่งหัวมังกรอยู่ที่วัดเล่งเน่ยยี่ ตำแหน่งท้องมังกรอยู่ที่วัดเล่งฮกยี่ ส่วนตำแหน่งหางมังกรอยู่ที่วัดเล่งฮั้วยี่ จ.จันทบุรี นี่เอง
และสำหรับคนชอบลุย ขอแนะนำให้มาชม “ลานหินสีชมพู” ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าคุ้งกระเบน อ.ท่าใหม่ (ห่างจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน 8 ก.ม.) ที่นี่เป็นโขดหินริมทะเลที่มีสีแดงอมชมพูสดใส เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติกึ่งผจญภัยภายในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าฯ ที่มีระยะทางรวมราว 1 ก.ม.
หินเหล่านี้มีสีชมพูก็เนื่องจากว่าเป็นหินทรายสีแดงอมชมพูที่เรียกว่า “หินทรายอาร์โคส” เนื่องจากมีส่วนผสมของแร่เหล็กมากจึงทำให้หินมีสีแดงอมชมพู ยิ่งเมื่อสัมผัสกับแสงแดดจ้าก็ยิ่งออกสีชมพูสดใส แต่การจะไปชมอาจต้องเกาะป่ายปีนโขดหินเลาะริมทะเลไปเรื่อยๆ ท่ามกลางแสงแดด
ระหว่างทางจะได้พบกับโขดหินสีชมพูทอดยาวไปในท้องทะเล พร้อมกับมองเห็น "เกาะช่องสะบ้า" อยู่กลางทะเล ตรงนี้จะเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมที่สวยงามมากทีเดียว นอกจากนั้นบนเขาก็ยังมีจุดชมวิวบ่อเตย ชมวิวทะเลสีฟ้าครามสดใสที่ในยามเย็นเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกด้วย
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
ฤดูฝนกำลังจะมาเยือน พร้อมๆ กับที่ฤดูผลไม้สุกงอมแห่งภาคตะวันออกก็กำลังเริ่มต้นขึ้น ช่วงเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนกรกฎาคมถือเป็นช่วงเวลาทองของคนรักผลไม้ เพราะในช่วงนี้ทั้งราชา-ราชินีของผลไม้อย่างทุเรียนและมังคุด รวมไปถึงเงาะ ลองกอง สละ และผลไม้แสนอร่อยอีกหลากชนิดของสวนทางภาคตะวันออกต่างก็ทยอยออกผลอันหอมหวานมาให้ชิมกัน
ในเวลาเช่นนี้ทำให้นึกอยากไปเที่ยว “จันทบุรี” จังหวัดที่ได้ชื่อว่าเป็น “แดนสวรรค์ของผลไม้” เพราะในหลายๆ อำเภอของจันทบุรี ไม่ว่าจะเป็น อ.แหลมสิงห์ อ.ท่าใหม่ อ.มะขาม หรือ อ.เมือง ก็ล้วนแล้วแต่มีการทำสวนผลไม้กันอย่างหนาแน่น จนกลายเป็นมนต์เสน่ห์อันโดดเด่นของเมืองจันท์ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลไม้อันหลากหลาย
ใครที่มาเที่ยวเมืองจันท์ในช่วงฤดูผลไม้ยังจะได้สัมผัสกับบรรยากาศพิเศษของทัวร์ “อร่อยทุกไร่ ชิมไปทุกสวน” ที่หนึ่งปีมีเพียงช่วงนี้ที่เกษตรกรจะเปิดไร่สวนของตน ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปอร่อยรสผลไม้สดๆกันถึงแหล่ง
สำหรับสวนเด่นๆชวนเที่ยวไป กินผลไม้ไป อร่อยไปในเมืองจันท์ก็มี “สวนโถทอง” อ.เมือง “อิสรีย์ ฟาร์มม้าไทย” “สวนป้าแกลบ OTOP 5 ดาว” “สวนชุมชนเขาบายศรี” อ.ท่าใหม่ “สวนเจริญชัย” “สวนสาวสุดใจ” อ.แหลมสิงห์ “สวนภูทิพย์ธารา” อ.ขลุง และ “สวนเคพี การ์เด้น” อ.มะขาม เป็นต้น
นอกจากเป็นแดนสวรรค์แห่งผลไม้แล้ว จันทบุรียังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายชวนให้ไปสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนในตัวเมืองจันท์อย่าง “ชุมชนริมน้ำจันทบูร” (อ.เมือง) ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำจันทบุรีที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมอันหลากหลาย มาเดินเที่ยวที่นี่จะได้สัมผัสกับอาคารบ้านเรือนเก่าแก่อันทรงเสน่ห์ ไม่ว่าจะเป็น บ้านไม้หลังคาปั้นหยา เรือนขนมปังขิง ตึกฝรั่งแบบยุโรป แบบปีนังและสิงคโปร์ หรือที่ล้วนแล้วแต่มีความเก่าแก่คลาสสิกแตกต่างกันไป นอกจากนี้ที่นี่ยังมีอาหารและขนมหลากหลายชวนให้อร่อยกันอย่างเต็มอิ่ม
และที่เป็นไฮไลท์ของชุมชนริมน้ำจันทบูรก็คือ “อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล” หรือ “โบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล” โบสถ์คริสต์ที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิกอันโดดเด่น จนได้รับการยกย่องให้เป็นโบสถ์คริสต์ที่เก่าแก่และงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย
ชายหาดของจันทบุรีแม้จะไม่สวยขาวใสแต่ก็มีความสงบสวยงามไม่ว่าจะเป็นหาดคุ้งวิมาน อ.นายายอาม หาดแหลมเสด็จ หาดเจ้าหลาว อ.ท่าใหม่ หาดแหลมสิงห์ อ.แหลมสิงห์ เป็นต้น โดยบริเวณชายหาดแต่ละแห่งก็จะมีโรงแรมรีสอร์ตและร้านอาหารไว้รองรับนักท่องเที่ยว
หากใครอยากชมวิวทะเลและพระอาทิตย์ตกงามๆ ต้องมาที่ “จุดชมวิวเนินนางพญา” (อ.ท่าใหม่) เป็นเนินสูงที่สามารถมองลงไปชมทิวทัศน์ของ “ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต” (ถนนชล-จันท์) อันคดโค้งเลาะเลียบไปกับท้องทะเลเมืองจันท์ดูงดงามชวนให้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
และอีกหนึ่งจุดชมวิวบนถนนเฉลิมบูรพาชลทิตที่อยากแนะนำก็คือ “สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” (อ.แหลมสิงห์) สะพานที่ทอดผ่านปากน้ำแหลมสิงห์และเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในภาคตะวันออก จากบนสะพานมองลงไปเห็นบ้านเรือนและเรือประมงหลายสิบลำ รวมถึงกระเตง กระชัง และราวไม้สำหรับเพาะเลี้ยงหอย เป็นภาพของวิถีชีวิตชาวประมงที่น่าชม
“ตึกแดง” และ “คุกขี้ไก่” เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวน่าชมของแหลมสิงห์ ตึกแดงเป็นอาคารที่สร้างขึ้นในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองจันทบุรี เป็นอาคารปูนชั้นเดียวทาด้วยสีแดงทั้งหลัง แต่เดิมใช้เป็นกองบัญชาการและที่พักนายทหารฝรั่งเศส ส่วนคุกขี้ไก่เป็นอาคารปูนสองชั้น เล่ากันว่าใช้เป็นที่คุมขังนักโทษโดยเลี้ยงไก่ไว้ชั้นบนเพื่อให้ถ่ายมูลรดศีรษะนักโทษ นอกจากนั้นก็ยังสามารถไปชมบรรยากาศของหาดแหลมสิงห์อันเงียบสงบและเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกด้วย
ที่จันทบุรียังมีน้ำตกสวยๆ หลายแห่ง อาทิ “น้ำตกกระทิง” ในอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ อ.เขาคิชฌกูฏ “น้ำตกเขาสอยดาว” ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว อ.เขาสอยดาว และ “น้ำตกพลิ้ว” ในอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว อ.แหลมสิงห์
สำหรับน้ำตกพลิ้ว ถือเป็นน้ำตกยอดนิยมที่สุดก็ว่าได้ เพราะเดินทางเข้าถึงได้สะดวกสบาย อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความงามตามธรรมชาติ และมีเรื่องราวเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของไทย โดยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประพาสมายังน้ำตกแห่งนี้หลายครั้งในระหว่าง พ.ศ. 2417-2424 นอกจากนั้น พระองค์ยังได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “สถูปพระนางเรือล่ม” รูปทรงพีระมิด เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักและเป็นที่บรรจุพระอังคารของพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (พระนางเรือล่ม) ซึ่งเคยเสด็จประพาสน้ำตกพลิ้ว เมื่อ พ.ศ. 2417
ตัวน้ำตกพลิ้วไหลทิ้งตัวลงมาจากผาสูง 20 เมตร ลงมาสู่แอ่งน้ำใสขนาดใหญ่ มีความลึกราว 2 เมตร เป็นศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวที่มาแหวกว่ายรับความเย็นกับสายน้ำ และมาว่ายน้ำเล่นกับ “ปลาพลวงหิน” หรือ “ปลาพลวง” ตัวสีดำเป็นเงาว่ายนิ่งๆ อยู่ในธารน้ำใสคู่กับน้ำตกพลิ้วมาแต่ไหนแต่ไร
และสำหรับคนที่ชอบไหว้พระไหว้เจ้า ในจันทบุรีก็มีวัดงามและสำคัญอยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเป็น “วัดทองทั่ว” (ต.คลองนารายณ์ อ.เมือง) วัดสมัยกรุงศรีอยุธยาที่มี "พระพุทธสุวรรณมงคลศากยมุนีศรีสรรเพ็ชญ์" หรือ “หลวงพ่อทอง” เป็นพระพุทธรูปสำคัญที่เก่าแก่และมีพุทธลักษณะงดงาม อีกทั้งในวัดยังเป็นที่ตั้งของ “พิพิธภัณฑ์โบราณสถานเมืองเพนียด” จัดแสดงเรื่องราวของโบราณสถานเมืองเพนียดที่สันนิษฐานว่าเคยเป็นที่ตั้งของเมืองจันทบุรีในยุคแรก โดยมีโบราณวัตถุนำมาจัดแสดงไว้ให้ชมกัน เช่น ทับหลัง เทวรูป ศิวลึงค์ เป็นต้น
“วัดเขาแหลมสิงห์” (ต.บางกะไชย อ.แหลมสิงห์) วัดสีขาวงดงามที่อยู่บริเวณปากแม่น้ำจันทบุรี สามารถมองเห็นได้จากสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ภายในอุโบสถประดิษฐานหลวงพ่อแก้วสารพัดนึกเป็นพระประธาน
“วัดชากใหญ่” (ต.พลิ้ว อ.แหลมสิงห์) เป็นที่ตั้งของ "พุทธอุทยานมหาปทุมวิทยาญาณสัมปันโน" ซึ่งมีพุทธประติมากรรมอันยิ่งใหญ่อลังการเป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าที่แสดงธรรมเทศนาโปรดพระอรหันต์ในวันมาฆบูชา อีกทั้งยังมีประติมากรรมเกี่ยวกับพุทธชาดกพร้อมทั้งแผ่นป้ายอธิบายรายละเอียด รวมถึงยังจะได้สักการะพระพุทธรูปปางไสยาสน์ และพระพุทธรูปปางนาคปรก เพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย
“วัดมังกรบุปผาราม” หรือ “เล่งฮั้วยี่” (ต.พลิ้ว อ.แหลมสิงห์) วัดแห่งนี้มีประวัติเกี่ยวข้องกับพระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร (สกเห็ง) ผู้สร้างวัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน้ยยี่) ที่เยาวราช กรุงเทพฯ และวัดจีนประชาสโมสร (เล่งฮกยี่) จ.ฉะเชิงเทรา เล่ากันว่า ทั้งสามวัดนี้สร้างขึ้นในสามจุดสำคัญตามฮวงจุ้ยมังกร โดยตำแหน่งหัวมังกรอยู่ที่วัดเล่งเน่ยยี่ ตำแหน่งท้องมังกรอยู่ที่วัดเล่งฮกยี่ ส่วนตำแหน่งหางมังกรอยู่ที่วัดเล่งฮั้วยี่ จ.จันทบุรี นี่เอง
และสำหรับคนชอบลุย ขอแนะนำให้มาชม “ลานหินสีชมพู” ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าคุ้งกระเบน อ.ท่าใหม่ (ห่างจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน 8 ก.ม.) ที่นี่เป็นโขดหินริมทะเลที่มีสีแดงอมชมพูสดใส เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติกึ่งผจญภัยภายในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าฯ ที่มีระยะทางรวมราว 1 ก.ม.
หินเหล่านี้มีสีชมพูก็เนื่องจากว่าเป็นหินทรายสีแดงอมชมพูที่เรียกว่า “หินทรายอาร์โคส” เนื่องจากมีส่วนผสมของแร่เหล็กมากจึงทำให้หินมีสีแดงอมชมพู ยิ่งเมื่อสัมผัสกับแสงแดดจ้าก็ยิ่งออกสีชมพูสดใส แต่การจะไปชมอาจต้องเกาะป่ายปีนโขดหินเลาะริมทะเลไปเรื่อยๆ ท่ามกลางแสงแดด
ระหว่างทางจะได้พบกับโขดหินสีชมพูทอดยาวไปในท้องทะเล พร้อมกับมองเห็น "เกาะช่องสะบ้า" อยู่กลางทะเล ตรงนี้จะเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมที่สวยงามมากทีเดียว นอกจากนั้นบนเขาก็ยังมีจุดชมวิวบ่อเตย ชมวิวทะเลสีฟ้าครามสดใสที่ในยามเย็นเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกด้วย
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager