ถือเป็นข่าวที่น่ายินดีมากสำหรับประเทศไทย เมื่อองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้ “อุทยานธรณีสตูล”(Satun Geopark) เป็น“อุทยานธรณีโลก”(UNESCO Global Geopark)แห่งแรกของเมืองไทย เป็นลำดับที่ 5 ในอาเซียน
รู้จักอุทยานธรณี
จากข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า “อุทยานธรณี”(Geopark) หมายถึงพื้นที่ที่ประกอบด้วยแหล่งธรณีวิทยา แหล่งอนุรักษ์ทางธรณีวิทยา แหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยา ที่มีคุณค่าต่อประเทศ/โลก รวมถึงแหล่งทางด้านโบราณคดี(Archeology) นิเวศวิทยา(Ecology) และศิลปวัฒนธรรม ประเพณีที่มีคุณค่าของโลก (Culture) บริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น โดยประชาชน เพื่อประชาชน และการพัฒนาที่ยั่งยืน
ส่วน“อุทยานธรณีโลกของยูเนสโก” (UNESCO Globat Geoparks) เป็นโครงการด้านการอนุรักษ์มรดกทางธรณีวิทยา โบราณคดี นิเวศวิทยา และวัฒนธรรม ขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization : UNESCO) อุทยานธรณีโลก จะต้องเป็นขอบเขตพื้นที่ที่ประกอบด้วยแหล่งที่มีคุณค่าด้านธรณีวิทยา โบราณคดี นิเวศวิทยา และวัฒนธรรม มีการบริหารจัดการแบบองค์รวมระหว่างการอนุรักษ์ การให้ความรู้ การศึกษาวิจัย และการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการ เชื่อมโยงความสำคัญของมรดกทางธรณีวิทยา ผ่านการท่องเที่ยวเชิงธรณีวิทยา
ปัจจุบันทั่วโลกมีอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก จำนวนทั้งสิ้นกว่า 120 แห่ง ในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอุทยานธรณีธรณีโลกของยูเนสโกแล้ว จำนวน 5 แห่ง ใน 3 ประเทศ ประกอบด้วย ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย 1 แห่ง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม 1 แห่ง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย 2 แห่ง และประเทศไทยที่เพิ่งได้รับการประกาศให้มีอุทยานธรณีโลกเป็นลำดับล่าสุดแห่งภูมิภาคอาเซียน
สำหรับ“อุทยานธรณีสตูล” (Satun Geopark) มีพื้นที่ครอบคลุม 2,597 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุม 4 อำเภอในจังหวัดสตูล ได้แก่ อำเภอเมือง ทุ่งหว้า มะนัง และละงู ประกอบด้วยแหล่งที่มีคุณค่าทางธรณีวิทยามากกว่า 70 แห่ง ทั้งบนบกและในทะเล อาทิ ถ้ำเลสเตโกดอน ถ้ำภูผาเพชร ถ้ำเจ็ดคต น้ำตกธารปลิว หินเขตข้ามกาลเวลาเขาโต๊ะหงาย เกาะไข่-หาดหินงามแห่งหมู่เกาะตะรุเตา ทะเลแหวกเกาะหว้าหิน-เกาะลิดีเล็ก เป็นต้น
นอกจากนี้อุทยานธรณีสตูลยังมีความผูกพันกับวิถีชุมชน อย่างเช่น “โรงเรียนกำแพงวิทยา”(ต.กำแพง อ.ละงู) ที่มีการจัดทำพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาขึ้นภายในโรงเรียน เพื่อแหล่งศึกษาเรียนรู้ของเด็กนักเรียน ชาวชุมชน และบุคคลทั่วไปที่สนใจ “วิสาหกิจชุมชนปันหยาบาติก”(บ้านปากบาง ต.ละงู อ.ละงู) ที่ได้นำลักษณะต่างๆของซากฟอสซิลมาสร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะวาดลวดลายลงบนผ้าบาติกผืนงาม เป็นต้น
การค้นพบสำคัญ
สำหรับการก่อกำเนิดอุทยานธรณีสตูลจนนำไปสู่อุทยานธรณีโลกนั้น มีจุดเริ่มต้นมาจาก เมื่อช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 ชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง(5 คน)นำโดย นาย“ยุทธนันท์ แก้วพิทักษ์” จาก อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ได้เข้าไปดำน้ำหากุ้งก้ามกรามใน“ถ้ำวังกล้วย” ที่ตั้งอยู่ในเขตบ้านคีรีวง ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล แล้วพวกเขาบังเอิญได้ไปพบกับซากดึกดำบรรพ์(ฟอสซิล)ชิ้นหนึ่ง มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลไหม้ น้ำหนักประมาณ 5.3 กก. ยาวประมาณ 44 ซม. สูงประมาณ 16 ซม.ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามันคือฟอสซิลอะไร? และมีความสำคัญอย่างไร?
กระทั่งเมื่อนำฟอสซิลดังกล่าวมาผ่านกระบวนการต่างๆก่อนนำให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ พบว่าฟอสซิลชิ้นนี้เป็นกระดูกฟันกรามของช้าง“สเตโกดอน” ที่มีชีวิตอยู่ในยุคไมโอซีนตอนปลายถึงต้นยุคไพลสโตซีน มีอายุประมาณ 1.8 ล้านปีมาแล้ว เป็นช้างรุ่นที่ 6 ในวิวัฒนาการของสัตว์ตระกูลช้างที่มีอายุเก่าแก่กว่าช้าง“แมมมอธ”(รุ่นที่ 8-อายุราว 20,000 ปีก่อน)ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดีเสียอีก
นี่นับเป็นอีกหนึ่งการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของไทย ซึ่งหลังจากนี้ทางเจ้าของพื้นที่นำโดยนาย“ณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ”หรือ“นายกโอเล่ย์”นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของฟอสซิลดังกล่าว ได้นำทีมชาวบ้านพัฒนาถ้ำวังกล้วยให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว พร้อมกับเรียกขานถ้ำแห่งนี้เสียใหม่ว่า “ถ้ำเลสเตโกดอน” ตามลักษณะของถ้ำที่มีธารน้ำไหลผ่าน ผนวกกับชื่อของซากฟอสซิลกรามช้างสเตโกดอนที่ประสบพบเจอในถ้ำแห่งนี้
ปัจจุบันถ้ำเลสเตโกดอนถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดสตูล การเข้าไปเที่ยวในถ้ำเลสเตโกดอน นักท่องเที่ยวต้องนั่งเรือคายักเข้าไป ซึ่งภายในนั้นดูงดงามไปด้วยหินงอกหินย้อยที่สวยงามหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น หินงอกหินย้อยตามเพดาน-ผนังถ้ำ หินประกานเพชร หินที่มีสายน้ำไหลผ่านดูคล้ายม่านน้ำตกเล็กๆภายในถ้ำ เสาหิน หินรูปหลอด ทำนบหิน เป็นต้น(ถ้ำเลสเตโกดอนเป็น“ถ้ำเป็น” นักท่องเที่ยวห้ามไปแตะ จับ สัมผัส หินงอกหินย้อยที่กำลังเติบโตมีชีวิตภายในถ้ำอย่างเด็ดขาด!!!)
อีกทั้งยังมีการสร้าง “ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า”ขึ้น ณ ที่ว่าการอำเภอทุ่งหว้า เพื่อเป็นสถานที่เก็บรักษาฟอสซิลที่พบในท้องที่ อ.ทุ่งหว้า และใน จ.สตูล พร้อมทั้งเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ให้ผู้สนใจได้เข้าไปเที่ยวชม ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ มีการจัดแสดงสิ่งน่าสนใจต่างๆ อาทิ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ในหลวง รัชกาลที่ ๙, ประวัติความเป็นมาของอำเภอทุ่งหว้า, ซากขวานหินของมนุษย์โบราณ พร้อมทั้งมีการจัดแสดงฟอสซิลต่างๆที่ค้นพบในจังหวัดสตูลให้ชมกัน นำโดยไฮไลท์คือ ฟอสซิสกรามช้างสเตโกดอน และฟอสซิลกระดูกฟันของแรดโบราณ
สตูลดินแดนแห่งมหายุคพาลีโอโซอิก
นอกจากการค้นพบฟอสซิลฟันกรามของช้างสเตโกดอน ซึ่งเป็นการค้นพบสำคัญแล้ว ภายในพื้นที่จังหวัดสตูลยังมีการ ค้นพบฟอสซิลอื่นๆอีกมากมาย จนสตูลได้รับฉายาว่า “ฟอสซิลแลนด์ แดนสตูล”
สำหรับอีกหนึ่งการค้นพบสำคัญซึ่งเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญ ที่ทำให้อุทยานธรณีสตูลก้าวขึ้นสู่อุทยานธรณีโลกก็คือ การค้นพบฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตต่างๆใน“มหายุคพาลีโอโซอิก”
มหายุคพาลีโอโซอิก (Paleozoic) มีอายุประมาณ 542-251 ล้านปี(ก่อนยุคไดโนเสาร์-มหายุคมีโซโซอิก-251-65 ล้านปี) เป็นยุคแห่งสัตว์ทะเล สิ่งมีชีวิตพวกสาหร่ายดึกดำบรรพ์ และภูเขาสาหร่ายก่อนที่จะมีสัตว์มีครีบเกิดขึ้นบนโลกใบนี้
มหายุคพาลีโอโซอิกแบ่งออกเป็น 6 ยุค ได้แก่ แคมเบรียน ออร์โดวิเชียน ไซรูเลียน ดีโวเนียน คาร์บอนิเฟอรัส และ เพอร์เมียน (หลังยุคเพอร์เมียนก็เข้าสู่มหายุคมีโซโซอิกซึ่งถือเป็นยุคทองของไดโนเสาร์)
สำหรับการค้นพบที่เด่นๆในมหายุคพาลีโอโซอิกในสตูลนั้นก็อย่างเช่น การพบซากฟอสซิลจำนวนมากในบริเวณ“เขาน้อย”(ลำดับชั้นหินเขาน้อย-บ้านทุ่งเสม็ด ต.กำแพง อ.ละงู) เป็นเนินเขาเตี้ยๆที่มีซากฟอสซิลหลากหลายอยู่ในเนื้อหินแทบทุกตารางเมตรของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น พลับพลึงทะเล แบรคิโอพอด(หอยกาบคู่) ไทรโลไบต์(สัตว์ที่มีรยางค์เป็นข้อปล้อง เป็นต้นตระกูลแมงดาทะเลโบราณ) และ แกรปโตไลต์ สัตว์ทะเลขนาดเล็กมีลักษณะเป็นเส้น เมื่อส่องดูด้วยแว่นขยายจะเห็นเป็นยักคล้ายฟันเลื่อยอาศัยรวมกันเป็นกลุ่ม ฟอสซิลแกรปโตไลต์จะดูคล้ายรอยขีดเขียนบนก้อนหิน
การค้นพบซากฟอสซิลบริเวณ“ศาลทวดโต๊ะสามยอด”(ต.ป่าแก่บ่อหิน อ.ทุ่งหว้า) ซึ่งมีการค้นพบซากหอยกาบคู่ และซากหอย“นอติลอยต์”(สัตว์ในชั้นเดียวกับหมึก หมึกยักษ์ และนอติลุส) ขนาดใหญ่และชัดเจนมาก
การค้นพบหินสาหร่ายที่ แหล่ง“หินสาหร่าย ศาลทวดบุญส่ง”(บ้านทุ่งเสม็ด ต.กำแพง อ.ละงู) มีลักษณะเป็นหินโผล่คล้ายจอมปลวกขนาดใหญ่ ชั้นหินบางวางเรียงซ้อนกันดูสวยงามแปลกตา
หินสาหร่ายเกิดจากการก่อตัวของ “สาหร่ายสโตมาโตไลต์” ที่มีความสำคัญต่อวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เพราะเป็นตัวสร้างออกซิเจนให้กับสิ่งมีชีวิตเริ่มแรกในยุคแคมเบรียน(ประมาณ 500 ล้านปีมาแล้ว) จนกระทั่งเริ่มมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆตามมา
ทั้งนี้การค้นพบฟอสซิลในมหายุคพาลีโอโซอิกในสตูลนั้น นอกจากจะเป็นหลักฐานสำคัญในการแสดงถึงความเป็นแหล่งฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยแล้ว ที่สตูลยังมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ครบทั้ง 6 ยุค หนึ่งเดียวในเมืองไทย ซึ่งนักวิชาการด้านธรณีวิทยาในพื้นที่จังหวัดสตูลที่ได้ทำการสำรวจเกี่ยวกับฟอสซิลในจังหวัดสตูล ได้ให้ข้อมูลว่า จังหวัดสตูลเป็นเพียงไม่กี่แห่งในโลก หรืออาจเป็นเพียงแห่งเดียวในโลก ที่มีการค้นพบฟอสซิลในมหายุคพาลีโอโซอิกครบทั้ง 6 ยุคเช่นนี้ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าทึ่งไม่น้อยเลย
อุทยานธรณีสตูล อุทยานธรณีโลก
ทั้งการค้นพบฟอสซิสกรามช้างสเตโกดอน ฟอสซิลกระดูกฟันของแรดโบราณ ซากดึกดำบรรพ์แห่งมหายุคพาลีโอโซอิกครบทั้ง 6 ยุค และการค้นพบฟอสซิลจำนวนมากในจังหวัดสตูล ทำให้ทางชุมชนท้องถิ่นของสตูลภายใต้การนำของ นายณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ นายก อบต.ทุ่งหว้า และพี่เลี้ยงคือ“กรมทรัพยากรธรณี” ภายใต้การนำของ “ดร.ทศพร นุชอนงค์” อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ที่เป็นหนึ่งในคนสำคัญที่คอยให้คำแนะนำช่วยเหลือ และได้ร่วมกันเดินหน้าผลักดันอุทยานธรณีสตูลให้กลายเป็น อุทยานธรณีโลก(Satun UNESCO Global Geopark)จนประสบความสำเร็จ
ถือเป็นอุทยานธรณีโลกแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย(ในปัจจุบัน)ที่คนไทยทุกคนต้องช่วยกันดูแลรักษาอุทยานธรณีโลกจังหวัดสตูลไว้ให้อยู่คู่โลกตลอดไป
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager