Facebook :Travel @ Manager
การท่องเที่ยวแบบไหนๆ คงไม่สุขสันต์เบิกบานใจได้เท่ากับการล่องเรือสำราญไปยังสถานที่ต่างๆ ที่จะได้พักผ่อนหย่อนใจไหลล่องไปพร้อมกับสายน้ำ รวมทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้บริการอย่างครบครัน ครั้งนี้ “ตะลอนเที่ยว” ได้มีโอกาสเดินทางไปเปิดโลกกว้างสู่มหานครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน กับ “วีคเอนท์ ทัวร์ แอนด์ คาร์โก เซอร์วิส” ที่ได้มาล่องเรือสำราญหรูท่องเที่ยวในเส้นทางเซี่ยงไฮ้-ไท่โจว-นานกิง
ก่อนที่จะไปขึ้นเรือสำราญ “ตะลอนเที่ยว” ก็อยากจะชวนไปชมแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ของมหานครเซี่ยงไฮ้กันก่อน โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลย “เซี่ยงไฮ้” ถือเป็นศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจ การค้า อุตสาหกรรม การคมนาคมและการท่องเที่ยวมาตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต เป็นเมืองที่ผสมผสานวัฒนธรรมสมัยใหม่และวัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิมได้อย่างลงตัว
โดยในอดีตมหานครแห่งนี้ได้แบ่งเขตพื้นที่ให้ชาวต่างชาติเช่า หลังจากสงครามฝิ่นชาวต่างชาติเริ่มเข้ามาเช่าเขตพื้นที่หลายแห่ง ทำให้มหานครแห่งนี้เต็มไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมที่มีลวดลายสวยงามตามแบบฉบับยุโรป จนได้รับขนานนามว่าเป็น “นครปารีสแห่งตะวันออก”
และเมื่อมาถึงเซี่ยงไฮ้แล้วไม่ได้ไปแหล่งท่องเที่ยวที่ถือเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของที่นี่ก็ถือว่ามาไม่ถึงเซี่ยงไฮ้ นั่นคือ “หอไข่มุก” นั่นเอง “หอไข่มุก” เป็นหอคอยที่สูงที่สุดในเอเชียและเป็นอันดับ 5 ของโลก เป็นหอส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์สูง 468 เมตร ตัวหอคอยมีน้ำหนัก 120,000 ตัน ลักษณะเป็นไข่มุก 11 ลูก และเสา 3 เสา ด้านบนเป็นรูปไข่มุก 3 เม็ดมีขนาดเรียงกันตามลำดับแนวตั้ง โดยหอไข่มุกแห่งนี้เป็นที่ทำการของสถานีโทรทัศน์ 9 แห่ง และมีสถานีวิทยุ 10 แห่ง ภายในหอกลมทำเป็นภัตตาคาร และโรงแรมหรู ด้านล่างมีร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก
ส่วนช่องตรงกลางของหอไข่มุกเป็นเสาปล่องกลวง ใช้แขวนลิฟท์ความเร็วสูงจำนวน 6 ตัว โดยลิฟท์นี้จะใช้ความเร็ว 7 เมตร/วินาที เพื่อขึ้นไปที่จุดชมวิวในระดับความสูง 267 เมตร และในช่วงยามค่ำคืนส่วนของหอกลมจะเปิดไฟหลากสีสันหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เมื่อตะลอนเที่ยวได้ขึ้นไปด้านบนแล้ว ก็จะมองเห็นวิวมุมสูงของมหานครเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ได้โดยรอบ ทั้งวิวตึกสูงที่อยู่สลับกัน รวมถึงเรือลำน้อย-ใหญ่ที่ล่องอยู่บริเวณแม่น้ำด้านล่าง ซึ่งด้านบนนี้จะมีจุดให้ชมวิวทิวทัศน์ด้วยกันสองชั้น โดยลิฟท์จะนำขึ้นมาส่งที่ด้านบนก่อน จากนั้นสามารถเดินลงบันไดไปอีกหนึ่งชั้นเพื่อชมวิวมุมกว้างได้อีกเช่นกัน แต่จุดชมวิวส่วนของชั้นล่างตรงพื้นจะเป็นกระจกใส สามารถมองลงไปเห็นพื้นด้านล่างกันเลย เพิ่มความตื่นเต้นหวาดเสียวได้ไม่น้อย
สำหรับช่วงตรงฐานของหอจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมืองเซี่ยงไฮ้ โดยสามารถนำบัตรที่เข้าชมวิวด้านบนของหอไข่มุกมาเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้ด้วย ด้านในจะแบ่งออกเป็น 2 ชั้น โดยชั้นแรกจะมีการจำลองรถโบราณ ที่มีการใช้งานในแต่ละยุคสมัยมาให้ชมกัน
ส่วนชั้น 2 ของพิพิธภัณฑ์มีการจำลองเหตุการณ์ในยุคสมัยโบราณ มีการบอกเล่าเรื่องราว ประวัติความเป็นมาของนครเซี่ยงไฮ้ได้โดยอย่างดีและสมจริงมาก โดยเริ่มตั้งแต่ยุคหลายร้อยปีที่ผ่านมาจนมาถึงยุคสงครามฝิ่น และเรื่อยมาจนถึงเซี่ยงไฮ้ยุคสมัยใหม่ ที่มีแต่ความเจริญก้าวหน้าของทุกวันนี้
หลังจากนั้นตะลอนเที่ยวก็ได้ไปสัมผัสกับบรรยากาศแห่งการชอปปิ้ง ที่ “ถนนนานจิง” หรือ “นานจิงลู่” เป็นย่านช้อปปิ้งเก่าแก่ที่สุดของเซี่ยงไฮ้ ที่บรรดาขาชอปต้องห้ามพลาด ถนนแห่งนี้ถือเป็นศูนย์รวมของห้างร้านดังต่าง ๆ มากมาย สองฟากถนนมีห้างร้านขายสินค้ามีแบรนด์เนมหลากหลาย ซึ่งย่านนี้ก็จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย เป็นแหล่งที่ท่องเที่ยวและชอปปิ้งที่ต้องมาแวะ หากได้มีโอกาสมายังเมืองเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ โดยสามารถที่จะเดินไปเรื่อยๆ จนถึงหาดไว่ทานได้เลย
หาดไว่ทัน (Waitan) หรือ หาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ซึ่งที่เรียกกันว่าหาดนั้นจะไม่ได้เป็นหาดทรายชายทะเลอย่างที่เข้าใจ แต่เป็นย่านถนนริมแม่น้ำที่มีความยาวกว่า 1.5 กิโลเมตร ไปตามริมแม่น้ำหวงผู่ฝั่งตะวันตกนั่นเอง ที่ตรงจุดนี้จะสามารถมองเห็นวิวของหอไข่มุก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองเซี่ยงไฮ้ คนจีนและนักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะมักมาชื่นชมบรรยากาศริมน้ำ และถ่ายรูปกันอย่างคึกคัก
ในช่วงค่ำก็ได้เวลาเดินทางไปยังท่าเรือ Shanghai International Cruise Terminal เพื่อทำการเช็คอินลงเรือสำราญหรู Century Sky เป็นเรือขนาดเล็ก บริเวณที่ท่าเรือจะสามารถมองเห็นบรรยากาศแสงสียามค่ำคืนของมหานครเซี่ยงไฮ้ ที่เปิดไฟประดับตามตึกสูงระฟ้ารวมถึงหอไข่มุกด้วย
ภายในเรือสำราญแบ่งออกเป็น 6 ชั้น สามารถจุคนได้กว่า 300 คน โดยชั้น 2 จะเป็นส่วนของล็อบบี้และห้องอาหาร ส่วนห้องพักบนเรือจะอยู่ในชั้น 3-4 มีห้องให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Deluxe Cabin มีจำนวน 143 ห้อง, Deluxe Suite จำนวน 6 ห้อง และ Junior Suite จำนวน 4 ห้อง ซึ่งแต่ละรูปแบบของห้องพักจะมีขนาดพื้นที่แตกต่างกัน
ในส่วนของชั้น 5 จะมีการแสดงโชว์พิเศษที่ทางเรือสำราญจัดให้ลูกค้า โดยจะมีการแสดงให้ชมในช่วงตอนหัวค่ำ แต่ละค่ำคืนก็จะแสดงแตกต่างกัน หากมองหาที่นั่งมาชมวิวนอกจากที่ชมได้ภายในห้องพักแล้ว ก็สามารถมานั่งเล่นรับลม อ่านหนังสือ ที่บริเวณชั้นนี้ก็ได้ และส่วนชั้น 6 จะเป็นห้องอาหารอีกเช่นกัน ซึ่งสามารถมาชมวิวทิวทัศน์ขณะล่องเรือได้อย่างเพลิดเพลิน
นอกจากนั้นภายในเรือสำราญลำนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมาย อย่างเช่น ห้องฟิตเนส ที่ลูกค้าสามารถมาออกกำลังกายได้ตลอด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือหากรู้สึกว่าร่างกายเมื่อยล้าอยากจะผ่อนคลายด้วยการนวด รวมถึงการซาวน่าที่นี่ก็มีบริการด้วยเช่นกัน ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายการบริการเพิ่มเติม
เส้นทางการล่องเรือสำราญในครั้งนี้จะออกจากท่าเรือบริเวณมหานครเซี่ยงไฮ้ ล่องไปเรื่อยๆ จนออกไปสู่แม่น้ำแยงซีเกียง ซึ่งเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่มีความกว้างขวางกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาของประเทศไทยหลายสิบเท่า ถือเป็นแม่น้ำสายสำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศจีน มีเรือขนส่งสินค้าที่ล่องมาให้เห็นเป็นระยะๆ
ในทริปนี้อากาศไม่ค่อยเป็นใจเท่าที่ควร ท้องฟ้ามีเมฆหมอกและมีลมแรง ทำให้การเดินเรือต้องหยุดชั่วคราวและไม่สามารถเทียบท่าขึ้นฝั่งได้ในบางจุด เนื่องจากเป็นเงื่อนไขข้อบังคับของทางรัฐบาลจีน หลังจากฟ้าเปิดอากาศแจ่มใสก็สามารถเดินเรือได้ตามปกติ จากนั้นเรือสำราญก็มาเทียบท่าเข้าฝั่งเพื่อออกเดินทางท่องเที่ยวต่อด้วยรถบัสไปยังเมืองซูโจว
จากคำพูดที่เคยได้ยินกล่าวถึงเมืองนี้ไว้ว่า "เบื้องบนมีสวรรค์ เบื้องล่างมีซูหาง" คือ บนฟ้ามีสถานที่ที่ดีที่สุดคือสวรรค์ บนพื้นโลกมีสถานที่ ที่สวยที่สุดคือ "ซูหาง" เมื่อพูดถึง หางโจวหรือหังโจว ผู้คนจะ นึกถึงทะเลสาบซีหู แต่ถ้าพูดถึงซูโจว ต้องนึกถึง” ชีหลี่ซานถัง” ซี่งเป็นสถานที่ที่ตะลอนเที่ยวจะเดินทางไปนั่นเอง
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึง "ถนนชีหลี่ซานถัง" หรือ "ถนนซานถัง" เป็นถนนสายโบราณที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองซูโจว โดยความสำคัญของถนนแห่งนี้มาจากสาเหตุ 3 ประการคือ 1.เป็นถนนสายประวัติศาสตร์ที่มีอายุเก่าแก่มากกว่า 1,100 ปี 2.เป็นสถานที่ที่มีการวางผังเมืองและสถาปัตยกรรมได้ดีที่สุดในเมืองซูโจว 3.เป็นสถานที่ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันกับพิธีการเฉลิมฉลองต่างๆตั้งแต่ในอดีตมาเป็นเวลาช้านาน
โดยในปี ค.ศ. 825 ในช่วงราชวงศ์ถัง มีนักกวีจีนที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการชั้นสูงในเมืองซูโจว เป็นผู้ควบคุมการสร้างคลองและถนนในบริเวณสถานที่แห่งนี้และและใช้ชื่อคลองในเขตถนนแห่งนี้ว่าซานถัง ซึ่งเป็นคลองที่มีความยาว 7 กิโลเมตร และเชื่อมโยงไปยังคลองขนาดใหญ่ที่ต่อไปยังกรุงปักกิ่งและหางโจว แม่น้ำนี้ได้อำนวยประโยชน์อย่างมากสำหรับการเกษตรและการชลประทาน การจราจรทางน้ำทำให้พื้นที่กลายเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจตลอดมาตั้งแต่ในอดีตจวบจนปัจจุบัน
ที่เมืองซูโจวจะมีเมืองโบราณที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชม ภายในมีร้านค้ามากมาย สะพานหินโบราณ หน้าบ้านเป็นถนน หลังเป็นคลอง มีของกินเล่น เต้าหู้เน่าเหมือนทุเรียนแต่อร่อย เวลาซื้อของให้ต่อเยอะๆ ถ้าพูดไม่คล่องก็จิ้มเครื่องคิดเลข สถานที่ท่องเที่ยวเต็มไปด้วยผู้คนจากมนฑลอื่น เป็นเมืองเก่าแก่ มีของเก่ามากมาย
อีกแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของซูโจว นั่นคือเนินเสือหมอบหรือที่คนไทยเรียก “ภูพยัคฆ์” ถ้าสังเกตุดีๆ ระหว่างนั่งรถผ่านจะมองเป็นในระยะไกลได้ แต่ช่วงที่ตะลอนเที่ยวไปเริ่มมืดแล้วก็เลยมองไม่เห็นจุดที่เที่ยวนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์คู่เมืองมานาน ไฮไลท์สำคัญมีเจดีย์เอียงคล้ายหอเอนกิซ่า อิตาลี สมัยก่อนมีการฝังดาบ 3,000 เล่ม และสมบัติเพชรนิลจินดาไว้ใต้ฐานเจดีย์มากมาย ถ้าขุดเอาสมบัติออกมาเจดีย์ก็จะเอียงจนล้ม รัฐบาลเลยไม่ขุด เพราะกลัวว่าเจดีย์พัง ซึ่งเจดียนี้ใช้อิฐทั้งหลังไม่เหมือนกับเจดีย์ที่อื่นที่ใช้ไม้และอิฐ แต่เชื่อว่าถึงอย่างไรก็จะไม่พังลงมาเพราะบูรณะโดยใช้ไม่ยึดฐานไว้อย่างแน่นหนา
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ของทริปล่องเรือสำราญยังมีอีกมากมาย อย่างเขตอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและป่าชายเลน หอแกะสลัก สุสานดร.ซุนยัดเซ็น เป็นต้น ซึ่งจะมีความน่าสนใจขนาดไหนนั้น สามารถติดตามต่อได้ใน "ตะลอนเที่ยว" ครั้งต่อไป
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
การท่องเที่ยวแบบไหนๆ คงไม่สุขสันต์เบิกบานใจได้เท่ากับการล่องเรือสำราญไปยังสถานที่ต่างๆ ที่จะได้พักผ่อนหย่อนใจไหลล่องไปพร้อมกับสายน้ำ รวมทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้บริการอย่างครบครัน ครั้งนี้ “ตะลอนเที่ยว” ได้มีโอกาสเดินทางไปเปิดโลกกว้างสู่มหานครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน กับ “วีคเอนท์ ทัวร์ แอนด์ คาร์โก เซอร์วิส” ที่ได้มาล่องเรือสำราญหรูท่องเที่ยวในเส้นทางเซี่ยงไฮ้-ไท่โจว-นานกิง
ก่อนที่จะไปขึ้นเรือสำราญ “ตะลอนเที่ยว” ก็อยากจะชวนไปชมแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ของมหานครเซี่ยงไฮ้กันก่อน โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลย “เซี่ยงไฮ้” ถือเป็นศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจ การค้า อุตสาหกรรม การคมนาคมและการท่องเที่ยวมาตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต เป็นเมืองที่ผสมผสานวัฒนธรรมสมัยใหม่และวัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิมได้อย่างลงตัว
โดยในอดีตมหานครแห่งนี้ได้แบ่งเขตพื้นที่ให้ชาวต่างชาติเช่า หลังจากสงครามฝิ่นชาวต่างชาติเริ่มเข้ามาเช่าเขตพื้นที่หลายแห่ง ทำให้มหานครแห่งนี้เต็มไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมที่มีลวดลายสวยงามตามแบบฉบับยุโรป จนได้รับขนานนามว่าเป็น “นครปารีสแห่งตะวันออก”
และเมื่อมาถึงเซี่ยงไฮ้แล้วไม่ได้ไปแหล่งท่องเที่ยวที่ถือเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของที่นี่ก็ถือว่ามาไม่ถึงเซี่ยงไฮ้ นั่นคือ “หอไข่มุก” นั่นเอง “หอไข่มุก” เป็นหอคอยที่สูงที่สุดในเอเชียและเป็นอันดับ 5 ของโลก เป็นหอส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์สูง 468 เมตร ตัวหอคอยมีน้ำหนัก 120,000 ตัน ลักษณะเป็นไข่มุก 11 ลูก และเสา 3 เสา ด้านบนเป็นรูปไข่มุก 3 เม็ดมีขนาดเรียงกันตามลำดับแนวตั้ง โดยหอไข่มุกแห่งนี้เป็นที่ทำการของสถานีโทรทัศน์ 9 แห่ง และมีสถานีวิทยุ 10 แห่ง ภายในหอกลมทำเป็นภัตตาคาร และโรงแรมหรู ด้านล่างมีร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก
ส่วนช่องตรงกลางของหอไข่มุกเป็นเสาปล่องกลวง ใช้แขวนลิฟท์ความเร็วสูงจำนวน 6 ตัว โดยลิฟท์นี้จะใช้ความเร็ว 7 เมตร/วินาที เพื่อขึ้นไปที่จุดชมวิวในระดับความสูง 267 เมตร และในช่วงยามค่ำคืนส่วนของหอกลมจะเปิดไฟหลากสีสันหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เมื่อตะลอนเที่ยวได้ขึ้นไปด้านบนแล้ว ก็จะมองเห็นวิวมุมสูงของมหานครเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ได้โดยรอบ ทั้งวิวตึกสูงที่อยู่สลับกัน รวมถึงเรือลำน้อย-ใหญ่ที่ล่องอยู่บริเวณแม่น้ำด้านล่าง ซึ่งด้านบนนี้จะมีจุดให้ชมวิวทิวทัศน์ด้วยกันสองชั้น โดยลิฟท์จะนำขึ้นมาส่งที่ด้านบนก่อน จากนั้นสามารถเดินลงบันไดไปอีกหนึ่งชั้นเพื่อชมวิวมุมกว้างได้อีกเช่นกัน แต่จุดชมวิวส่วนของชั้นล่างตรงพื้นจะเป็นกระจกใส สามารถมองลงไปเห็นพื้นด้านล่างกันเลย เพิ่มความตื่นเต้นหวาดเสียวได้ไม่น้อย
สำหรับช่วงตรงฐานของหอจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมืองเซี่ยงไฮ้ โดยสามารถนำบัตรที่เข้าชมวิวด้านบนของหอไข่มุกมาเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้ด้วย ด้านในจะแบ่งออกเป็น 2 ชั้น โดยชั้นแรกจะมีการจำลองรถโบราณ ที่มีการใช้งานในแต่ละยุคสมัยมาให้ชมกัน
ส่วนชั้น 2 ของพิพิธภัณฑ์มีการจำลองเหตุการณ์ในยุคสมัยโบราณ มีการบอกเล่าเรื่องราว ประวัติความเป็นมาของนครเซี่ยงไฮ้ได้โดยอย่างดีและสมจริงมาก โดยเริ่มตั้งแต่ยุคหลายร้อยปีที่ผ่านมาจนมาถึงยุคสงครามฝิ่น และเรื่อยมาจนถึงเซี่ยงไฮ้ยุคสมัยใหม่ ที่มีแต่ความเจริญก้าวหน้าของทุกวันนี้
หลังจากนั้นตะลอนเที่ยวก็ได้ไปสัมผัสกับบรรยากาศแห่งการชอปปิ้ง ที่ “ถนนนานจิง” หรือ “นานจิงลู่” เป็นย่านช้อปปิ้งเก่าแก่ที่สุดของเซี่ยงไฮ้ ที่บรรดาขาชอปต้องห้ามพลาด ถนนแห่งนี้ถือเป็นศูนย์รวมของห้างร้านดังต่าง ๆ มากมาย สองฟากถนนมีห้างร้านขายสินค้ามีแบรนด์เนมหลากหลาย ซึ่งย่านนี้ก็จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย เป็นแหล่งที่ท่องเที่ยวและชอปปิ้งที่ต้องมาแวะ หากได้มีโอกาสมายังเมืองเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ โดยสามารถที่จะเดินไปเรื่อยๆ จนถึงหาดไว่ทานได้เลย
หาดไว่ทัน (Waitan) หรือ หาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ซึ่งที่เรียกกันว่าหาดนั้นจะไม่ได้เป็นหาดทรายชายทะเลอย่างที่เข้าใจ แต่เป็นย่านถนนริมแม่น้ำที่มีความยาวกว่า 1.5 กิโลเมตร ไปตามริมแม่น้ำหวงผู่ฝั่งตะวันตกนั่นเอง ที่ตรงจุดนี้จะสามารถมองเห็นวิวของหอไข่มุก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองเซี่ยงไฮ้ คนจีนและนักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะมักมาชื่นชมบรรยากาศริมน้ำ และถ่ายรูปกันอย่างคึกคัก
ในช่วงค่ำก็ได้เวลาเดินทางไปยังท่าเรือ Shanghai International Cruise Terminal เพื่อทำการเช็คอินลงเรือสำราญหรู Century Sky เป็นเรือขนาดเล็ก บริเวณที่ท่าเรือจะสามารถมองเห็นบรรยากาศแสงสียามค่ำคืนของมหานครเซี่ยงไฮ้ ที่เปิดไฟประดับตามตึกสูงระฟ้ารวมถึงหอไข่มุกด้วย
ภายในเรือสำราญแบ่งออกเป็น 6 ชั้น สามารถจุคนได้กว่า 300 คน โดยชั้น 2 จะเป็นส่วนของล็อบบี้และห้องอาหาร ส่วนห้องพักบนเรือจะอยู่ในชั้น 3-4 มีห้องให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Deluxe Cabin มีจำนวน 143 ห้อง, Deluxe Suite จำนวน 6 ห้อง และ Junior Suite จำนวน 4 ห้อง ซึ่งแต่ละรูปแบบของห้องพักจะมีขนาดพื้นที่แตกต่างกัน
ในส่วนของชั้น 5 จะมีการแสดงโชว์พิเศษที่ทางเรือสำราญจัดให้ลูกค้า โดยจะมีการแสดงให้ชมในช่วงตอนหัวค่ำ แต่ละค่ำคืนก็จะแสดงแตกต่างกัน หากมองหาที่นั่งมาชมวิวนอกจากที่ชมได้ภายในห้องพักแล้ว ก็สามารถมานั่งเล่นรับลม อ่านหนังสือ ที่บริเวณชั้นนี้ก็ได้ และส่วนชั้น 6 จะเป็นห้องอาหารอีกเช่นกัน ซึ่งสามารถมาชมวิวทิวทัศน์ขณะล่องเรือได้อย่างเพลิดเพลิน
นอกจากนั้นภายในเรือสำราญลำนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมาย อย่างเช่น ห้องฟิตเนส ที่ลูกค้าสามารถมาออกกำลังกายได้ตลอด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือหากรู้สึกว่าร่างกายเมื่อยล้าอยากจะผ่อนคลายด้วยการนวด รวมถึงการซาวน่าที่นี่ก็มีบริการด้วยเช่นกัน ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายการบริการเพิ่มเติม
เส้นทางการล่องเรือสำราญในครั้งนี้จะออกจากท่าเรือบริเวณมหานครเซี่ยงไฮ้ ล่องไปเรื่อยๆ จนออกไปสู่แม่น้ำแยงซีเกียง ซึ่งเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่มีความกว้างขวางกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาของประเทศไทยหลายสิบเท่า ถือเป็นแม่น้ำสายสำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศจีน มีเรือขนส่งสินค้าที่ล่องมาให้เห็นเป็นระยะๆ
ในทริปนี้อากาศไม่ค่อยเป็นใจเท่าที่ควร ท้องฟ้ามีเมฆหมอกและมีลมแรง ทำให้การเดินเรือต้องหยุดชั่วคราวและไม่สามารถเทียบท่าขึ้นฝั่งได้ในบางจุด เนื่องจากเป็นเงื่อนไขข้อบังคับของทางรัฐบาลจีน หลังจากฟ้าเปิดอากาศแจ่มใสก็สามารถเดินเรือได้ตามปกติ จากนั้นเรือสำราญก็มาเทียบท่าเข้าฝั่งเพื่อออกเดินทางท่องเที่ยวต่อด้วยรถบัสไปยังเมืองซูโจว
จากคำพูดที่เคยได้ยินกล่าวถึงเมืองนี้ไว้ว่า "เบื้องบนมีสวรรค์ เบื้องล่างมีซูหาง" คือ บนฟ้ามีสถานที่ที่ดีที่สุดคือสวรรค์ บนพื้นโลกมีสถานที่ ที่สวยที่สุดคือ "ซูหาง" เมื่อพูดถึง หางโจวหรือหังโจว ผู้คนจะ นึกถึงทะเลสาบซีหู แต่ถ้าพูดถึงซูโจว ต้องนึกถึง” ชีหลี่ซานถัง” ซี่งเป็นสถานที่ที่ตะลอนเที่ยวจะเดินทางไปนั่นเอง
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึง "ถนนชีหลี่ซานถัง" หรือ "ถนนซานถัง" เป็นถนนสายโบราณที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองซูโจว โดยความสำคัญของถนนแห่งนี้มาจากสาเหตุ 3 ประการคือ 1.เป็นถนนสายประวัติศาสตร์ที่มีอายุเก่าแก่มากกว่า 1,100 ปี 2.เป็นสถานที่ที่มีการวางผังเมืองและสถาปัตยกรรมได้ดีที่สุดในเมืองซูโจว 3.เป็นสถานที่ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันกับพิธีการเฉลิมฉลองต่างๆตั้งแต่ในอดีตมาเป็นเวลาช้านาน
โดยในปี ค.ศ. 825 ในช่วงราชวงศ์ถัง มีนักกวีจีนที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการชั้นสูงในเมืองซูโจว เป็นผู้ควบคุมการสร้างคลองและถนนในบริเวณสถานที่แห่งนี้และและใช้ชื่อคลองในเขตถนนแห่งนี้ว่าซานถัง ซึ่งเป็นคลองที่มีความยาว 7 กิโลเมตร และเชื่อมโยงไปยังคลองขนาดใหญ่ที่ต่อไปยังกรุงปักกิ่งและหางโจว แม่น้ำนี้ได้อำนวยประโยชน์อย่างมากสำหรับการเกษตรและการชลประทาน การจราจรทางน้ำทำให้พื้นที่กลายเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจตลอดมาตั้งแต่ในอดีตจวบจนปัจจุบัน
ที่เมืองซูโจวจะมีเมืองโบราณที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชม ภายในมีร้านค้ามากมาย สะพานหินโบราณ หน้าบ้านเป็นถนน หลังเป็นคลอง มีของกินเล่น เต้าหู้เน่าเหมือนทุเรียนแต่อร่อย เวลาซื้อของให้ต่อเยอะๆ ถ้าพูดไม่คล่องก็จิ้มเครื่องคิดเลข สถานที่ท่องเที่ยวเต็มไปด้วยผู้คนจากมนฑลอื่น เป็นเมืองเก่าแก่ มีของเก่ามากมาย
อีกแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของซูโจว นั่นคือเนินเสือหมอบหรือที่คนไทยเรียก “ภูพยัคฆ์” ถ้าสังเกตุดีๆ ระหว่างนั่งรถผ่านจะมองเป็นในระยะไกลได้ แต่ช่วงที่ตะลอนเที่ยวไปเริ่มมืดแล้วก็เลยมองไม่เห็นจุดที่เที่ยวนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์คู่เมืองมานาน ไฮไลท์สำคัญมีเจดีย์เอียงคล้ายหอเอนกิซ่า อิตาลี สมัยก่อนมีการฝังดาบ 3,000 เล่ม และสมบัติเพชรนิลจินดาไว้ใต้ฐานเจดีย์มากมาย ถ้าขุดเอาสมบัติออกมาเจดีย์ก็จะเอียงจนล้ม รัฐบาลเลยไม่ขุด เพราะกลัวว่าเจดีย์พัง ซึ่งเจดียนี้ใช้อิฐทั้งหลังไม่เหมือนกับเจดีย์ที่อื่นที่ใช้ไม้และอิฐ แต่เชื่อว่าถึงอย่างไรก็จะไม่พังลงมาเพราะบูรณะโดยใช้ไม่ยึดฐานไว้อย่างแน่นหนา
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ของทริปล่องเรือสำราญยังมีอีกมากมาย อย่างเขตอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและป่าชายเลน หอแกะสลัก สุสานดร.ซุนยัดเซ็น เป็นต้น ซึ่งจะมีความน่าสนใจขนาดไหนนั้น สามารถติดตามต่อได้ใน "ตะลอนเที่ยว" ครั้งต่อไป
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager