โดย : ปิ่น บุตรี (pinn109@hotmail.com)
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน

“ดีต่อใจ ไปพังงา”
นี่เป็นแคมเปญการท่องเที่ยวของจังหวัดพังงาในยุคปัจจุบัน ซึ่งได้เชื้อเชิญให้คนมาท่องเที่ยวสัมผัสในมนต์เสน่ห์ของจังหวัดพังงา ที่แม้จะเป็นเมืองเล็กๆแต่ว่าก็มากไปด้วยทรัพยากรการท่องเที่ยวอันหลากหลาย โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของพังงานั้น ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของความสวยงาม อีกทั้งแต่ละแห่งต่างก็มีเอกลักษณ์ความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะสุรินทร์ อ่าวพังงา-เกาะปันหยี หรือเกาะคอเขาและเขาหลัก ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวบนบกหรือบนฝั่งนั้น พังงาก็มีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจชวนให้ไปสัมผัสกันอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ทะเลหมอกเขาไข่นุ้ย ทะเลหมอกภูตาจอ ล่องเรือชมงูดูป่าไทร 100 ปีที่คลองสังเน่ห์หรือลิตเติ้ลอะเมซอน ยลเสน่ห์เมืองเก่าตะกั่วป่า สักการะพระนอนถ้ำสุวรรณคูหาอันงดงามเปี่ยมศรัทธา และชมวิวทิวทัศน์ที่“จุดชมวิวเสม็ดนางชี” แหล่งท่องเที่ยวน้องใหม่มาแรง หรือท่องเที่ยวสัมผัสวิถีชีวิตกับแหล่งท่องเที่ยวชุมชน อย่างเช่น บ้านท่าดินแดง บ้านโคกไคร บ้านสามช่อง และบ้านบางพัฒน์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารทะเล เป็นต้น

อย่างไรก็ดีหากพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆในตัวเมืองพังงา(ตัวเมืองไม่ใช่ทั้งเขตอำเภอเมือง) ที่ผ่านมาดูเหมือนว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะรู้จักเพียง “ถ้ำพุงช้าง” อันซีนไทยแลนด์ที่อยู่ใต้ "ภูเขาช้าง" หรือ “ภูเขารูปช้าง”เท่านั้น
ทั้งๆที่ความจริงในตัวเมืองพังงานั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจซ่อนตัวอยู่ตามจุดต่างๆเป็นจำนวนไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้ทาง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานพังงา” จึงได้คัดสรรสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ 8 จุดในตัวเมืองพังงา(8 เป็นเลขมงคลของชาวจีนที่มีอาศัยอยู่เยอะในตัวเมืองพังงาและเมืองเก่าตะกั่วป่า) มานำเสนอผ่านกิจกรรมนั่งรถ สองแถวไม้(หรือที่หลายพื้นที่ในภาคใต้นิยมเรียกกันว่า “รถโพถ้อง”) สัมผัสกับแหล่งท่องเที่ยว “8 จุดต้องห้าม...พลาดในตัวเมืองพังงา”เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักท่องเที่ยว

สำหรับเส้นทาง 8 จุดต้องห้าม...พลาด ในตัวเมืองพังงา เริ่มต้นกันที่ “สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์-ถ้ำฤๅษีสวรรค์” ซึ่งเป็นจุดออกสตาร์ทและเป็นจุดสิ้นสุดการทัวร์ 8 จุดต้องห้าม...พลาดเมืองพังงา
สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ หรือชื่อเต็มคือ “สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 80 พรรษา” ตั้งอยู่ใจกลางเมืองพังงา เป็นสวนที่ทรงคุณค่ากับชาวเมืองพังงาเป็นอย่างมาก เพราะเป็นทั้งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกาย
นอกจากนี้ภายในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ คือ “ถ้ำฤๅษีสวรรค์” ที่มีการทำทางเดินลอดทะลุถ้ำ บางช่วงเป็นทางเดินลอดลำธารในถ้ำที่เกิดจากแตกแยกของชั้นผิวดิน ซึ่งวันนี้ภายในถ้ำฤๅษีสวรรค์ยังคงมีร่องรอยของหินงอกหินย้อยจากเมื่อครั้งอดีตให้ชมกันบ้าง

ขณะที่สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของถ้ำแห่งนี้ก็คือ รอยจารึกพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พระนามาภิไธยของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 พระนามาภิไธยของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระนามาภิไธยของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

ส่วนอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่เคียงคู่กับถ้ำฤาษีสวรรค์แห่งนี้ก็คือ“ฝูงลิง”จำนวนหนึ่ง เจ้าจ๋อพวกนี้ก็เหมือนลิงตามแหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่ คือ มันซุกซนตามประสา ซึ่งถ้าหากเผลอมันจะแอบย่องเข้ามาฉกของจากมือมนุษย์ที่ยก ถือ ให้มันเห็นไปอย่างว่องไว เพราะมันเข้าใจผิดว่าเราจะให้ของกับมัน เนื่องจากที่ผ่านมา มีการนำอาหารของกินไปให้มันจนเคยตัว คุ้นชินกับการที่มีคนนำของกินดีๆมาให้พวกมันกินทิ้งกินขว้างกันเป็นจำนวนมาก

จากถ้ำฤาษีสวรรค์ที่ผมไม่โดนเจ้าจ๋อฉกอะไร จุดต่อไปในลำดับที่สองเราไปยัง “พิพิธภัณฑ์เมืองพังงา” ที่เป็นการนำศาลากลางจังหวัดหลังเก่าอายุเกือบร้อยปีที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2473 มาดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองพังงา พร้อมเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี 2556
พิพิธภัณฑ์เมืองพังงา เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล ชั้นเดียว มีการประดับตราครุฑไว้หน้าอาคาร ภายในแบ่งเป็นส่วนจัดแสดงนิทรรศการถาวร 6 ห้อง ให้ความรู้เกี่ยวกับเมืองพังงาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอย่างรอบด้าน ทั้งด้าน ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม เป็นต้น

พิพิธภัณฑ์เมืองพังงา แม้จะไม่ใช่อาคารใหญ่โต แต่ว่าก็จัดแสดงได้อย่างน่าสนใจ สามารถเดินเที่ยวชมกันได้อย่างเพลิดเพลิน
อย่างไรก็ดีด้วยความที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังใช้ระบบเปิดปิดตามเวลาราชการ(ไทย) คือ หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ ไม่ใช่ระบบเปิด-ปิดพิพิธภัณฑ์แบบสากล คือ หยุดวันจันทร์-อังคาร ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากเมื่อมาเที่ยวเมืองพังงาในวันเสาร์-อาทิตย์ ที่เป็นวันหยุด ไม่สามารถเข้าไปเที่ยวชมสิ่งที่น่าสนใจในอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้ จึงทำได้เพียงแค่ถ่ายรูปความงามของตัวอาคารจากภายนอก นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง

ยังไงๆก็ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ผลักดันในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ หันมาเปิดในระบบสากล เพื่อที่คนที่มาเที่ยวตัวเมืองพังงาในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะสามารถเข้าชมสิ่งที่น่าสนใจภายในพิพิธภัณฑ์เมืองพังงาได้
หลังปูพื้นรับรู้เรื่องราวเบื้องต้นของจังหวัดพังงาที่พิพิธภัณฑ์เมืองพังงากันแล้ว รถโพถ้องพาคณะเราไปยังจุดที่สามคือ “เจดีย์เขาล้างบาศ” เจดีย์เก่าแก่ที่ชาวพังงาถือเป็นสมบัติล้ำค่าของจังหวัด

เจดีย์เขาล้างบาศ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองก่ออิฐถือปูนอันสมส่วน ตัวองค์เจดีย์ตั้งอยู่บนเนินเขาขนาดย่อมของเทือกเขารูปช้าง ซึ่งต้องออกแรงเดินบันไดขึ้นเขาไปหน่อย บนนั้นเมื่อหันหลังมองกลับมาจะเห็นวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองพังงาที่แวดล้อมไปด้วยขุนเขาจนได้รับฉายาว่า “พังงาเมืองสวยในหุบเขา” ได้อย่างชัดเจน

จากเจดีย์เราไปต่อยัง “บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์” หรือ “ถ้ำน้ำผุด” ที่ตั้งอยู่ศาลเจ้าบุ๋นเถ้าก๋ง ถ้ำน้ำผุดแห่งนี้มีตำนานเล่าขานที่ไม่ธรรมดา อันเป็นที่มาของการตั้งศาลตรงบ่อศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
สำหรับตำนานบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นเล่าขานกันสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งอดีตว่า บริเวณนี้ก่อนที่จะมีน้ำไหลออกมาจากโพรงหิน จะมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้ในปัจจุบัน ยังคงมีน้ำผุดให้เห็นกันอยู่ แต่ปริมาณน้ำนั้นมีน้อยลงและไม่มีเสียงดังกึกก้องนำทางอย่างในตำนาน แต่ด้านความศักดิ์สิทธิ์กับความเลื่อมใสในสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้จืดจางไปจากใจของชาวพังงา

จุดต่อไปในลำดับที่ 5 เป็น “ถ้ำซำ” ถือเป็นดังอันซีนพังงาที่แต่เดิมเส้นทางเข้าถ้ำนั้นรกและเปลี่ยว แต่มาวันนี้ได้มีการปรับปรุงทำทางปูนเดินสู่ถ้ำซำเลาะริมบึงผ่านแมกไม้อันร่มรื่น ซึ่งบริเวณด้านข้างทางเข้าด้านหน้าจะมี“หนองหารซำ” เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ มีสภาพธรรมชาติที่สวยงามของบึงน้ำขนาดใหญ่มีขุนเขาหินปูนตั้งตระหง่านง้ำ ซึ่งบริเวณนี้เคยเป็นท้องทะเลมาก่อน

สำหรับถ้ำซำ แม้เป็นถ้ำเล็กๆแต่ว่าก็มีความน่าสนใจไม่น้อย กับ "โบราณสถาน ถ้ำซำ Tham Sam Rock Art” แหล่งศิลปะถ้ำสมัยต้นรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2394-2453)" ที่ภายในถ้ำตามผนังและเพดานส่วนหนึ่งดูโดดเด่นไปด้วย ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง คาดว่ามีอายุประมาณ 100 กว่าปีที่แล้ว ในราวๆช่วงปลายรัชกาลที่ 4 ต่อเนื่องถึงสมัยรัชกาลที่ 5

ภาพจิตรกรรมฝาผนังถ้ำซำมีทั้งที่เป็นภาพลายเส้นและภาพลงสี ขาว ดำ แดง แสดงเรื่องราวทางพุทธศาสนาและวิถีผู้คนในอดีต โดยภาพที่เด่นๆก็มีภาพ คน หญิง-ชาย เด็กผมแกละและผมจุก คนที่ใบหน้าคล้ายตัวหนังตะลุง ภาพคนไว้ผมเปียแต่งกายแบบชาวจีนคล้ายเป็นขุนนางนั่งอยู่บนเกี้ยว ยักษ์ ภาพดอกไม้ นก ม้า เป็นต้น

นอกจากนี้ที่เพิงผาถ้ำตรงก้อนหินใหญ่บริเวณช่วงกลางโถง ได้มีการแกะสลักหินเป็นรูปทรงพระพุทธรูปแบบหยาบๆ ซึ่งทำให้หลายคนสันนิษฐานว่าที่นี่น่าจะเคยเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระภิกษุสงฆ์มาก่อน
จากถ้ำซำรถสองแถวไม้ขับพาเราไปต่อยังจุดต่อไปที่ “ศาลหลักเมืองพังงา”ที่เป็นศาลหลักเมืองที่มีความแตกต่างจากศาลหลักเมืองทั่วๆไป เนื่องจากศาลหลักเมืองส่วนใหญ่ในจังหวัดต่างๆจะเป็นศาลเจ้าพ่อหลักเมือง แต่ที่นี่เป็นศาลเจ้าแม่หลักเมือง หรือที่มีชื่อเรียกกันว่า “ศาลหลักเมืองพังงา เจ้าแม่สายทอง”

ศาลหลักเมืองพังงา เดิมเมืองเป็นศาลเล็กๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าสร้างในสมัยใด แต่เนื้อไม้เสาหลักยังคงสภาพดีอยู่ จนเมื่อปี 2544 ได้ทำการสร้างศาลหลักเมืองขึ้นมาใหม่ และก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมทำการสมโภช เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2545
ศาลหลักเมืองพังงา สร้างในแบบศิลปะกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นทรงปราสาทจัตุรมุขภายในศาลนอกจากจะมีเสาหลักเมืองให้สักการบูชาแล้ว ยังมีป้ายเรื่องราวตำนานการจับนางสายทองที่เป็นผู้หญิงตั้งครรภ์มาเซ่นสังเวย ฝังลงในหลุมขณะประกอบพิธีสร้างเสาหลักเมือง อันเป็นที่มาของชื่อ ศาลหลักเมืองพังงา เจ้าแม่สายทองพร้อมกันนี้ยังมีเรื่องอัศจรรย์เล่าขานกันว่า เลือดของนางสายทองที่กระเด็นมาติดที่ไม้หลักเมือง ต่อมามีปลวกเข้ามาหุ้มไม้ และยังคงสภาพดีมาจนถึงปัจจุบัน

จากศาลหลักเมืองไปต่อกันอีกศาลในจุดที่ 7 คือ “ศาลเจ้าม่าจ้อโป๋” ศาลเก่าแก่ที่อยู่คู่เมืองพังงามาร้อยกว่าปี อีกทั้งยังเป็นศาลเจ้าแห่งเดียวของภาคใต้ฝั่งตะวันตก ที่ได้รับพระราชทานกระถางธูปจากรัชกาลที่ 5 จึงมีพระปรมาภิไธยย่อ “จ.ป.ร” ปรากฏอยู่ด้านหน้าของกระถางธูป

ภายในศาลเจ้าม่าจ้อโป๋นอกจากจะมีองค์เทพต่างๆให้กราบไหว้แล้ว ก็ยังประติมากรรมภาพวาดฝาผนังโบราณ โดยเฉพาะภาพวาดลายเส้นขาว-ดำ และภาพสี เรื่องสามก๊กบนกระเบื้องผนังอันสุดคลาสสิก
จากนั้นเราไปไหว้พระปิดท้ายในจุดที่ 8 กันที่ รูปเคารพ “หลวงพ่อทวด” หรือ “หลวงปู่ทวด” ที่ตั้งอยู่ที่สวนกาญจนาภิเษก

สำหรับรูปเคารพหลวงปู่ทวดองค์นี้มีที่มาไม่ธรรมดา ซึ่งเชื่อกันว่าธรรมชาติได้มอบของขวัญชิ้นสำคัญๆให้แก่เมืองพังงา
โดยเมื่อหลายปีก่อนต้นไม้บนยอดเขาล้างบาศได้งอกออกมามีลักษณะรูปทรง คล้ายองค์หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ ซึ่งนอกจากจะเป็นเรื่องที่ฮือฮา ชาวพังงายังถือว่าเป็นนิมิตหมายอันเป็นสิริมงคลจึงร่วมแรงร่วมใจกัน ก่อสร้างองค์รูปเหมือนหลวงพ่อทวดขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระชนพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา รวมทั้งเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพังงาและจังหวัดใกล้เคียงอีกด้วย
สำหรับใครที่มากราบไหว้หลวงปู่ทวดให้อิ่มบุญอุ่นใจแล้ว ที่ใกล้ๆกัน ยังมี “ถ้ำพุงช้าง” อันซีนไทยแลนด์ ให้เที่ยวผจญภัยเบาๆไปสัมผัสกับความน่ามหัศจรรย์ของถ้ำพุงช้าง ซึ่งเป็นถ้ำน้ำลอด ภายในถ้ำมีสิ่งน่าสนใจหลากหลายให้ชม โดยเฉพาะหินงอกหินย้อยรูปช้างเผือกที่เป็นไฮไลท์อันโดดเด่น อันซีนไทยแลนด์ของถ้ำแห่งนี้

และนี่ก็คือ 8 จุด ต้องห้าม...พลาดของตัวเมืองพังงา หรือ 8 จุดอันซีนพังงาที่น่าสนใจ บวกกับ 1 จุด อันซีนไทยแลนด์คือเขาพุงช้าง ซึ่งเราสามารถเที่ยวชมแบบควบคู่กันไป 8+1 ได้ ในเส้นทางที่กำหนด(+ ถ้ำพุงช้าง)
นับเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ของตัวเมืองพังงา ที่แม้จะเป็นเมืองเล็กๆสงบๆ แต่ว่าก็มีของดีซุกซ่อนอยู่หลากหลาย รอให้ผู้สนใจได้ไปสัมผัสเที่ยวชม ซึ่งก็จะทำให้เราได้รู้จักตัวเมืองพังงา และชวนให้หลงรัก“พังงาเมืองสวยในหุบเขา”มากยิ่งขึ้น

******************************************
สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองพังงา ริมถนนเพชรเกษม เยื้องกับศาลากลางจังหวัดพังงา
พิพิธภัณฑ์เมืองพังงา ตั้งอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดพังงา(หลังเก่า) ถนนเพชรเกษม ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมือง
เจดีย์เขาล้างบาศ ตั้งอยู่บนเนินเขาที่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขารูปช้าง ริมถนนมนตรี หลังโรงเรียนสตรีพังงา ในเขตเทศบาลเมืองพังงา
บ่อน้ำศักดิ์สิทธ์ หรือ ถ้ำน้ำผุด ตั้งอยู่บริเวณศาลเจ้าบุ๋นเถ้าก๋ง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองพังงา ราว 2 กิโลเมตร
ถ้ำซำ ตั้งอยู่ที่บ้านฝายท่า ต.ถ้ำน้ำผุด อ.เมือง ห่างจากตัวเมืองพังงาประมาน 5 กม.
ศาลหลักเมืองพังงา เจ้าแม่สายทอง ตั้งอยู่ที่หมู่ 1 บ้านควรพังงา อ.เมือง จากตัวเมืองพังงา ใช้เส้นทางบ้านนบปริง ทางหลวงหมายเลข 4 ระยะทางประมาณ 1 กม.
ศาลเจ้าม่าจ้อโป๋ ตั้งอยู่ ถ.บริรักษ์บำรุง อ.เมือง ใช้เส้นทางทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านตัวเมืองพังงา เลี้ยวขวาที่ถนนตลาดขวางและเลี้ยวขวาอีกที ที่ถนนบริรักษ์บำรุง ขับมาเรื่อยๆ จะเห็นศาลเจ้าทางซ้ายมือ
รูปเคารพหลวงพ่อทวด หรือ หลวงปู่ทวด(สวนกาญจนาภิเษก) ตั้งอยู่ใกล้กับวัดประพาสประจิมเขต(วัดถ้ำพุงช้าง)
สำหรับผู้สนใจกิจกรรมนั่งรถสองแถวไม้ เที่ยวในเส้นทาง “8 จุด ต้องห้าม...พลาดเมืองพังงา” ทางผู้ประกอบการในจังหวัดพังงาคิดค่ารถสองแถวไม้ในราคา 600 บาท/3 ชม.(เวลาเหมาะสมกับการเที่ยวชมสถานที่ทั้ง 8 จุด) ไม่เกิน 8 คน/คัน ส่วนหากต้องการไกด์นำชมคิดราคาไกด์ 600 บาท/3 ชม. สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณกฤษฎา ก้อนทรัพย์ โทร. 089-729-1871
ด้านใครที่อยากจะขับรถเที่ยวด้วยตัวเองหรือรวมกลุ่มกันนั่งรถตู้เที่ยว สามารถขอแผนที่ตัวเมืองพังงา และสอบถามรายละเอียดการท่องเที่ยวในจังหวัดพังงา เชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวทั้ง 8 จุด ได้ที่ ททท.สำนักงานพังงา โทร. 0-7641-3400-2, เฟสบุค Wonderfulphangnga/tatphangnga
******************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
“ดีต่อใจ ไปพังงา”
นี่เป็นแคมเปญการท่องเที่ยวของจังหวัดพังงาในยุคปัจจุบัน ซึ่งได้เชื้อเชิญให้คนมาท่องเที่ยวสัมผัสในมนต์เสน่ห์ของจังหวัดพังงา ที่แม้จะเป็นเมืองเล็กๆแต่ว่าก็มากไปด้วยทรัพยากรการท่องเที่ยวอันหลากหลาย โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของพังงานั้น ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของความสวยงาม อีกทั้งแต่ละแห่งต่างก็มีเอกลักษณ์ความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะสุรินทร์ อ่าวพังงา-เกาะปันหยี หรือเกาะคอเขาและเขาหลัก ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวบนบกหรือบนฝั่งนั้น พังงาก็มีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจชวนให้ไปสัมผัสกันอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ทะเลหมอกเขาไข่นุ้ย ทะเลหมอกภูตาจอ ล่องเรือชมงูดูป่าไทร 100 ปีที่คลองสังเน่ห์หรือลิตเติ้ลอะเมซอน ยลเสน่ห์เมืองเก่าตะกั่วป่า สักการะพระนอนถ้ำสุวรรณคูหาอันงดงามเปี่ยมศรัทธา และชมวิวทิวทัศน์ที่“จุดชมวิวเสม็ดนางชี” แหล่งท่องเที่ยวน้องใหม่มาแรง หรือท่องเที่ยวสัมผัสวิถีชีวิตกับแหล่งท่องเที่ยวชุมชน อย่างเช่น บ้านท่าดินแดง บ้านโคกไคร บ้านสามช่อง และบ้านบางพัฒน์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารทะเล เป็นต้น
อย่างไรก็ดีหากพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆในตัวเมืองพังงา(ตัวเมืองไม่ใช่ทั้งเขตอำเภอเมือง) ที่ผ่านมาดูเหมือนว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะรู้จักเพียง “ถ้ำพุงช้าง” อันซีนไทยแลนด์ที่อยู่ใต้ "ภูเขาช้าง" หรือ “ภูเขารูปช้าง”เท่านั้น
ทั้งๆที่ความจริงในตัวเมืองพังงานั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจซ่อนตัวอยู่ตามจุดต่างๆเป็นจำนวนไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้ทาง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานพังงา” จึงได้คัดสรรสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ 8 จุดในตัวเมืองพังงา(8 เป็นเลขมงคลของชาวจีนที่มีอาศัยอยู่เยอะในตัวเมืองพังงาและเมืองเก่าตะกั่วป่า) มานำเสนอผ่านกิจกรรมนั่งรถ สองแถวไม้(หรือที่หลายพื้นที่ในภาคใต้นิยมเรียกกันว่า “รถโพถ้อง”) สัมผัสกับแหล่งท่องเที่ยว “8 จุดต้องห้าม...พลาดในตัวเมืองพังงา”เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักท่องเที่ยว
สำหรับเส้นทาง 8 จุดต้องห้าม...พลาด ในตัวเมืองพังงา เริ่มต้นกันที่ “สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์-ถ้ำฤๅษีสวรรค์” ซึ่งเป็นจุดออกสตาร์ทและเป็นจุดสิ้นสุดการทัวร์ 8 จุดต้องห้าม...พลาดเมืองพังงา
สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ หรือชื่อเต็มคือ “สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 80 พรรษา” ตั้งอยู่ใจกลางเมืองพังงา เป็นสวนที่ทรงคุณค่ากับชาวเมืองพังงาเป็นอย่างมาก เพราะเป็นทั้งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกาย
นอกจากนี้ภายในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ คือ “ถ้ำฤๅษีสวรรค์” ที่มีการทำทางเดินลอดทะลุถ้ำ บางช่วงเป็นทางเดินลอดลำธารในถ้ำที่เกิดจากแตกแยกของชั้นผิวดิน ซึ่งวันนี้ภายในถ้ำฤๅษีสวรรค์ยังคงมีร่องรอยของหินงอกหินย้อยจากเมื่อครั้งอดีตให้ชมกันบ้าง
ขณะที่สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของถ้ำแห่งนี้ก็คือ รอยจารึกพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พระนามาภิไธยของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 พระนามาภิไธยของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระนามาภิไธยของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ส่วนอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่เคียงคู่กับถ้ำฤาษีสวรรค์แห่งนี้ก็คือ“ฝูงลิง”จำนวนหนึ่ง เจ้าจ๋อพวกนี้ก็เหมือนลิงตามแหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่ คือ มันซุกซนตามประสา ซึ่งถ้าหากเผลอมันจะแอบย่องเข้ามาฉกของจากมือมนุษย์ที่ยก ถือ ให้มันเห็นไปอย่างว่องไว เพราะมันเข้าใจผิดว่าเราจะให้ของกับมัน เนื่องจากที่ผ่านมา มีการนำอาหารของกินไปให้มันจนเคยตัว คุ้นชินกับการที่มีคนนำของกินดีๆมาให้พวกมันกินทิ้งกินขว้างกันเป็นจำนวนมาก
จากถ้ำฤาษีสวรรค์ที่ผมไม่โดนเจ้าจ๋อฉกอะไร จุดต่อไปในลำดับที่สองเราไปยัง “พิพิธภัณฑ์เมืองพังงา” ที่เป็นการนำศาลากลางจังหวัดหลังเก่าอายุเกือบร้อยปีที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2473 มาดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองพังงา พร้อมเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี 2556
พิพิธภัณฑ์เมืองพังงา เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล ชั้นเดียว มีการประดับตราครุฑไว้หน้าอาคาร ภายในแบ่งเป็นส่วนจัดแสดงนิทรรศการถาวร 6 ห้อง ให้ความรู้เกี่ยวกับเมืองพังงาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอย่างรอบด้าน ทั้งด้าน ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม เป็นต้น
พิพิธภัณฑ์เมืองพังงา แม้จะไม่ใช่อาคารใหญ่โต แต่ว่าก็จัดแสดงได้อย่างน่าสนใจ สามารถเดินเที่ยวชมกันได้อย่างเพลิดเพลิน
อย่างไรก็ดีด้วยความที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังใช้ระบบเปิดปิดตามเวลาราชการ(ไทย) คือ หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ ไม่ใช่ระบบเปิด-ปิดพิพิธภัณฑ์แบบสากล คือ หยุดวันจันทร์-อังคาร ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากเมื่อมาเที่ยวเมืองพังงาในวันเสาร์-อาทิตย์ ที่เป็นวันหยุด ไม่สามารถเข้าไปเที่ยวชมสิ่งที่น่าสนใจในอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้ จึงทำได้เพียงแค่ถ่ายรูปความงามของตัวอาคารจากภายนอก นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง
ยังไงๆก็ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ผลักดันในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ หันมาเปิดในระบบสากล เพื่อที่คนที่มาเที่ยวตัวเมืองพังงาในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะสามารถเข้าชมสิ่งที่น่าสนใจภายในพิพิธภัณฑ์เมืองพังงาได้
หลังปูพื้นรับรู้เรื่องราวเบื้องต้นของจังหวัดพังงาที่พิพิธภัณฑ์เมืองพังงากันแล้ว รถโพถ้องพาคณะเราไปยังจุดที่สามคือ “เจดีย์เขาล้างบาศ” เจดีย์เก่าแก่ที่ชาวพังงาถือเป็นสมบัติล้ำค่าของจังหวัด
เจดีย์เขาล้างบาศ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองก่ออิฐถือปูนอันสมส่วน ตัวองค์เจดีย์ตั้งอยู่บนเนินเขาขนาดย่อมของเทือกเขารูปช้าง ซึ่งต้องออกแรงเดินบันไดขึ้นเขาไปหน่อย บนนั้นเมื่อหันหลังมองกลับมาจะเห็นวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองพังงาที่แวดล้อมไปด้วยขุนเขาจนได้รับฉายาว่า “พังงาเมืองสวยในหุบเขา” ได้อย่างชัดเจน
จากเจดีย์เราไปต่อยัง “บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์” หรือ “ถ้ำน้ำผุด” ที่ตั้งอยู่ศาลเจ้าบุ๋นเถ้าก๋ง ถ้ำน้ำผุดแห่งนี้มีตำนานเล่าขานที่ไม่ธรรมดา อันเป็นที่มาของการตั้งศาลตรงบ่อศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
สำหรับตำนานบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นเล่าขานกันสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งอดีตว่า บริเวณนี้ก่อนที่จะมีน้ำไหลออกมาจากโพรงหิน จะมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้ในปัจจุบัน ยังคงมีน้ำผุดให้เห็นกันอยู่ แต่ปริมาณน้ำนั้นมีน้อยลงและไม่มีเสียงดังกึกก้องนำทางอย่างในตำนาน แต่ด้านความศักดิ์สิทธิ์กับความเลื่อมใสในสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้จืดจางไปจากใจของชาวพังงา
จุดต่อไปในลำดับที่ 5 เป็น “ถ้ำซำ” ถือเป็นดังอันซีนพังงาที่แต่เดิมเส้นทางเข้าถ้ำนั้นรกและเปลี่ยว แต่มาวันนี้ได้มีการปรับปรุงทำทางปูนเดินสู่ถ้ำซำเลาะริมบึงผ่านแมกไม้อันร่มรื่น ซึ่งบริเวณด้านข้างทางเข้าด้านหน้าจะมี“หนองหารซำ” เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ มีสภาพธรรมชาติที่สวยงามของบึงน้ำขนาดใหญ่มีขุนเขาหินปูนตั้งตระหง่านง้ำ ซึ่งบริเวณนี้เคยเป็นท้องทะเลมาก่อน
สำหรับถ้ำซำ แม้เป็นถ้ำเล็กๆแต่ว่าก็มีความน่าสนใจไม่น้อย กับ "โบราณสถาน ถ้ำซำ Tham Sam Rock Art” แหล่งศิลปะถ้ำสมัยต้นรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2394-2453)" ที่ภายในถ้ำตามผนังและเพดานส่วนหนึ่งดูโดดเด่นไปด้วย ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง คาดว่ามีอายุประมาณ 100 กว่าปีที่แล้ว ในราวๆช่วงปลายรัชกาลที่ 4 ต่อเนื่องถึงสมัยรัชกาลที่ 5
ภาพจิตรกรรมฝาผนังถ้ำซำมีทั้งที่เป็นภาพลายเส้นและภาพลงสี ขาว ดำ แดง แสดงเรื่องราวทางพุทธศาสนาและวิถีผู้คนในอดีต โดยภาพที่เด่นๆก็มีภาพ คน หญิง-ชาย เด็กผมแกละและผมจุก คนที่ใบหน้าคล้ายตัวหนังตะลุง ภาพคนไว้ผมเปียแต่งกายแบบชาวจีนคล้ายเป็นขุนนางนั่งอยู่บนเกี้ยว ยักษ์ ภาพดอกไม้ นก ม้า เป็นต้น
นอกจากนี้ที่เพิงผาถ้ำตรงก้อนหินใหญ่บริเวณช่วงกลางโถง ได้มีการแกะสลักหินเป็นรูปทรงพระพุทธรูปแบบหยาบๆ ซึ่งทำให้หลายคนสันนิษฐานว่าที่นี่น่าจะเคยเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระภิกษุสงฆ์มาก่อน
จากถ้ำซำรถสองแถวไม้ขับพาเราไปต่อยังจุดต่อไปที่ “ศาลหลักเมืองพังงา”ที่เป็นศาลหลักเมืองที่มีความแตกต่างจากศาลหลักเมืองทั่วๆไป เนื่องจากศาลหลักเมืองส่วนใหญ่ในจังหวัดต่างๆจะเป็นศาลเจ้าพ่อหลักเมือง แต่ที่นี่เป็นศาลเจ้าแม่หลักเมือง หรือที่มีชื่อเรียกกันว่า “ศาลหลักเมืองพังงา เจ้าแม่สายทอง”
ศาลหลักเมืองพังงา เดิมเมืองเป็นศาลเล็กๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าสร้างในสมัยใด แต่เนื้อไม้เสาหลักยังคงสภาพดีอยู่ จนเมื่อปี 2544 ได้ทำการสร้างศาลหลักเมืองขึ้นมาใหม่ และก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมทำการสมโภช เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2545
ศาลหลักเมืองพังงา สร้างในแบบศิลปะกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นทรงปราสาทจัตุรมุขภายในศาลนอกจากจะมีเสาหลักเมืองให้สักการบูชาแล้ว ยังมีป้ายเรื่องราวตำนานการจับนางสายทองที่เป็นผู้หญิงตั้งครรภ์มาเซ่นสังเวย ฝังลงในหลุมขณะประกอบพิธีสร้างเสาหลักเมือง อันเป็นที่มาของชื่อ ศาลหลักเมืองพังงา เจ้าแม่สายทองพร้อมกันนี้ยังมีเรื่องอัศจรรย์เล่าขานกันว่า เลือดของนางสายทองที่กระเด็นมาติดที่ไม้หลักเมือง ต่อมามีปลวกเข้ามาหุ้มไม้ และยังคงสภาพดีมาจนถึงปัจจุบัน
จากศาลหลักเมืองไปต่อกันอีกศาลในจุดที่ 7 คือ “ศาลเจ้าม่าจ้อโป๋” ศาลเก่าแก่ที่อยู่คู่เมืองพังงามาร้อยกว่าปี อีกทั้งยังเป็นศาลเจ้าแห่งเดียวของภาคใต้ฝั่งตะวันตก ที่ได้รับพระราชทานกระถางธูปจากรัชกาลที่ 5 จึงมีพระปรมาภิไธยย่อ “จ.ป.ร” ปรากฏอยู่ด้านหน้าของกระถางธูป
ภายในศาลเจ้าม่าจ้อโป๋นอกจากจะมีองค์เทพต่างๆให้กราบไหว้แล้ว ก็ยังประติมากรรมภาพวาดฝาผนังโบราณ โดยเฉพาะภาพวาดลายเส้นขาว-ดำ และภาพสี เรื่องสามก๊กบนกระเบื้องผนังอันสุดคลาสสิก
จากนั้นเราไปไหว้พระปิดท้ายในจุดที่ 8 กันที่ รูปเคารพ “หลวงพ่อทวด” หรือ “หลวงปู่ทวด” ที่ตั้งอยู่ที่สวนกาญจนาภิเษก
สำหรับรูปเคารพหลวงปู่ทวดองค์นี้มีที่มาไม่ธรรมดา ซึ่งเชื่อกันว่าธรรมชาติได้มอบของขวัญชิ้นสำคัญๆให้แก่เมืองพังงา
โดยเมื่อหลายปีก่อนต้นไม้บนยอดเขาล้างบาศได้งอกออกมามีลักษณะรูปทรง คล้ายองค์หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ ซึ่งนอกจากจะเป็นเรื่องที่ฮือฮา ชาวพังงายังถือว่าเป็นนิมิตหมายอันเป็นสิริมงคลจึงร่วมแรงร่วมใจกัน ก่อสร้างองค์รูปเหมือนหลวงพ่อทวดขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระชนพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา รวมทั้งเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพังงาและจังหวัดใกล้เคียงอีกด้วย
สำหรับใครที่มากราบไหว้หลวงปู่ทวดให้อิ่มบุญอุ่นใจแล้ว ที่ใกล้ๆกัน ยังมี “ถ้ำพุงช้าง” อันซีนไทยแลนด์ ให้เที่ยวผจญภัยเบาๆไปสัมผัสกับความน่ามหัศจรรย์ของถ้ำพุงช้าง ซึ่งเป็นถ้ำน้ำลอด ภายในถ้ำมีสิ่งน่าสนใจหลากหลายให้ชม โดยเฉพาะหินงอกหินย้อยรูปช้างเผือกที่เป็นไฮไลท์อันโดดเด่น อันซีนไทยแลนด์ของถ้ำแห่งนี้
และนี่ก็คือ 8 จุด ต้องห้าม...พลาดของตัวเมืองพังงา หรือ 8 จุดอันซีนพังงาที่น่าสนใจ บวกกับ 1 จุด อันซีนไทยแลนด์คือเขาพุงช้าง ซึ่งเราสามารถเที่ยวชมแบบควบคู่กันไป 8+1 ได้ ในเส้นทางที่กำหนด(+ ถ้ำพุงช้าง)
นับเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ของตัวเมืองพังงา ที่แม้จะเป็นเมืองเล็กๆสงบๆ แต่ว่าก็มีของดีซุกซ่อนอยู่หลากหลาย รอให้ผู้สนใจได้ไปสัมผัสเที่ยวชม ซึ่งก็จะทำให้เราได้รู้จักตัวเมืองพังงา และชวนให้หลงรัก“พังงาเมืองสวยในหุบเขา”มากยิ่งขึ้น
******************************************
สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองพังงา ริมถนนเพชรเกษม เยื้องกับศาลากลางจังหวัดพังงา
พิพิธภัณฑ์เมืองพังงา ตั้งอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดพังงา(หลังเก่า) ถนนเพชรเกษม ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมือง
เจดีย์เขาล้างบาศ ตั้งอยู่บนเนินเขาที่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขารูปช้าง ริมถนนมนตรี หลังโรงเรียนสตรีพังงา ในเขตเทศบาลเมืองพังงา
บ่อน้ำศักดิ์สิทธ์ หรือ ถ้ำน้ำผุด ตั้งอยู่บริเวณศาลเจ้าบุ๋นเถ้าก๋ง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองพังงา ราว 2 กิโลเมตร
ถ้ำซำ ตั้งอยู่ที่บ้านฝายท่า ต.ถ้ำน้ำผุด อ.เมือง ห่างจากตัวเมืองพังงาประมาน 5 กม.
ศาลหลักเมืองพังงา เจ้าแม่สายทอง ตั้งอยู่ที่หมู่ 1 บ้านควรพังงา อ.เมือง จากตัวเมืองพังงา ใช้เส้นทางบ้านนบปริง ทางหลวงหมายเลข 4 ระยะทางประมาณ 1 กม.
ศาลเจ้าม่าจ้อโป๋ ตั้งอยู่ ถ.บริรักษ์บำรุง อ.เมือง ใช้เส้นทางทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านตัวเมืองพังงา เลี้ยวขวาที่ถนนตลาดขวางและเลี้ยวขวาอีกที ที่ถนนบริรักษ์บำรุง ขับมาเรื่อยๆ จะเห็นศาลเจ้าทางซ้ายมือ
รูปเคารพหลวงพ่อทวด หรือ หลวงปู่ทวด(สวนกาญจนาภิเษก) ตั้งอยู่ใกล้กับวัดประพาสประจิมเขต(วัดถ้ำพุงช้าง)
สำหรับผู้สนใจกิจกรรมนั่งรถสองแถวไม้ เที่ยวในเส้นทาง “8 จุด ต้องห้าม...พลาดเมืองพังงา” ทางผู้ประกอบการในจังหวัดพังงาคิดค่ารถสองแถวไม้ในราคา 600 บาท/3 ชม.(เวลาเหมาะสมกับการเที่ยวชมสถานที่ทั้ง 8 จุด) ไม่เกิน 8 คน/คัน ส่วนหากต้องการไกด์นำชมคิดราคาไกด์ 600 บาท/3 ชม. สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณกฤษฎา ก้อนทรัพย์ โทร. 089-729-1871
ด้านใครที่อยากจะขับรถเที่ยวด้วยตัวเองหรือรวมกลุ่มกันนั่งรถตู้เที่ยว สามารถขอแผนที่ตัวเมืองพังงา และสอบถามรายละเอียดการท่องเที่ยวในจังหวัดพังงา เชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวทั้ง 8 จุด ได้ที่ ททท.สำนักงานพังงา โทร. 0-7641-3400-2, เฟสบุค Wonderfulphangnga/tatphangnga
******************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager